บทที่ 45 ความลับที่อยู่ในท้อง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 45 ความลับที่อยู่ในท้อง

อีกคนหนึ่งกลับนั่งแคะโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะว่าตรงหน้าเขามีเพียงโจ๊กหนึ่งชาม ทั้งในโจ๊กยังผสมของบางอย่างที่มีกลิ่นแปลกด้วย สภาพจิตใจหดหู่เแบบสุด

“นังเด็กบ้า ไหนละเนื้อไก่เป็ดปลา ทำไมเนื้อเนื้อไก่เป็ดปลาล้วนเป็นของเจ้า แต่ของข้ากลับเป็นเพียงโจ๊กเปล่าหนึ่งชามกับอาหารมังสวิรัติ” ชายชราแสดงอาการทักท้วง

แต่ทว่าการทักท้วงไร้ผล

หลานเยาเยาที่จับน่องไก่กัดกินไปด้วยแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย และอธิบายอย่างอดทนไปด้วย

“ตาแก่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้เจ้ากินนะ และก็ไม่ใช่เพราะห่วงเศษเหรียญเงินนั่น เจ้าดูสภาพร่างกายของตัวเจ้าตอนนี้สิทั้งอ่อนแอมาก และยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก จะกินของมันๆไม่ได้ ต้องกินของจืดๆ แบบนี้ถึงจะดีต่อร่างกาย ”

พูดไปก็ผลักอาหารมังสวิรัติหลายเมนูที่นางตั้งใจสั่งเพื่อเขาให้วางอยู่ตรงหน้าเขา

“เจ้าดูผักปวยเล้งอันนี้ ข้างในของมันอุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีน โปรตีน ซึ่งสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันได้

แล้วยังมีมะเขือเทศแผ่นนี้ด้วยนะ อันนี้คุณค่าทางโภชนาการยิ่งสูงเลย ข้างในของมันมีสารไลโคปีนที่สามารถต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการแก่ก่อนวัยได้

เจ้าดูอันนี้ด้วย แล้วก็อันนี้ อันนี้ เยอะมากเลย ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่จะช่วยให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงมากขึ้น เจ้ายังจะมาหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พอใจอะไรอีก? อย่าเป็นคนที่มีความสุขอยู่รอบกาย แต่กลับไม่รู้ว่านั้นคือความสุขล่ะ”

ขณะที่พูด นางก็กินน่องไก่ในมือหมดไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็เช็ดปาก และมองเห็นชายชราผมขาวเบะปากใส่ เหมือนกับว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนางเลยสักนิด จึงพูดอีกครั้งว่า

“รอกินข้าวหมด ข้าจะพาเจ้าไปหาที่อยู่ปักหลัก จากนั้นข้าจะรักษาตาของเจ้า รับประกันว่าพรุ่งนี้ก็หาย รอเจ้าหายดีแล้ว อยากกินอะไรก็กินอะไรได้เลย”

แบบนี้แล้วไม่ควรหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วนะ?

เป็นอย่างที่คาดไว้

แค่ได้ยินว่าจะรักษาตาให้เขา ชายชราผมขาวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที รีบยกชามโจ๊กตรงหน้า แบบไม่กลัวร้อนเลย เพียงครู่เดียว ก็ทานโจ๊ก “อึก อึก อึก อึก” จนหมดชาม

จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบผักใส่เข้าปากอย่างตรงจุดถูกต้อง…

ทำให้หลานเยาเยาต้องเบิกตากว้าง

จากนั้นก็ลองโบกมือไปมาตรงหน้าเขา ซึ่งเคยยืนยันแล้วว่าตาเขาบอดชั่วคราวจริง แต่ว่าดูท่าทางการกินผักของเขา อาการไม่เหมือนคนที่มองไม่เห็นเลยนะ

“นังเด็กบ้า หยุดโบกได้แล้ว ข้าน่ะมองไม่เห็นจริงๆ”

