บทที่ 49 พลังปราณที่น่าประหลาดใจ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ข้าต้องเคยได้ยินชื่อเขาอยู่แล้วขอรับ” มู่หรงฉางเฟิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ “จริงๆ แล้วเขาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋ แต่น้อยคนนักที่จะจำเขาได้ ท่านพ่อ ทำไมจู่ๆ ท่านจึงถามถึงเขาหรือขอรับ”  

 

 

มู่หรงอ๋องดวงตาเป็นประกาย และดูเยือกเย็นเล็กน้อย “ทำไมรัฐบุรุษอาวุโสที่รับใช้ฮ่องเต้มาถึงสามรุ่น จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษา โดยไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอกเลยเล่า ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน ว่ากันว่าเหตุผลที่หน่วยพิฆาตวิญญาณ ถูกเรียกว่า ‘วิญญาณ’ ก็เพราะพวกเขาซ่อนตัวอย่างลึกลับอยู่ในทุกมุมของสำนักไท่ไป๋ นอกจากอดีตฮ่องเต้ที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร แต่สิ่งที่มั่นใจได้เรื่องหนึ่งก็คือ พวกเขาจะต้องอยู่ในสำนักศึกษาอย่างแน่นอน”  

 

 

“ความหมายของท่านพ่อคือห้วนหมิงเสียงคนนี้ เป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณเช่นนั้นหรือขอรับ” หลังจากที่มู่หรงฉางเฟิงสันนิษฐานเรื่องนี้ เขาก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ยากขึ้นเล็กน้อย “ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาศึกษาในสำนักไท่ไป๋ ข้าก็ไม่เคยเห็นผู้ฝึกปราณอาวุโสคนไหนที่มีบุคลิกสูงส่งดุจเซียนเลยสักคนนะขอรับ”  

 

 

“ห้วนหมิงเสียงเป็นคนแปลกประหลาด เขามักจะปรากฏตัวขึ้นมา และหายตัวไปราวกับวิญญาณ เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะปลอมตัวเป็นอาจารย์คนหนึ่งในสำนักศึกษา” มู่หรงอ๋องลูบคางของตนและครุ่นคิดอย่างจริงจัง “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็น่าจะอยู่ที่หอชั้นเลิศ เพราะที่นั่นมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะพบคนที่มีความสามารถในการเข้าร่วมกับหน่วยพิฆาตวิญญาณ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำตัวสุภาพนอบน้อมกับอาจารย์ทุกคน ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเมื่อมีศิษย์ใหม่เข้ามา ผู้นำทางจากหน่วยพิฆาตวิญญาณก็จะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน”  

 

 

 

 

 

สวบ สวบ สวบ… ครืด ครืด ครืด…  

 

 

ตรงมุมฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของย่านการค้า มีชายชราหลังค่อมคนหนึ่งถือไม้กวาดอยู่ในมือ และกำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นเงียบๆ นี่เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจัดสรรสื่อการอ่านสำหรับศิษย์ทั้งหลายโดยเฉพาะ ที่แห่งนี้จัดเก็บหนังสือและม้วนคัมภีร์โบราณจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ได้มาฝึกฝนพลังปราณกัน ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าควรจะกลับมาที่นี่อีกเลยสักคน  

 

 

ยกเว้นเฮ่อเหลียเวยเวย  

 

 

นางได้สูญเสียพลังปราณไปตอนอายุเจ็ดขวบ จึงไม่มีใครอยากสอนนาง แม้ว่าหยวนหมิง ผู้เป็นเทพแห่งความตายจะอยู่ที่นั่นด้วย แต่เขาก็เป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่ทำได้แค่เพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ให้กับนางเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น การศึกษาพลังปราณอย่างเป็นระบบนั้น นางยังต้องพึ่งพาตนเอง  

 

 

ภายในลานกว้างแห่งนี้ นอกจากชายชราที่กำลังกวาดพื้นคนนั้น ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกนั้นสาดส่องลงมา ทำให้เกิดบรรยากาศเงียบสงบอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในขณะที่ชายชราผู้ไม่โดดเด่นคนนั้นเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาก็มีแสงวาบผ่าน  

