ตอนที่ 10 หรือว่ามีลับลมคมใน ?
“หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้เช่นไร ? มันก็แค่เมล็ดพันธุ์เพียงไม่กี่ชั่งมิใช่หรือ ? จะกี่อีแปะกันเชียว ? ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าน่าเสียดายแย่หากปล่อยให้แปลงนาหมู่นี้แห้งแล้งไปโดยไร้ประโยชน์
เหตุใดจึงกล้าพูดว่า ‘ก็แค่เมล็ดพันธุ์เพียงไม่กี่ชั่ง’ ทั้งที่ราคาของเมล็ดพันธุ์พืชแพงมาก ตอนนี้ราคายังสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงเลย เมล็ดพันธุ์จำนวนสองสามชั่งอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินซื้อสองสามร้อยอีแปะ หากนำเงินจำนวนนี้มาซื้อพวกเส้นบะหมี่ก็สามารถซื้อได้ตั้งหลายสิบชั่ง ! พอมีเงินแค่ไม่กี่ตำลึงก็ลืมเรื่องความอดอยากของตนไปแล้วหรือ ? พี่สาวคนโตจึงมองค้อนด้วยความโมโห
ทว่าหลินจื่อเหยียนที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกเกิดความสนใจขึ้นมา เขาอยากลองจึงกล่าวขึ้นว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับไปแบกจอบมาซักสองสามอัน”
“หากเรายืมคันไถของชาวบ้านมาได้คงดีกว่า ! ” หากใช้จอบขุดไปทีละนิด เช่นนั้นต้องขุดไปถึงเมื่อไร ?
“หากพวกเรายืมคันไถของชาวบ้านมาก็ต้องยืมวัวของพวกเขามาด้วย” หลินจื่อเหยียนพูดอย่างลังเล
หลินเว่ยเว่ยที่ได้ยินน้องชายกล่าวดังนั้นก็ชี้มาที่ตนเอง “เหตุใดถึงต้องไปยืมวัวของผู้อื่นด้วย ? ข้ามีแรงเยอะกว่าวัวอีกมิใช่หรือ ? ”
“หึหึ” พี่สาวคนโตได้ยินก็หัวเราะเยาะออกมา “น้องสาม หากเจ้าไปยืมคันไถมาแล้วนางลากไม่ไหว เช่นนั้นคนที่ขายหน้าจะมิใช่พวกเราหรือ ! ”
แต่สุดท้ายก็ได้พิสูจน์ว่าผู้ที่ขายหน้าคือตัวของนางเอง ! เพราะหลินเว่ยเว่ยสามารถถือคันไถได้อย่างสบายด้วยมือเดียวไปพร้อมการเดินในแปลงนา คันไถจึงถูกดึงไปอย่างสม่ำเสมอจนสามารถพรวนดินได้อย่างรวดเร็ว
ป้ากุ้ยฮวาที่อยู่แปลงนาด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง สวรรค์ ! ทั้งที่เป็นคันไถชนิดเดียวกัน แต่บ้านของนางต้องใช้ผู้ใหญ่ถึง 2 คนในการลาก ลำพังแค่ลากไปและกลับรอบเดียวก็ยังต้องหยุดพักอยู่หลายครั้ง แต่ดูบุตรสาวคนรองของบ้านตระกูลหลินนั่นสิ เพียงพริบตาเดียวก็สามารถใช้คันไถพรวนดินในแปลงนาขนาดหนึ่งหมู่กว่า ๆ ได้โดยมิต้องหยุดพักเลย มันเร็วเสียยิ่งกว่าใช้วัวลากคันไถเสียอีก !
หลิวต้าซวนยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็อดกล่าวชื่นชมออกมามิได้ “ลูกสาวคนรองของนางหวงขยันดีจริง ! ”
ในอดีตตอนที่บุตรคนรองของนางหวงยังเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาก็ได้ใช้กำลังสร้างปัญหาสารพัด ประเดี๋ยวก็พังรั้วบ้าน ประเดี๋ยวก็ทำกรอบประตูล้มบ้างล่ะ ทำเอานางหวงต้องหมดเงินไปจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมอยู่เป็นประจำ
ตอนนี้เหมือนว่าการที่นางมีพละกำลังมากมายก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสมอไป !
หลินเว่ยเว่ยหันไปยิ้มให้ลุงต้าซวนแล้วหันไปบอกหลินจื่อเหยียน “ตอนนี้ยังไม่เย็นมาก พวกเจ้ากลับไปที่บ้านก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปแสวงหาโชคบนภูเขาสักหน่อย”
บัดนี้ความเกลียดชังในแววตาของหลินจื่อเหยียนที่มีต่อหลินเว่ยเว่ยเจือจางลงมากแล้ว แต่ที่เพิ่มไปมากกว่าก็คือความกังวล “ตอนนี้บนภูเขามีสัตว์ป่าเยอะมาก อีกทั้งยังดุร้ายมากด้วย ขนาดพรานหวังที่ชำนาญในการล่าสัตว์ป่ายังมิกล้าขึ้นไปบนภูเขาอย่างอุกอาจ ข้าคิดว่า…วันนี้ยังมิต้องขึ้นไปหรอก ! ”
พี่สาวคนโตได้ยินน้องชายพูดก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ก็นางมีความสามารถ ขนาดหมูป่ายังถูกนางใช้หินทุบจนตายได้เลย เช่นนั้นบนภูเขายังมีสิ่งใดให้นางต้องกลัวอีก ? ”
“ผู้ใดบอกว่าข้ามิกลัว ? สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดก็คือแม่เสือโดยเฉพาะแม่เสือที่ชอบโจมตีลับหลัง ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้พี่สาวหุบปากเงียบทันใด !
หลินจื่อเหยียนมองไปทางพวกนางแล้วกล่าวเพียงว่า “เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย ! ”
เช้าตรู่ของวันนี้พี่ใหญ่วิ่งไปหาเขาถึงสำนักศึกษาแล้วร้องห่มร้องไห้พลางบอกว่าท่านแม่ถูกพี่รองทำร้ายจนป่วยหนัก ท่านหมอเหลียงยังบอกว่ามารดาจะอยู่ได้ไม่ถึงสามปี ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกอีกว่าที่บ้านเหลือธัญพืชเพียงน้อยนิดแต่ถูกพี่รองกินจนไม่เหลือจึงทำให้มารดาไม่มีอาหารกิน
ดังนั้นเขาจึงนำเงินเก็บที่ได้จากการรับจ้างคัดลอกตำราไปซื้อเมล็ดธัญพืชมาสองสามชั่ง จากนั้นจึงรีบกลับมาที่หมู่บ้าน พอมาถึงก็พบว่าตรงลานบ้านเงียบสงัดราวกับป่าช้า ท่านแม่ทานยาแล้วนอนหลับอยู่บนเตียง ในขณะที่พี่รองปัญญาอ่อนหนีหายไปที่ใดก็มิรู้
เมื่อเห็นว่ามารดาผ่ายผอมแลดูอ่อนแอ พลันเห็นบรรดาโถใส่วัตถุดิบที่แทบว่างเปล่าทุกใบ ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกคล้ายเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนาที่ไม่รู้ว่าทิศทางชีวิตอยู่ที่ใด ?
