ตอนที่ 9 ไม่น่ามองเอาเสียเลย
“ท่านแม่ ! ท่านจะลำเอียงเข้าข้างนางเด็กโง่เกินไปแล้ว มีแค่นางใช่หรือไม่ที่เป็นลูกของท่าน ส่วนข้าและน้องชายโดนท่านเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” บุตรสาวคนโตแห่งบ้านตระกูลหลินกล่าวขึ้นมาอย่างโมโห
หลินเว่ยเว่ยหันไปส่งสายตาท้าทายให้อีกฝ่าย “เจ้าก็รู้ตัวว่าถูกเก็บมาเลี้ยง เหตุใดยังไม่รีบไปอีก ไปตามหามารดาที่แท้จริงของเจ้าสิ เลิกมาทำให้ครอบครัวของข้าต้องเปลืองข้าวสุกได้แล้ว ! ”
“ลูกรอง ! เจ้าพูดอันใดออกมา ? ” นางหวงมิได้มีแววตำหนิแต่อย่างใด ในแววตาของนางมีเพียงความชื่นชมเพราะตอนนี้บุตรสาวคนรองมีฝีปากกล้าแกร่ง แถมยังเล่นมุขตลกเป็นอีกด้วย ! ในที่สุดบุตรสาวก็เหมือนเด็กปกติเสียที ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน !
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ได้พูดขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าคะ หมอเหลียงบอกว่าท่านต้องทานของบำรุงให้มากถึงจะมีสุขภาพแข็งแรง ข้าซื้อเนื้อหมูมาด้วย ประเดี๋ยวจะทำข้าวต้มหมูให้ท่านได้ทาน…”
“คนโง่เช่นเจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าวต้มหมูทำเช่นไร ? ” บุตรสาวคนโตของบ้านก็ยังมิวายจิกกัด
หลินเว่ยเว่ยปราดตามองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นอย่างหงุดหงิด “ข้าทำมั่ว ๆ ก็ยังอร่อยกว่าที่เจ้าตั้งใจทำเสียอีก ! ทำแล้วกินได้ก็มีอยู่น้อยนิด เปลืองข้าว ! เจ้าตัวล้างผลาญ ! ”
“เจ้า ! ” พี่สาวคนโตมือไม้สั่นขณะชี้หน้าหลินเว่ยเว่ยด้วยความโมโห
“เจ้าอย่ามายั่วโทสะข้านะ หากข้ายั้งมือไม่ทันอาจทำให้เจ้าเจ็บตัวได้ ! ดังนั้นก่อนทำสิ่งใดก็คิดให้ถี่ถ้วน แม้กระดูกของเจ้าแข็ง แต่คิดว่ากระดูกของเจ้าแข็งกว่ากะโหลกศีรษะของหมูป่าหรือ ! ” หลินเว่ยเว่ยขู่ให้อีกฝ่ายกลัว
ทันใดนั้นในหัวของพี่สาวคนโตก็มีภาพที่หลินเว่ยเว่ยยกก้อนหินก้อนใหญ่ชุ่มโลหิตทุบศีรษะหมูป่าผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามมาด้วยภาพของสมองหมูป่าที่เละมิเป็นท่า…แต่สิ่งน่ากลัวที่สุดก็คือท่าทีของนางเด็กโง่คนนี้ที่คล้ายกับมีวิญญาณเข้าสิง ทำให้นางกลัวจนขนหัวลุก !
หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยเข้ามาในครัวแล้วก็พบว่าทักษะการทำอาหารของตนมิได้บกพร่อง แต่นางไม่อยากให้พี่สาวมาก่อความวุ่นวายน่ารำคาญ ดังนั้นจึงหันไปกวักมือเรียกพี่สาวคนโตราวกับกำลังกวักเรียกสุนัข “มาจุดไฟ ! ”
“จุดเองสิ ! ” บุตรสาวคนโตไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับอีกฝ่ายเพราะแค่เห็นหน้าก็โมโหแล้ว !
“เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเจ้าก็ไม่ต้องกิน ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นไร หากคิดขึ้นเสียงใส่กันก็ควรดูด้วยว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร ? หากจำนวนคนกินลดลงสักคนก็ดีเหมือนกัน จะได้มิต้องเปลือง !