ชายชราผมขาวที่พูดอยู่ตอนนี้ ไร้ซึ่งอาการงอนก่อนหน้า

และยิ้มให้นางอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“เจ้ามองไม่เห็นแล้วรู้ได้ยังไงว่ามือข้าโบกอยู่ตรงหน้าเจ้า”

เก่งขนาดเลยหรือ

หากจะพูดว่าเป็นคนที่ตาบอดมานาน นางก็พอทำใจเชื่อได้ เพราะว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมานานนั้นประสาทหูจะไวเป็นพิเศษ สามารถรับรู้ได้ว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่ผ่านเสียงเล็กๆที่ดังขึ้นได้

แต่ทว่าชายชราผมขาวคนนี้ต่างออกไป เขาเพิ่งจะตาบอดไปได้ไม่นาน ประสาทหูไม่น่าจะไวขนาดนี้นะ

“เคยใช้ชีวิตอยู่ในคุกลับมาตั้งหลายปี ตอนที่ไม่มีคนมา ข้าต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืด มีตากับไม่มีตาไม่ได้แตกต่าง

นานวันเข้า

ประมาณว่าหูสามารถทำหน้าที่แทนตาได้แล้ว บางทีการไม่มีตายิ่งสามารถทำให้แยกแยะเรื่องดีร้ายได้ดีกว่า”

คำพูดของเขาดูมีนัยยะแอบแฝง พูดจาลึกซึ้งคลุมเครือ

ถึงแม้หลานเยาเยาจะฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าพยักหน้าตอบรับอย่างตั้งใจ จากนั้นพูดอย่างเอาจริงเอาจังในเรื่องนั้นว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตาของเจ้ายังจะรักษาอยู่ไหม?”

ฟังความที่เขาพูดแล้ว การไม่มีตาสามารถแยกแยะเรื่องดีชั่วได้ดีกว่าการมีตา ดังนั้นเขาคงหวังว่าไม่ต้องรักษาตาให้หายก็ได้มั้ง

แค่เพียงไม่รักษา ก็หมายความว่านางสามารถประหยัดเงินค่ายารักษาได้เยอะเลยทีเดียว

“นางเด็กบ้า ใครบอกว่าไม่ต้องล่ะ ข้าดื่มโจ๊กหมดแล้ว ผักก็กินหมดแล้ว เจ้าอย่ามาคืนคำนะ” ชายชราผมขาวใจร้อนขึ้นมาทันที

ล้อเล่นอะไรกัน?

ตอนที่ต้องอยู่ในคุกใต้ดินนั่นเป็นเพราะว่าไม่มีทางเลือก ตาไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ออกมาแล้วการใช้ประโยชน์ของดวงตามีเยอะแยะถมไป

เขายังคงต้องใช้ดวงตาแก่ๆคู่นี้ของเขาเพื่อไปดูโลกในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาผ่านไปในคุกหลายปี

พวกเพื่อนร่วมงานยังมีชีวิตอยู่ไหม?

ไฮ้

เกรงว่าคงเหลือไม่กี่คนแล้วล่ะ

——

ยามจื่อเพิ่งผ่านไป หมอกบางๆดั่งแพรไหมบางที่ยิ่งอยู่ยิ่งหนาขึ้น พระจันทร์เสี้ยวที่ถูกปิดไว้ครึ่งดวงได้ถูกเมฆหนาบดบังไว้หมดแล้ว

ในตรอกซอยลึกๆ บ้านหลังหนึ่งที่ถูกละทิ้งมาเป็นเวลานานข้างในมีแสงเทียนสว่างไสว ลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เก่าผุพัง ทำให้เทียนดับไปหนึ่งเล่ม

เสียงแก่หง่อมเอือมๆดังขึ้น

“นังเด็กบ้า เจ้าบอกว่าห้องนี้คือห้องเกรดพรีเมี่ยมของโรงแรมนี้หรือ?”

ที่นี่นอกจากมีเสียงลมพัด“วี๊ดๆ” และเสียงของเขาสองคนแล้ว อย่าว่าแต่เสียงตีระฆังบอกยามเลย แม้แต่เสียงอื่นๆก็ไม่มีเลย

นังเด็กบ้าไม่ใช่ว่าตระหนี่ขี้เหนียวจนพาเขามานอนในป่าในเขาหรอกนะ?