หากอดทนอดกลั้นอีกสักปี เขาก็จะได้เข้าร่วมการสอบถงเซิง1 เพื่อเข้าเรียนต่อสำหรับการเป็นขุนนางได้แล้ว จากนั้นค่อยเข้าร่วมการสอบเยวี่ยนซื่อ2 หากสอบผ่านจะได้เลื่อนขั้นเป็นซิ่วไฉ3 ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกในชีวิตของตน เพราะครอบครัวบัณฑิตเด็กที่สอบเลื่อนขั้นได้เป็นซิ่วไฉจะได้รับการปลอดภาษีที่ดินจำนวน 3 หมู่ เช่นนั้นภาระของมารดาก็จะได้ลดลงบ้าง
แต่หากเขายังเรียนหนังสืออยู่เช่นนี้ปัญหาที่บ้านจะหนักแค่ไหน เขาจะจัดการมันเช่นไร ? หรือต้องให้เขาทนมองสุขภาพของมารดาทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ พร้อมครอบครัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความอดอยาก
แต่ถ้าหยุดเรียนในตอนนี้ก็เท่ากับว่าความพยายามในการเรียนมาตลอดหลายปีได้สูญเปล่า และความพยายามของครอบครัวที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสียเขาเรียนก็ต้องไร้ประโยชน์เช่นกัน…ยามนี้ความสิ้นหวังจึงค่อย ๆ กัดกินภายในใจของเขา
ดังนั้นเวลาที่เขาเห็นพี่สาวคนรองทีไรก็มักเกิดความรู้สึกโมโหและกล่าวโทษสารพัดว่าเป็นเพราะพี่สาวจอมโง่เขลากินเก่งเหลือเกิน ทั้งยังชอบสร้างปัญหาให้ครอบครัวไม่เว้นวันจนทำให้ท่านแม่ต้องคอยเป็นกังวลอยู่เสมอ
หากไม่มีนาง บางทีครอบครัวก็คงไม่ตกต่ำจนถึงจุดนี้ และท่านแม่ก็คงไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป…
ทว่าจู่ ๆ พี่สาวคนรองก็กลับมาเป็นเหมือนคนปกติทั่วไป ยิ่งกว่านั้นยังสามารถใช้ข้อได้เปรียบด้านร่างกายมาพลิกสถานการณ์จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าพี่รองคนนี้เป็นคนแปลกหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับมีแสงส่องสว่างมาที่จิตใจ ทำให้เขาเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะประโยคนั้นของนางที่ได้บอกว่า ‘เจ้าควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็พอเพราะที่บ้านของเรายังมีข้าอยู่ ! ’ แม้สีหน้าและการกระทำของนางดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร แต่มันทำให้เขารู้สึกเชื่อมั่นในตัวนางอย่างบอกมิถูก !
แปลงนาหมู่นี้ก็เช่นกัน ! เมื่อก่อนถ้าปลูกพืชด้วยพื้นที่ใหญ่เช่นนี้ ท่านแม่กับพี่ใหญ่ต้องใช้เวลารดน้ำอยู่นานกว่าครึ่งค่อนวัน แต่พอพี่รองมาช่วยก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกทั้งยังไถพรวนดินที่เหลือเสร็จสรรพ
บัดนี้นางยังยืนกรานว่าจะขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา หลินจื่อเหยียนจึงเกิดความกังวลขึ้นมา ทว่าเขาไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาได้ จึงทำเพียงมองตามแผ่นหลังของนางที่หายลับไปบนยอดเขา
“เลิกมองได้แล้ว ! นางเด็กโง่นั่นดวงแข็งจะตาย นางไม่ตายง่าย ๆ หรอก ! ” พี่สาวคนโตยกไม้คานหาบถังน้ำขึ้นมาแล้วกวักมือเรียกน้องชายกลับบ้านพร้อมกัน
หลินจื่อเหยียนเบนสายตาไปมองนางแล้วกล่าวว่า “เรื่องเมื่อวานนี้…ปกติพี่รองจะไม่วิ่งขึ้นไปบนภูเขาแล้วเหตุใดนางจึงตกเขาจนกลิ้งลงไปในสระน้ำได้ ? ”
“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามผู้ใด ? ” พี่สาวคนโตกะพริบตาถี่พลางสาวเท้าเดินเร็วขึ้น
หลินจื่อเหยียนเห็นเช่นนั้นจึงดึงแขนของนางไว้ “แต่มีชาวบ้านเห็นว่าพี่ใหญ่เดินขึ้นเขาไปพร้อมนาง ท่านไม่รู้เรื่องนี้จริงหรือ ? ”
พี่สาวคนโตวางถังน้ำลงพื้นแล้วกล่าวออกมาเสียงดังและอึกอักเหมือนมีลับลมคมในบางอย่าง “เหตุใดเจ้าต้องอยากรู้มากเพียงนี้ ? ข้ามิใช่สาวใช้ของนางที่จะเดินตามเพื่อรับใช้ไปทั้งวัน ! บ้านของเราจะอดตายกันอยู่แล้ว ข้าจึงจดจ่อไปกับการหาผักป่า พวกเราจะได้มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเพียงพอไปอีกหลายวัน ข้าจะมีเวลาสนใจนางได้อย่างไร ? ”
หลินจื่อเหยียนมองพี่สาวคนโตด้วยแววตาลุ่มลึกคล้ายต้องการบังคับให้นางสบตากับตน “ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ท่านจะตะโกนโวยวายไปเพื่อเหตุใด ! ” หลินจื่อเหยียนถอนสายตากลับแล้วยกไม้คานหาบถังน้ำขึ้นมาแบกพร้อมเดินตรงไปที่บ้าน
บุตรคนโตของบ้านตระกูลหลินคิดในใจว่า ‘หมายความว่าอย่างไร ? ตอนนี้นางพร้อมแก้ตัวแล้ว เขากลับตัดบทกันเสียดื้อ ๆ ’
ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มมืด หลินเว่ยเว่ยก็แบกกวางที่ชุ่มเลือดตัวหนึ่งกลับมาที่หมู่บ้าน วันนี้ถือว่าโชคดีมากเพราะพอขึ้นเขาไปแล้วก็ได้พบหมาป่าสองสามตัวกำลังไล่ล่ากวางอยู่ ดังนั้นนางจึงถือโอกาสนี้ใช้พละกำลังของตนขับไล่หมาป่าเหล่านั้นไปแล้วก็ได้กวางมาครอง !
หลงจู๊หานเคยบอกนางไว้แล้วว่าจะรับซื้อสัตว์ป่าทุกชนิด ทั้งยังสามารถเจรจาต่อรองเรื่องราคาได้ ! ดังนั้นกวางตัวนี้ก็น่าจะได้ราคาหลายตำลึงเช่นกัน
เมื่อนางกลับถึงหมู่บ้าน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว นางมองออกไปไกล ๆ ก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมายืนล้อมรั้วบ้านของตนเอาไว้ ขณะเดียวกันยังมีเสียงร้องไห้ของเจ้าหนูน้อยน้องชายหัวแก้วหัวแหวนที่ดังระงม ในบ้านคงมิได้เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยที่ตระหนักได้เช่นนั้นก็รีบสาวเท้าวิ่งกลับบ้านทันที !
“พวกเจ้าดูนั่นสิ ! โถใส่อาหารแห้งในครัวของพวกนางเต็มไปด้วยเส้นหมี่ชั้นดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแป้งข้าวโพดอีกเป็นโถ มีแม้กระทั่งข้าว ไหนจะเนื้อไหนจะน้ำมันเจียวกากหมูถ้วยนี้อีก ! เจ้าอ้วนซานของบ้านข้าพูดไว้ไม่ผิด เจ้าเด็กโง่ของพวกนางแบกวัตถุดิบทำอาหารกลับบ้านโดยไม่รู้ที่มาที่ไปของวัตถุดิบเหล่านั้น ! ”
หญิงวัยกลางคนที่แก้มตอบ นัยน์ตาดุและคิ้วโก่งเดินมาจากในห้องครัวของบ้านแล้วหยิบเอาเนื้อที่เหลือออกมาพร้อมสอบสวนหลินจื่อเหยียนและบุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลหลินอย่างดุดัน
1 การสอบถงเซิง คล้ายการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน ผู้สมัครสอบในระดับนี้ไม่ว่ามีอายุมากน้อยเท่าไรก็จะเรียกว่าถงเซิง แปลตามตัวอักษรว่า บัณฑิตเด็ก
2 เยวี่ยนซื่อ ถือเป็นการสอบคัดเลือกข้าราชการเข้าปกครองในระดับอำเภอ หากผ่านการสอบดังกล่าวจะได้เลื่อนขั้นเป็นซิ่วไฉ
3 ซิ่วไฉ คือ บัณฑิตระดับอำเภอ
ตอนต่อไป