“พี่รอง ข้าช่วยท่านจุดไฟเอง ข้าสามารถจุดไฟได้ ! ” ตอนนี้เจ้าหนูน้อยเริ่มตามติดพี่รองแล้ว เขาวางเค้กข้าวในมือไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวังแล้วรีบวิ่งมาช่วยในครัวทันที
“เกะกะ ! หลีกไปเลย อย่ามาก่อเรื่องตรงนี้ ! ” พี่สาวคนโตจับเจ้าหนูน้อยโยนออกจากครัว จากนั้นตนก็ลงไปนั่งคุกเข่าหน้าเตาฟืนอย่างมิเต็มใจ เพราะรู้ดีว่าเจ้าเด็กโง่มิได้พูดล้อเล่นอย่างแน่นอน หากทำจริงขึ้นมาแล้วไม่ให้นางกินข้าวด้วย เช่นนี้ก็แย่น่ะสิ คนฉลาดควรรู้สถานการณ์ว่าตอนไหนควรทำอะไร !
หลินเว่ยเว่ยทำข้าวต้มหมูไร้มันที่ส่งกลิ่นหอมชวนหิว จากนั้นก็ไปเก็บมะเขือยาวมาจากสวนหลังบ้าน 2 ลูก แล้วหั่นหมูติดมันออกเป็นลูกเต๋าขนาดเล็กเพื่อนำไปผัดกับมะเขือยาว ซึ่งผิวของมะเขือได้ดูดซับเครื่องปรุงเข้าไปจนมีรสชาติอร่อยยิ่งกว่าเนื้อหมูเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเมนูแพนเค้กจากแป้งข้าวโพดอีกด้วย
ทั้งครอบครัวร่วมทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ในที่สุดพวกนางก็ได้มีโอกาสอิ่มท้องกับเขาสักมื้อ โดยเฉพาะเจ้าหนูน้อยที่รู้สึกว่ามีความสุขยิ่งกว่าผู้ใด เขาพูดพร้อมหัวเราะในขณะมีคราบมันของอาหารติดเต็มปาก “อาหารของพวกเรามื้อนี้มีหลายชนิดกว่าตอนที่ฉลองวันปีใหม่เสียอีก ! ”
แค่เมนูผัดมะเขือยาวใส่หมูและแพนเค้กแป้งข้าวโพดก็ทำให้ครอบครัวรู้สึกพึงพอใจมากแล้ว เช่นเดียวกับพี่สาวคนโตที่ชอบจิกกัดน้องสาวก็ยังทานอาหารได้อย่างสำราญใจ
นางหวงได้ทานข้าวต้มเนื้อหมูไร้มันรสชาติอร่อยพร้อมซาลาเปาไส้หมูสับลูกใหญ่ที่หลินเว่ยเว่ยซื้อติดมาด้วยจึงทำให้รู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีกำลังวังชาบ้างแล้ว หลังจากดื่มยาบำรุงเข้าไปก็ล้มตัวนอนบนเตียงจนใกล้หลับ แต่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงบุตร ดังนั้นนางจึงพยายามลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง
คราวนี้ ‘ว่าที่เสาหลัก’ ของครอบครัวตัวจริงเยี่ยงหลินจื่อเหยียนได้ห้ามมารดาเอาไว้ “ท่านแม่ ข้าลาท่านอาจารย์มา 2 วัน ท่านพักผ่อนให้ดีเถิด ข้าและพวกพี่สาวจะไปรดน้ำพรวนดินให้เองขอรับ”
นางหวงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เห็นด้วยทันที “แม่ไม่เป็นไร ที่จริงพี่สาวคนโตของเจ้ามิควรเรียกเจ้ากลับมาเลย เช่นนี้จะไม่เป็นการถ่วงเวลาเรียนหนังสือของเจ้าหรอกหรือ ? ท่านอาจารย์ก็บอกไว้แล้วว่าหากเจ้าพยายามให้มากขึ้น ในปีหน้าก็จะสามารถลงสนามสอบได้…ครานี้พี่รองของเจ้าสามารถฆ่าหมูป่าแล้วนำไปขายแลกเงินมาได้มากโข น่าจะเพียงพอสำหรับใช้ไปอีกพักใหญ่ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องในบ้าน เจ้าจงตั้งใจร่ำเรียนไปเถิด ไม่ต้องไปรับจ้างคัดลอกตำราให้ผู้ใดอีกแล้ว”
ที่แท้ธัญพืชและวัตถุดิบทั้งหมดที่บุตรสาวคนโตใช้ต้มโจ๊กให้มารดาก็มาจากเงินที่เด็กหนุ่มผู้นี้รับจ้างคัดลอกตำราเรียนให้เพื่อนร่วมชั้น ! หลินเว่ยเว่ยที่ได้ยินก็ส่งสายตาชื่นชมให้เขาพร้อมยกนิ้วหัวแม่มือเพื่อเป็นการชื่นชมคล้ายจะบอกว่า ‘ยอดเยี่ยม’ ถือว่ามีความรับผิดชอบดีมาก !