 

 

เขาหยิบไม้กวาดในมือแล้วกวาดพื้นไปทั่วบริเวณด้านหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ไออย่างหนัก หลังของเขาค่อมจนต้องแบกรับน้ำหนักอย่างมาก เขาถอนหายใจสองสามครั้ง ก่อนจะชี้ตรงชั้นหนังสือที่อยู่สูงขึ้นไป “สาวน้อย ข้าเห็นว่าเจ้าตัวสูงกว่าข้า เจ้าช่วยผู้เฒ่าอย่างข้าหยิบหนังสือพวกนั้นออกมาได้หรือไม่ ข้าจะได้ทำความสะอาดได้”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจดจ่อกับการอ่านหนังสือจนไม่ได้สังเกตว่ามีชายชราคนหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย แต่ตอนนี้ เมื่อนางเห็นว่าเขาขยับตัวไม่ค่อยสะดวกจริงๆ นางจึงลุกขึ้นยืนและหยิบหนังสือเล่มเก่าๆ เหล่านั้นออกมา และส่งให้ชายชรา ก่อนจะกลับไปตั้งใจอ่านหนังสือต่อ  

 

 

นางไม่คิดเลยว่าชายชราคนนั้นจะหายตัวไปอย่างกะทันหัน  

 

 

รูม่านตาของนางหดลง พร้อมกับหันไปมองข้างหลังของตนเองอย่างรวดเร็ว  

 

 

ชายชราคนนั้นเปลี่ยนรูปลักษณ์ไป ผมสีขาวเทาของเขาลอยขึ้นไปในอากาศ และมือข้างหนึ่งของเขาก็ไขว้อยู่ด้านหลัง ในขณะที่มืออีกข้างก็กำลังลูบเคราของตนเอง แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดเล็กน้อย และน้ำเสียงของเขาก็ทุ้มลึกและก้องกังวาน “ข้าทำความสะอาดที่นี่มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเจ้าเป็นคนแรกที่เต็มใจช่วยเหลือข้า สาวน้อย เจ้าจิตใจดีทีเดียว”  

 

 

“ข้าก็แค่เอื้อมมือเท่านั้น” ท่าทีของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ขณะเดียวกัน นางก็เอื้อมมือไปวางหนังสือเก่าๆ เล่มนั้นลง มุมปากของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูเรียบเฉย  

 

 

หยวนหมิงหรี่ตาลง “แม่นาง ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าระวังตัวด้วย”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งสัญญาณมือเพื่อบอกหยวนหมิงว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ นางไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายจากชายชราคนนี้ ช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของนางที่ต้องถืออาวุธมายาวนานหลายปีนั้น ทำให้นางมีสัญชาตญาณในการรับรู้ถึงอันตรายได้ สำหรับชายชราคนนี้ นางเห็นเพียงดวงตาอันแจ่มใส และดูสนใจในบางอย่าง โดยที่อีกฝ่ายไม่มีวัตถุประสงค์อื่นอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าคนๆ นี้ไม่มีอันตรายใดๆ  

 

 

ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะชื่นชมในความสุขุมของเฮ่อเหลียนเวยเวย และยิ้มออกมา “สาวน้อย ชายชราเช่นข้าไม่เคยเป็นหนี้ใคร ในเมื่อเจ้าช่วยข้าแล้ว ข้าก็จะตอบแทนบางอย่างให้กับเจ้า”  

 

 

เมื่อพูดจบ เขาก็ใช้กิ่งไม้ในมือชี้ไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วมวลพลังงานอันหนาและหนักแน่นก็ก่อตัวขึ้นเป็นจุดๆ อย่างซับซ้อนและแปลกประหลาด มันทรงพลังมากเสียจนสามารถทำลายภูเขาหรือแยกหินออกจากกันได้  

 

 

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลงทันที จากนั้น ร่างของนางก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วราวกับดอกพลัมที่ร่วงโรยลงมาพร้อมกับสายลมที่พัดอยู่รอบๆ นางใช้พลังปราณหยุดการโจมตีของเขาได้  

