บทที่ 47 องค์ชายสองหน้า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วถามว่า “ของพวกนี้คืออะไรหรือ ดูน่าสนใจทีเดียว”  

 

 

หนานกงเลี่ยอ้าปากคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง…  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตาไปมองเขาอย่างเย็นชา หนานกงเลี่ยถึงกับรีบหุบปากฉับทันที พลางนึกในใจว่า เพียงแค่นี้เจ้าหมอนี่ก็โมโหขึ้นมาเสียแล้ว! [ตอนเจ้าอายุได้แค่เจ็ดขวบ เจ้าก็เล่นกับอาวุธมาทุกชนิดแล้ว แต่ตอนนี้กลับแสร้งทำตัวเป็นมือใหม่ได้อย่างน่าไม่อายเชียวหรือ!? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าเศษเหล็กพวกนั้นเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ ที่วังปีศาจยังมีวัสดุเก็บเอาไว้รอให้เจ้าไปเล่นอยู่อีกมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยมิใช่หรือ?!]  

 

 

เขาต้องยอมรับว่าทักษะการแสดงขององค์ชายบางพระองค์นั้นช่างโดดเด่นเสียเหลือเกิน ดวงตาอันลึกล้ำคู่นั้นดูใสซื่อไร้เดียงสาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นแม้กระทั่งสายลับยอดฝีมืออย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังไม่นึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย นางอธิบายอย่างเกียจคร้านว่า “ของเล่นธรรมดาๆ ที่ไว้ฝึกนิ้วมือของข้าน่ะ ตอนนี้มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะยังประกอบไม่เสร็จ แต่รอจนกว่าข้าจะทำเสร็จก็แล้วกัน แล้วข้าจะมอบมันให้กับเจ้า” พอพูดจบ นางก็เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ถือว่าเป็นค่าชดเชยที่เมื่อวันก่อนข้าไปเห็นเรือนร่างของเจ้าเข้าก็แล้วกัน”  

 

 

หนานกงเลี่ยที่เพิ่งจิบน้ำเข้าปากเกือบจะพ่นน้ำที่ยังไม่ได้กลืนลงคอออกมา เขาสำลักพรวด แล้วไอค่อกๆ แค่กๆ อยู่อย่างนั้น บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ช่าง… ใจกล้ายิ่งนัก!  

 

 

ในเมืองหลวง ย่อมไม่มีคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดที่กล้าพูดออกมาโต้งๆ ว่า ‘เห็นเรือนร่างของเจ้า’ เช่นนี้ ต้องบอกว่ารสนิยมขององค์ชายบางพระองค์ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครจริงๆ  

 

 

“ข้าจะตั้งตารอ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนิ่งไปในตอนแรก แต่จากนั้นเขาก็ค่อยๆ แย้มรอยยิ้มราวกับปีศาจร้ายออกมา  

 

 

หนานกงเลี่ยตัวสั่น เมื่อมองดูอีกฝ่ายจากทางด้านข้าง ขณะที่เริ่มคิดคำนวณว่าบุตรสาวคนโตจากตระกูลเฮ่อเหลียนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน  

 

 

แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือการที่อาเจวี๋ยดูเหมือนจะนิสัยดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอยู่หน่อยๆ เขาทำกระทั่งช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวยเลือกเศษเหล็กที่สามารถใช้ได้ แล้วนำมันมาเรียงต่อกันไว้ให้นางด้วย  

 

 

แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไร โดยปกติแล้ว อารมณ์ขององค์ชายนั้นก็มักจะคาดเดายากเสมอ มีหลายครั้งทีเดียวที่แม้แต่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วพลางมองการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเป็นกันเองว่า “เจ้าเองก็คงได้ยินที่คนพวกนั้นพูดแล้วนี่ เจ้าไม่กลัวหรือว่าของที่ข้าสร้างขึ้นจะแย่จนไม่สามารถเอาออกมาให้คนอื่นเห็นได้”  

 

 

“ไม่กลัว” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความกังวลแต่กลับสงบราวกับสายลมอันบางเบา มือข้างหนึ่งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกขึ้นเท้าคาง และวางเศษเหล็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เส้นผมสีดำของเขาทิ้งตัวลงมาครึ่งหนึ่ง กลิ่นอายของผู้ที่มีองค์ความรู้แผ่ออกมาอย่างรุนแรง  

 

 

นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางจึงยื่นมือไปหยิบเศษเหล็กในมือของเขามาไว้ในมือของตน “เจ้าพวกนี้ใช้การไม่ได้หรอก เอาไว้ถ้าข้าเจอของที่เหมาะสมเมื่อไหร่ ข้าค่อยทำให้เจ้าทีหลังก็แล้วกัน” ในเมื่อชายคนนี้เชื่อในตัวนาง เช่นนั้นนางก็ควรจะปฏิบัติกับเขาด้วยความจริงใจ  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคยพบยอดฝีมือในการประกอบอาวุธมาแล้วนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่าเหล็กเย็นๆ เหล่านั้นล้วนแต่ไม่สมประกอบ แต่ใบหน้าอันเฉยชาของเขานั้นกลับปรากฏความงุนงงและผิดหวังขึ้นมา  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าโดยปกติแล้วศิษย์ใหม่ทุกคนที่เข้ามาภายในสำนักต่างก็อยากมีอาวุธที่เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แต่เพราะอาวุธเหล่านั้นเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง ทางสำนักจึงไม่สามารถจัดเตรียมให้กับศิษย์ใหม่ทุกคนได้ แต่อันที่จริงนั้น ทรัพยากรทั้งหมดถูกยกให้หอชั้นเลิศไปแล้วต่างหาก  

 

 

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้านางคนนี้จะอยากได้อาวุธกับเขาบ้าง  

 

 

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยมักรู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอดว่าชายคนนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล… จริงสิ นางนึกออกแล้ว!  

 

 

“ตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรก เจ้าพาองครักษ์มาด้วยมิใช่หรือ คนที่มีฐานะสูงส่งเช่นเจ้าตกต่ำจนถึงขั้นไม่สามารถซื้อหมวกนักปราชญ์สักใบได้อย่างไร”  

 

 

ร่างของหนานกงเลี่ยชะงักไป จบสิ้นแล้ว ฐานะที่แท้จริงของพวกเขากำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว!  

 

 

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยพลางเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ราวกับกำลังพูดความจริงอยู่ “ข้าสูญเสียพลังปราณทั้งหมดไป ส่วนตระกูลของข้าก็ช่วยข้าจ่ายให้เพียงค่าเล่าเรียน และส่งองครักษ์มาเป็นเพื่อนร่วมทางของข้าเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เตรียมสิ่งใดเอาไว้ให้ข้าอีก”  

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาในฐานะคนที่มีชะตากรรมเดียวกันกับนาง นางตบบ่าเขาเบาๆ “เจ้าอย่ารู้สึกเศร้าเสียใจไปเลย ในอนาคต คนพวกนั้นจะต้องเสียใจแน่!”  

 

 

เมื่อได้เห็นการกระทำของนาง มุมปากของหนานกงเลี่ยก็กระตุกไปสองที  

 

 

คุณหนูเฮ่อเหลียน คนที่จะต้องนึกเสียใจในอนาคตคือเจ้าต่างหาก เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?!  

 

 

ไม่เคยมีใครกล้าตบบ่าองค์ชายสามเช่นนั้นมาก่อน เฮ้ย เฮ้ย!  

 

 

“จริงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตากลับมา แล้วหลุบตาลง ผมของเขาเป็นสีดำและดูอ่อนนุ่ม มองครั้งแรกเขาดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปงามแสนไร้เดียงสาที่เพิ่งจะเคยออกมาสู่โลกภายนอก  

 

 

สีหน้าของหนานกงเลี่ยที่มองดูอยู่ข้างๆ ยับยู่ยี่ เสแสร้งยิ่งนัก เจ้าหมอนี่จะแสดงละครเก่งเกินไปแล้ว! ฮ่องเต้ทรงทราบหรือยังว่าเจ้าสามารถเสแสร้งแกล้งทำได้ขนาดนี้!  

 

 

แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจะลูบศีรษะเขา นางยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้มมกับเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง มีพี่สาวคอยปกป้องดูแลเจ้าอยู่ที่นี่ทั้งคน รับรองว่าฐานะของเจ้าจะต้องกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อย่างรวดเร็วแน่!”  

 

 

หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ ไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สั่นเล็กน้อย นางถึงกับคิดว่าเขาคงรู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดหัวใจ ด้วยเหตุนั้นนางจึงยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาอีกหลายครั้ง  

 

 

แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือมุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งหันหลังไปอีกด้านนั้น มีรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่ดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขาแทบจะกลั้นความสุขที่เอ่อล้นขึ้นมาของตัวเองเอาไว้ไม่ไหว อา ‘เจ้าตัวเล็ก’ นี่ ยิ่งเขามองเท่าไหร่ นางก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขาเล่นด้วยเขาก็ยิ่งไม่อยากกลับไปสู่ฐานะเดิมของตน และไปอยู่ที่หอชั้นเลิศเลย…  

 

 

“อาจารย์มาแล้ว!”  