“ใช่แล้ว อันที่จริงเจ้าควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็พอ เพราะที่บ้านของเรายังมีข้าอยู่ ! ” หลินเว่ยเว่ยทุบอกของตนทำให้ไขมันบนตัวสั่นกระเพื่อมไปพร้อมการเคลื่อนไหว หลินจื่อเหยียนเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับเบิกตากว้าง
ขณะเดียวกันเจ้าหนูน้อยก็เลียนแบบท่าทีของนางโดยการตบกระดูกไหปลาร้าของตนบ้าง “ยังมีข้าอยู่อีกคน ! ข้าสามารถช่วยเก็บฟืน ขุดผักป่าและดึงหญ้าขึ้นจากดินได้ ! ”
“เจ้าตัวเล็กของเรามีความสามารถรอบด้านเสียจริง ! เช่นนั้นข้าจะมอบหมายภารกิจที่ยากแสนยากให้เจ้า ขอให้เจ้าคอยดูแลท่านแม่อยู่ที่บ้าน ให้นางได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ! เจ้าทำได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาเชื่อมั่นมองไปยังเจ้าหนูน้อย
เจ้าหนูน้อยเห็นท่าทีของพี่รองก็รีบยืดอกทำตัวตรงแล้วรับคำ “ข้าทำได้แน่นอน ! ”
หลังจากโน้มน้าวนางหวงอยู่นาน ในที่สุดหลินจื่อเหยียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วไปหยิบถังน้ำ แต่ทันใดนั้นก็มีมือที่เต็มไปด้วยไขมันคู่หนึ่งชิงหยิบถังน้ำตรงหน้าไปก่อน จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปขยิบตาให้น้องสาม “พวกเจ้าไปที่แปลงนาก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปตักน้ำให้เอง ! ”
หลินจื่อเหยียนตะลึงจนพูดไม่ออก “…” สีหน้าที่แปลกประหลาดของพี่รองช่างไม่น่ามองเอาเสียเลย !
