บทที่ 48 ยินยอมคัดเลือกพระชายา

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“อาเจวี๋ย ข้าต้องเตือนเจ้าว่าเจ้ายังเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิจ้านหลงอยู่นะ” อย่าเสแสร้งจนเกินไป เขาเริ่มจะอาหารไม่ย่อยจากการดูเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ แม้แต่ขนตามตัวของเขาก็ยังลุกไปด้วย  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขา และกลับไปแสดงท่าทีเยือกเย็นตามเดิม พร้อมกับเดินออกจากห้องโถงในทันที  

 

 

หนานกงเลี่ยมองซ้ายมองขวา “ว่าแต่เด็กสาวคนนั้นไปไหนหรือ นางออกไปตั้งนานแล้ว ทำไมจึงยังไม่กลับอีก”  

 

 

บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็กำลังพักผ่อนกันอยู่ด้านนอกห้องโถง เด็กสาวคนหนึ่งได้ยินคำพูดของหนานกงเลี่ย จึงตอบกลับอย่างเขินอาย “ท่านพูดถึงเฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ”  

 

 

“หือ เจ้ารู้เช่นนั้นหรือ” หนานกงเลี่ยยิ้มให้อย่างอ่อนโยนราวกับสายน้ำ  

 

 

ใบหน้าของนางแดงระเรื่อขณะที่ตอบกลับอย่างนุ่มนวล “มีคนเพิ่งเห็นว่าข้ารับใช้ของมู่หรงซื่อจื่อกำลังตามหานางอยู่ นางน่าจะนัดพบกับเขาที่ย่านการค้า อย่างไรเสีย นางก็หลงรักมู่หรงซื่อจื่อมานานแล้ว ถึงแม้ว่านางจะพูดจาหนักแน่นต่อหน้าผู้คน แต่นางอาจจะกำลังคิดหาวิธีขอคืนดีกับเขาอยู่ก็เป็นได้ หากท่านอยากจะพบนาง ก็ลองไปหาที่ย่านการค้าดูได้”  

 

 

นิ้วที่เรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดลง เขาฟังอย่างสุขุมด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ  

 

 

“ในเมื่อพวกเขาคืนดีกันแล้ว เราก็ไม่ควรไปรบกวนพวกเขา” หนานกงเลี่ยหันหน้ามา ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้ม “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ คลายบังเหียนลงบ้าง จะได้จับมันแน่นขึ้น ผู้หญิงคนนั้นเชี่ยวชาญในการเล่นสนุกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่นางต้องการ”  

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เศษเหล็กในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขยับเล็กน้อย ทำให้เกิดรอยแตกบนชั้นผิวของตัวโลหะ  

 

 

หนานกงเลี่ยมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ “อาเจวี๋ย”  

 

 

“อืม” น้ำเสียงที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบกลับนั้นฟังดูเฉยเมย เช่นเดียวกับสีหน้าของเขา  

 

 

หนานกงเลี่ยจับจมูกของตน และไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เขาถึงรู้สึกราวกับว่าอาเจวี๋ยกำลังขุ่นเคืองใจอยู่  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเขา และเดินจากไปอย่างช้าๆ ร่างเพรียวบางของเขาหายลับไปกับขอบฟ้าในยามพลบค่ำอย่างรวดเร็ว  

 

 

“ฝ่าบาท” เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ เงาทมิฬก็ปรากฏตัวลงมาจากยอดไม้ และคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น  

 

 

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองผ่านคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไปแจ้งกองกำลังหลวงว่าให้รอข้าอยู่ที่เชิงเขา”  

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงเพื่อรับคำสั่ง แววตาของเขาเผยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะสองสามวันที่ผ่านมา ฝ่าบาทของเขาเอาแต่เล่นซ่อนแอบกับอดีตฮ่องเต้ แต่ตอนนี้เขากลับต้องการจะแจ้งให้กองกำลังหลวงรู้ และให้พวกเขารออยู่ที่เชิงเขา  

 

 

หรือว่าเขา…จะยอมไปคัดเลือกพระชายาแล้วเช่นนั้นหรือ  

 

 

 

 

 

เมื่อพระอาทิตย์ตก ผู้คนมากมายต่างก็เดินในย่านการค้ากันอย่างขวักไขว่  

 

 