 

 

ดวงตาของชายชราเป็นประกาย และเริ่มโจมตีอีกครั้ง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นว่องไวมากทีเดียว นางสามารถหลบหลีกทุกการโจมตีได้อย่างคล่องแคล่วและยืดหยุ่น  

 

 

อย่างไรก็ตาม นางยังถือว่าเป็นมือใหม่ในการใช้พลังปราณต่อสู้  

 

 

และแล้วพลังของนางก็ค่อยๆ ลดลง…  

 

 

ชายชราฉวยจังหวะนี้จู่โจม และคิดว่าการประลองครั้งนี้คงจะจบลงแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะใช้กระบวนท่าที่เขาเพิ่งใช้ก่อนหน้านี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ  

 

 

ในตอนแรก ชายชรารู้สึกตกตะลึง แต่หลังจากนั้นเขาก็วางกิ่งไม้ไผ่ลงพร้อมกับหัวเราะอย่างต่อเนื่อง “ดี ดี ดี คาดไม่ถึงเลยว่าในโลกนี้จะมีเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้อยู่ด้วย ยอดเยี่ยม วิเศษมาก”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ในศตวรรษที่ 21 นางทำงานกับผู้คนจากทั้งฝั่งขาวและดำ อยู่ทั้งสองฝ่ายของกฎหมาย และได้ฝึกพัฒนาความจำจนเหนือมนุษย์ไปแล้ว ดังนั้น นางจึงสามารถใช้ทักษะกระบวนท่าที่เพิ่งได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวได้ในทันที  

 

 

ก่อนจะเคลื่อนไหว นางยังสามารถเปลี่ยนท่วงท่าและการตอบโต้ได้ตามสถานการณ์การต่อสู้อีกด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางต้องถือปืนกลพร้อมกับเดินทางไปทั่วเขตมณฑลยูนนาน มณฑลจาง และมณฑลไห่ ยังจะมีเรื่องอะไรที่นางไม่เคยเผชิญมาก่อนอีก ตอนนี้ นางหยิบกิ่งไม้มาและควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวของหญิงสาวเป็นไปตามที่นางต้องการ และเป็นธรรมชาติมาก โดยแต่ละท่วงท่านั้นแสดงออกมาได้อย่างสง่างาม  

 

 

“มาเถอะ ข้าจะส่งต่อวิชาเพลิงกลืนนภาให้กับเจ้าอีกครั้ง” เขาเฝ้ารออยู่ที่นี่มานานหลายปี และในที่สุด เขาก็พบผู้สืบทอดที่น่าทึ่งและเป็นไปตามที่เขาปรารถนา หัวใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนไม่อาจปกปิดได้ หากเป็นเด็กสาวคนนี้ นางจะต้องสามารถเรียนรู้ทักษะพิเศษของเขาได้อย่างแน่นอน  

 

 

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำว่า ‘เพลิงกลืนนภา’ นางก็รู้สึกดีใจเช่นกัน  

 

 

ในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ แม้แต่เด็กอายุสามขวบก็ยังต้องเคยได้ยินวิชาอันล้ำค่าที่หายสาบสูญไปนี้  

 

 

ว่ากันว่าวิชาที่สูญหายไปนี้ไม่ได้รับการสืบทอดต่อ หลังจากที่ผู้อาวุโสห้วนหมิงเสียง ที่เป็นถึงรัฐบุรุษอาวุโสสามสมัยได้เกษียณอายุและหายตัวไป  

 

 

และตอนนี้ ชายชราคนนี้ก็ต้องการที่จะส่งต่อวิชานั้นให้กับนางอย่างไม่คาดคิด…  

 

 

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย เดิมที นางรู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้อาวุโสคนนี้อยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่ควรเรียนรู้วิชาเพลิงกลืนนภา”  

 

 