“แน่นอนสิ โรงแรมที่นี่ถึงแม้จะไกลไปหน่อย อาจจะเทียบไม่ได้กับโรงแรมหรูหราติดอันดับ แต่ว่าคนสามารถอยู่ได้ เจ้าก็ถูไถอยู่ไปก่อน ”

บ้านที่ถูกทิ้งร้างนี้ เป็นสถานที่เดียวกันกับที่แอบสะกดรอยตามพ่อบ้านในจวนคนก่อนกับพวกถิงเมี่ยนแลกเปลี่ยนข้อเสนอกัน

อาจจะดูโกโรโกโสไปหน่อย แต่ว่าพอบังลมบังฝนได้อยู่

นางก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ในมือมีเงินอยู่ไม่มากแล้ว นางกะว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปที่ร้านประมูลเสินตู เพื่อขายพวกยา จากนั้นซื้อบ้านสักหลังเพื่อตั้งหลัก

“ดีดีดี ข้าน่ะถูไถได้อยู่แล้ว เจ้าก็นอนเช้าหน่อยนะ นังเด็กบ้า”

ชายชราผมขาวลองจับดูตรงตาที่ใส่ยาและผ้าพันแผลไว้

ในใจถอนหายใจไปที หวังว่าพรุ่งนี้เขาจะมองเห็นได้แล้ว

อาจเป็นไปได้ว่าเขาทั้งสองคนต่างก็มีเรื่องในใจ อีกคนนอนที่ห้องด้านใน อีกคนนอนอยู่ห้องด้านนอก ทั้งสองหลับตาลง แต่กลับนอนไม่หลับ

กว่าจะทนจนถึงเช้าได้ ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ หลานเยาเยาได้ยินเสียง “ซีๆโซๆ”

ตามด้วยเสียง “อ๊าก” หนึ่งครั้ง เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของชายชราได้ผ่านเข้ามาในหู

ความง่วงงัวเงียของหลานเยาเยาหายไปทันที นางลุกขึ้นและรีบเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน

พอเข้ามาถึงที่ห้องก็พบชายชราผมขาวตกลงมาจากเตียงนอนเก่า นอนกลิ้งที่พื้นอย่างทุกข์ทรมาน

หลานเยาเยาชะงักไปครู่ นึกว่าตาของเขามีปัญหาอะไร รีบเดินไปดูอาการ

กลับพบว่าผ้าที่พันรอบดวงตาของชายชราผมขาวไว้ไม่ได้ถูกแตะเลย แต่มือทั้งคู่ของเขากุมที่ท้องไม่ใช่ที่ตา

แปลก?

หรือว่าจะเป็นอาหารเย็นเมื่อวาน?

จะเป็นไปได้อย่างไร?

อาหารเย็นเมื่อวานที่นางให้เขากินล้วนเป็นอาหารรสจืด ไม่มีของมันเลย จะท้องเสียได้อย่างไร และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งผลต่อร่างกายของเขา

งั้นตอนนี้มีความเป็นไปได้อีกอย่าง ร่างกายของเขานอกจากอ่อนแอและช้ำในแล้ว น่าจะมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เขาเจ็บปวดถึงปานนี้

“เว่ย ตาแก่ เจ้าไม่เป็นไรนะ ปวดท้องใช่ไหม ให้ข้าดูหน่อยนะ” พูดไปก็ไม่รอให้เขาตอบกลับเดินเข้าไปตรวจเช็คเลย

กลับคาดไม่ถึง……

ร่างของชายชราผมขาวหายไปไหนพริบตาต่อหน้านาง จากนั้นปรากฏตัวอีกที่ที่ห่างกันราวสามเมตร ใบหน้าเขาซีดเซียว และพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

“นังเด็กบ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไรหรอก ก็แค่โรคเก่ากำเริบ พักแป๊บก็หาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

มือที่หลานเยาเยายื่นออกไปหยุดอยู่ที่กลางอากาศ..