ข้ารับใช้ที่แต่งตัวเหมือนกับบัณฑิตเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยขณะที่กำลังมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ราวกับว่าเขาทำตามคำขอของนางที่ให้มาพบกันแล้ว “เฮ่อเหลียนเวยเวย นายน้อยของข้าบอกมาว่าอะไรที่ผ่านไปแล้ว เขาก็จะปล่อยมันไป เจ้าควรไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน หากการแต่งงานครั้งนี้ถูกยกเลิกอีก ก็จะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้ว”  

 

 

“เจ้าพูดจบแล้วหรือยัง” สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยดูเย็นชา น้ำเสียงของนางไม่ได้เร็วหรือช้า “หากเจ้าพูดจบแล้ว ก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ”  

 

 

ข้ารับใช้ตัวเล็กคนนี้รู้จักนางเป็นอย่างดี ตลอดทั้งปีนั้น นางติดตามมู่หรงฉางเฟิงอย่างใกล้ชิดและมักจะทำตัวหยิ่งยโสเสมอ เมื่อนางพบเจอพวกคุณหนูที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ นางก็ไม่เคยทักทายหรือแสดงความเคารพอีกฝ่ายเลย กล่าวได้ว่านี่เป็นนิสัยของนางไปแล้ว  

 

 

“เจ้า เจ้า” ข้ารับใช้คนนี้ไม่เคยรู้สึกโกรธเคืองใครขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเจอเขา คนเหล่านั้นก็จะทำตัวสุภาพและมีมารยาทกับเขาเสมอ เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของจวนอ๋องมู่หรงผู้เป็นที่นับหน้าถือตา แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ได้มองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น แต่ก่อน นางจะติดตามเขาไปทุกที่เพื่อไถ่ถามเขา และต้องการให้เขาบอกข่าวเกี่ยวกับนายน้อยมู่หรง ทว่าจู่ๆ ตอนนี้ นางกลับขับไล่เขาออกไป  

 

 

“เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” ข้ารับใช้คนนั้นตะโกนออกมาด้วยความแค้นเคือง พร้อมกับเดินจากไป  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยแคะหูของตนเองด้วยความหงุดหงิด ดวงตาคู่นั้นกวาดมองผู้คนรอบข้างที่กำลังมองดูละครฉากนี้อยู่ นางสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ท่าทีของนางไม่เปลี่ยนไปเลย จากนั้นจึงก้าวเดินไปบนถนนอย่างเฉื่อยชาและสุขุม  

 

 

“ชิๆๆ คนพวกนี้มีตาหามีแววไม่เสียจริง” น้ำเสียงของหยวนหมิงฟังดูเย่อหยิ่งเหมือนเคย  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าตื่นแล้วหรือ ดูเหมือนว่าพลังปราณของเจ้าจะฟื้นสภาพได้ดีทีเดียว”  

 

 

“หากเจ้าต่อสู้อีกสักสองสามครั้ง ข้าก็จะดีขึ้นกว่านี้มาก” หยวนหมิงเลียริมฝีปากอย่างกระหายเลือด  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบหนังสือโบราณในมือและหัวเราะเบาๆ “อย่ากังวลไปเลย ข้าคิดไว้แล้วว่าจะรีดเลือดของคนพวกนั้นอย่างไร”  

 

 

หยวนหมิงมองผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ริมฝีปากบางค่อยๆ ยกขึ้นเล็กน้อย  

 

 

พวกสำนักไท่ไป๋ พวกเจ้าคงไม่คิดว่าหลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ร้อยปี ข้าก็กลับมาอีกครั้ง  

 

 

 

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลังจากที่มู่หรงฉางเฟิงได้ฟังเรื่องราวจากข้ารับใช้ที่เพิ่งจะกลับมารายงานให้เขาทราบ ถ้วยชาในมือของเขาก็ถูกบีบจนแทบจะบิดเบี้ยวผิดรูป  

 

 

ข้ารับใช้คนนั้นรู้สึกฉุนเฉียวเช่นกัน “ผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนั้นขับไล่ข้าออกมาขอรับ นายน้อย ข้าไม่ได้อยากจะพูดมาก แต่ผู้หญิงแบบนางนั้น เชอะ ต่อให้ท่านจะใจดีด้วย ก็เปล่าประโยชน์ขอรับ”  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงที่เดิมทีก็รู้สึกอารมณ์เสียอยู่แล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของข้ารับใช้อีก เขาก็รู้สึกราวกับถูกก้อนหินขนาดใหญ่ทับตรงหน้าอกของตนเอง มันเป็นความกดดันที่ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อเขาตั้งใจจะคืนดี แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับปฏิเสธเขาอย่างไม่ต้องคิดเช่นนี้  

 

 

ปัง  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงเขวี้ยงถ้วยชาในมือด้วยความฉุนเฉียว  

 

 

น้ำสาดกระเซ็นไปโดนใบหน้าของข้ารับใช้ตัวเล็กคนนั้น เขาตัวสั่นสะท้านและตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด ไม่กล้าพูดอะไรอีก  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงสูดหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าพูดถูก ผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่คู่ควรที่จะได้รับความเมตตาจากข้า”  

 

 

เดิมที เขาตั้งใจจะพานางไปพบกับท่านพ่อของเขา แต่ในเมื่อนางปฏิเสธเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ  

 

 

ถึงนางจะได้รับความโปรดปรานจากท่านปรมาจารย์ แต่นางจะสามารถประสบความสำเร็จด้วยตัวนางเองได้อย่างไรเล่า  

 

 

เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่ง นางจะต้องกลับมาขอร้องเขา  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงมองข้ารับใช้ตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง “ท่านพ่อมาถึงแล้วหรือยัง”  

 

 

“ท่านอ๋องมาถึงแล้วขอรับ กำลังพูดคุยกับเหล่าอาจารย์อยู่ เขาจะมาที่นี่หลังจากที่คุยเสร็จแล้วขอรับ” เสียงของข้ารับใช้ตัวเล็กคนนั้นเพิ่งจะจบลง มู่หรงชินอ๋องก็เดินเข้ามา เขาสวมใส่ชุดพิธีการหรูหรา ภาพลักษณ์ของเขาดูร่ำรวยและสูงส่งอย่างมาก เมื่อเห็นลูกชายสุดที่รัก ใบหน้าอันเคร่งขรึมและเข้มงวดก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เฟิงเอ๋อร์”  

 

 

“ท่านพ่อ” มู่หรงฉางเฟิงรีบลุกขึ้นยืน  

 

 

มู่หรงอ๋องตบไหล่ของเขา “เจ้าทำดีมาก มาถึงพวกอาจารย์ต่างก็ดึงตัวข้าไปพูดชื่นชมเจ้าตลอดครึ่งวัน”  

 

 

“ก็แค่คำเยินยอทั่วไปขอรับ” ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงฉางเฟิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย  

 

 

มู่หรงอ๋องชื่นชอบความโอหังนี้ “ดี เฟิงเอ๋อร์พูดถูก มันก็เป็นเพียงคำเยินยอเท่านั้น ข้ามาที่นี่เพราะกังวลว่าเจ้าจะสงบใจได้ยาก แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสุขุมและสงบเช่นนี้ ท่านพ่อเช่นข้าก็รู้สึกพอใจอย่างมาก ว่าแต่อาจารย์ตู๋เทียนอยู่ที่ใดหรือ ทำไมครั้งนี้ ข้าถึงยังไม่เจอเขาที่สำนักศึกษาเลย”  

 

 

“อาจารย์ยังคงตามหาอัจฉริยะที่เขาพบในหอเฟิ่งหวงวันนั้นอยู่ขอรับ” มู่หรงฉางเฟิงกำมือแน่น “ข้าเองก็ไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นเป็นเช่นไร แต่อาจารย์ดูเป็นกังวลอย่างมาก แม้ข้าจะมาถึงสำนักไท่ไป๋แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ปรากฎตัวเลย”  

 

 

มู่หรงอ๋องหลับตาลงและตอบกลับ “ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ก็ไม่สำคัญ แม้ว่าการเป็นเจ้ายุทธ์นั้นยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าต้องทำ คือตามหาหน่วยพิฆาตวิญญาณ และเข้าไปเป็นสมาชิกของพวกเขาให้ได้ การเป็นเจ้ายุทธ์นั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้เจ้าเข้าร่วมในหน่วยพิฆาตวิญญาณได้เท่านั้น”  

 

 

“ท่านพ่ออย่าห่วงไปเลย ข้าไม่มีวันลืมคำพูดของท่านพ่อหรอกขอรับ” เมื่อมู่หรงอ๋องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ  

 

 

มู่หรงอ๋องพยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับเอามือลูบเคราของตน “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับรัฐบุรุษอาวุโสห้วนหมิงเสียง ที่รับใช้ฮ่องเต้มาแล้วสามรุ่นหรือไม่”