หลังช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมามีฝนตกน้อยมากจึงทำให้หน้าดินไร้ความชื้น ส่งผลให้เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรง ยิ่งตอนนี้นางหวงล้มป่วยลงอีกจึงทำให้ไปตักน้ำไม่ไหว ทำได้เพียงช่วยกันกับบุตรสาวคนโตยกถังน้ำไปทีละถังเท่านั้น
หลินเว่ยเว่ยไปตักน้ำแล้วเดินไปยังแปลงนาของครอบครัว แต่พอได้เห็นสภาพแปลงนาแล้วก็พบว่าข้าวสาลีในนาตายไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็มีสภาพเละเทะแทบจะตายอยู่รอมร่อ
ขณะที่นางกำลังรดน้ำข้าวสาลีอย่างขะมักเขม้นก็ได้แอบเอาน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณมาใส่ในถังด้วย พี่สาวคนโตและน้องชายคนโตของบ้านก็ใช้น้ำถังเดียวรดได้เพียงพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น ส่วนนางรดน้ำได้มากกว่าสองคนนั้นถึงเท่าตัว
บุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลหลินเห็นเช่นนั้นก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห “หน้าดินยังมิทันเปียกดีก็ย้ายที่แล้ว เท่ากับว่ารดไปก็เปลืองแรงเสียเปล่า ! เจ้าเลิกรดน้ำเถิด เจ้าไม่ต้องมาช่วยหรอก ! ”
หลินเว่ยเว่ยใช้ไม้คานหาบถังน้ำไม่เป็นจึงถือถังไม้ไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นก็เดินไปตามคันนาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พี่สาวคนโตและหลินจื่อเหยียนยังรดน้ำสองถังไม่หมด นางก็ไปหามมาอีกสองถังแล้ว
“หืม ? นั่นคือเจ้าเด็กโง่ของบ้านตระกูลหลินมิใช่หรือ ? ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อที่หมอเหลียงบอก แต่ตอนนี้นางหายดีแล้วจริงหรือ ? แถมยังรู้จักช่วยงานที่บ้านอีกด้วย ! ” ป้ากุ้ยฮวายืดตัวตรงและถือกระบวยตักน้ำไว้ในมือพลางหันไปสนทนากับบุตรสาวคนโตที่ยืนอยู่ด้านข้าง
บุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลหลิวได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็ชำเลืองมองไปทางหลินเว่ยเว่ย “นอกจากนางแล้ว ในหมู่บ้านของเรายังมีผู้ใดที่อ้วนได้ถึงเพียงนี้ ? ต่อให้นางกลับมาเป็นปกติแล้วอย่างไร ? ข้าอยากถามท่านแม่ว่านางดูเหมือนเด็กผู้หญิงตรงไหน ? นางทั้งตัวใหญ่และสูงกว่าเจ้าอ้วนซานเสียอีก ! ”
“แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ได้อ้วนแบบไร้ประโยชน์ ขนาดถังน้ำที่หนักหลายชั่งเมื่ออยู่ในมือของนางก็มิต่างอันใดจากการแบกปุยนุ่นเลย” ป้ากุ้ยฮวากล่าวอย่างชื่นชมจึงทำให้บุตรสาวเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ ถ้าให้เด็กโง่บ้านตระกูลหลินมาเป็นลูกสาวของท่าน ท่านจะยอมหรือไม่ ? ” ป้ากุ้ยฮวาได้ยินเช่นนั้นก็จิ้มไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย “เจ้าทำงานได้แล้ว ! เด็กโง่บ้านตระกูลหลินกินเก่งถึงเพียงนั้น ต่อให้ที่บ้านมีกินมีใช้มากเพียงใดย่อมถูกนางล้างผลาญจนล่มจม บ้านของเราเลี้ยงนางไม่ไหวหรอก ! ”
ในเมื่อมีผู้เปี่ยมพละกำลังแสนประหลาดอย่างเจ้าเด็กโง่บ้านตระกูลหลินอยู่ทั้งคน ทำให้ในไม่ช้าแปลงนาของบ้านตระกูลหลินก็ได้รับการรดน้ำจนเสร็จเรียบร้อย หลินเว่ยเว่ยมองไปยังพืชผลที่เฉาตายอยู่อีกฝั่งก็กล่าวขึ้นมาอย่างเสียดาย “พวกเราช่วยกันถอนข้าวสาลีที่ตายแล้วออกไป จากนั้นพรวนดินเพื่อปลูกข้าวโพดแทนดีหรือไม่ ? อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้ที่ดินสูญเปล่า”
หลินจื่อเหยียนลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากปลูกตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่ ? ”
หมู่บ้านฉือหลี่โกวตั้งอยู่ทางทิศเหนือจึงทำให้ฤดูหนาวเข้ามาปกคลุมพื้นที่อย่างรวดเร็วและกินเวลายาวนานกว่าที่ความหนาวจะหมดไป ดังนั้นพืชผลจึงมักปลูกในฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ทว่ายามนี้ก็เข้าสู่ปลายเดือนสี่แล้ว หากความหนาวเย็นเข้ามาปกคลุมเร็วเกินไป เช่นนั้นข้าวโพดที่ปลูกไว้จะไม่เสียเปล่าเอาหรือ ?
ตอนต่อไป