 

 

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา แต่ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบลงโดยพลัน อาจารย์ในชุดเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์สีขาวเดินเข้ามาข้างใน เขาหยิบม้วนกระดาษหน้าตาโบราณขึ้นมา และแล้วการเรียนการสอนในคาบแรกจึงเริ่มขึ้น  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ฟัง นิ้วของนางยังคงเล่นกับเศษเหล็กพวกนั้นอยู่ เสียงอันแผ่วเบาดังกังวานเป็นจังหวะ เดิมทีนั้นการเคลื่อนไหวของนางก็งดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาประกอบกับเสียงแล้ว จึงฟังดูคล้ายกับเสียงดนตรีอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

หลังจากที่อาจารย์สอนเนื้อหาจบ เขาก็เอามือไพล่หลัง แล้วเดินไปรอบห้อง เมื่อเขาเดินมาถึงหน้านาง ร่างของชายสูงวัยก็ก้มลงพลางถามว่า “เจ้าถืออะไรอยู่ในมือ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำทุกอย่างรวมกันจนเกิดเสียง ‘กร๊อบ’ สีหน้าของนางสงบเยือกเย็นขณะตอบว่า “ไม่มีอะไรเสียหน่อย”  

 

 

ในเสี้ยววินาทีนั้น อาจารย์นึกว่าเขาตาลายไปเอง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาเช็ดตาตัวเองหลายครั้ง แล้วมองไปที่โต๊ะเตี้ยของเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกรอบ แต่นอกจากอาวุธคุณภาพดีชิ้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก  

 

 

เขาดูผิดไปหรือ  

 

 

อาจารย์ท่านนั้นสะบัดศีรษะครั้งหนึ่ง เขาเอามือไปไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “มีสมาธิให้มากกว่านี้ อย่าไขว้เขว”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ อย่างไม่ใส่ใจ นางรอจนกระทั่งอาจารย์เดินกลับไปแล้ว จากนั้นจึงหยิบเศษเหล็กกองที่สองขึ้นมาเล่นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

 

 

ระหว่างคาบเรียน อาจารย์คนนั้นเดินมาบริเวณที่เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว  

 

 

หลังเลิกเรียน ภายในห้องโถงก็เหลืออยู่เพียงสองร่างด้วยกัน  

 

 

หนึ่งในนั้นเล่นกับเศษเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ดวงตาของเขากลับพราวระยับอย่างนึกสนุก  

 

 

ขณะที่หนานกงเลี่ยกำลังลูบคางด้วยความชื่นชม “คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่ไม่มีพลังปราณกลับสามารถสร้างอาวุธถึงสามชิ้นภายในเวลาสั้นๆ ระหว่างคาบเรียนได้ มิหนำซ้ำในช่วงเวลาเดียวกันนั้นนางก็ยังสามารถยัดสตรอว์เบอร์รีเข้าปากไปได้อีกตั้งหลายครั้งด้วย ขนาดนี้ไม่ปกติแล้ว! อาเจวี๋ย แม้แต่ตาแก่อย่างตู๋เทียนก็ยังทำไม่ได้ถึงขนาดนี้เลย เจ้าว่าไหม”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืน นิ้วเรียวยาวของเขาลากผ่านอาวุธพื้นฐานพวกนั้นอย่างรวดเร็ว พอนึกถึงสิ่งที่ ‘เจ้าตัวเล็ก’ กล่าว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ไม่เลวเลยทีเดียว”  

 

 

“หือ” หนานกงเลี่ยวิ่งตามเขาไป “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ที่เจ้าบอกว่าไม่เลวนี่ เจ้าหมายถึงอาวุธหรือตัวคนกันแน่ หืม”  

 

 

อีกอย่าง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนี่กัน หมายความว่ายังไงที่บอกว่าตระกูลของเขาแค่ช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนให้ และแค่ส่งองครักษ์มาเป็นเพื่อนร่วมทาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเขาเองต่างหากที่คิดว่าพวกเขาน่ารำคาญจึงปฏิเสธการมีผู้ติดตามเยอะๆ  

 

 

ดังนั้นจีงไม่แปลกใจเลยที่จนถึงตอนนี้ บรรดาเสนาบดีกับอาจารย์พวกนั้นก็ยังคงรอคอยให้รถม้าจากวังหลวงมาที่นี่ แต่หารู้ไม่ว่าคนคนนี้มาถึงแล้ว อีกทั้งยังมาถึงตั้งนานแล้วด้วย…