“ทำไมเล่า” ห้วนหมิงเสียงตกตะลึง หรือนางจะเป็นเหมือนกับชายหนุ่มในวังที่เกลียดการตื่นเช้าคนนั้นเช่นนั้นหรือ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “แม้ว่าข้าจะยังฝึกฝนพลังปราณได้ไม่นานนัก แต่ข้าก็รู้ได้ว่าวิชาเพลิงกลืนนภาของผู้อาวุโสห้วนนั้นน่าจะเป็นธาตุไฟ และข้าก็รู้ดีว่าพลังปราณของข้าในตอนนี้นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับธาตุไฟเลย”  

 

 

“เจ้า…” ห้วนหมิงเสียงไม่แปลกใจเลยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดเดาตัวตนของเขาได้ ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าเด็กสาวคนนี้ฉลาดอย่างมาก และเรียนรู้เรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว  

 

 

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงลูบคางของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะขมวดคิ้วสีดอกเลาของตนเองทันที “พลังปราณของเจ้าไหลเวียนอย่างแปลกประหลาดนัก ดูเหมือนว่ามันจะเคยถูกทำลายมาก่อน แม้จะดูไร้รูปแบบ แต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่าอันน่าประหลาดใจ สาวน้อย เจ้ากำลังฝึกฝนทักษะใดอยู่หรือ”  

 

 

หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเช่นนั้น นางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร พลังปราณของข้าก็มีแนวทางที่แตกต่างจากเคล็ดวิชาเพลิงกลืนนภาอย่างมาก ในโลกนี้มีทักษะที่น่าอัศจรรย์อีกมากมายนับไม่ถ้วนให้เรียนรู้ การเรียนรู้ทักษะต่างๆ มากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป บางคนอาจสูญเสียการควบคุมและเสียสติไปโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้ ตอนนี้ ข้าพอใจกับการเรียนรู้ของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าข้าจะใช้ทักษะใดๆ ก็จะสามารถใช้ได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของข้าได้ทั้งสิ้น”  

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ห้วนหมิงเสียงก็ชะงักไปชั่วขณะ หลังจากนั้นเขาก็มองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาเป็นประกาย “ฮ่าๆ ข้าไม่คิดเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าในขณะที่ผู้ฝึกปราณนั้นไม่อาจเอาชนะความโลภในใจของพวกเขาได้ แต่เจ้ากลับตระหนักรู้ถึงหลักการข้อนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”  

 

 

“เป็นเพราะว่าข้าผ่านการต่อสู้มามากมายนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางของตนขึ้น และมองดูพระอาทิตย์ตกดิน “ใกล้ค่ำแล้ว ผู้อาวุโสห้วนก็ควรจะพักผ่อนเร็วๆ อย่ามัวแต่กวาดพื้นอยู่ในที่เดิมๆ จนทำให้ตัวตนที่แท้จริงของท่านถูกเปิดเผยออกมาได้ง่าย”  

 

 

ห้วนหมิงเสียงมองดูรอบๆ พื้นที่ที่เขากวาดนั้นดูสะอาดสะอ้านกว่าบริเวณอื่นๆ สีหน้าของเขาก็ตกตะลึง หลังจากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นมาลูบเคราของตน ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดกับใคร แต่เขาก็ดูมีความสุข “เด็กสาวคนนี้ช่าง…โดดเด่นยิ่งนัก อ่า ไม่ธรรมดาเลย ไปที่หอชั้นเลิศเพื่อสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาวคนนี้ หน่วยพิฆาตวิญญาณจะเปิดรับสมาชิกใหม่ในปีนี้”  

 

 

“ผู้อาวุโสห้วนขอรับ นาง… นางไม่ได้อยู่ในหอชั้นเลิศขอรับ” เงาทมิฬที่คุกเข่าอยู่บนพื้นหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย  

 

 

ห้วนหมิงเสียงหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ “ไม่ได้อยู่ที่หอชั้นเลิศหรอกหรือ แล้วนางมาจากหอชั้นใดกัน หอชั้นเยี่ยมเช่นนั้นหรือ”  

 

 

“แค่ก แค่ก” เงาทมิฬกระแอมสองครั้ง “นางอยู่หอสามัญขอรับ อันที่จริงแล้ว นางคือคนที่ท่านรังเกียจเมื่อไม่นานมานี้ขอรับ นางคือบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนขอรับ”