บทที่ 46 สองคนรักใครกลมเกลียว

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ปีนี้มีศิษย์ใหม่สามคนจากหอสามัญผ่านการทดสอบด้วยจริงหรือ?! ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ”  

 

 

อาจารย์ที่มีหน้าที่จัดเรียงผลการสอบถือแฟ้มเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจที่นี่ยังมีรายงานผลการสอบจากเมื่อปีที่แล้วอยู่ ศิษย์ใหม่จากหอสามัญที่ทำคะแนนผ่านเกณฑ์ทุกคนล้วนแต่เลือกสาขาผู้เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนด้วยกันทั้งนั้น ต่างจากปีนี้ที่มีคนผ่านเกณฑ์ทั้งจากสาขาพลังปราณ และสาขาโหราศาสตร์ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!  

 

 

แต่หลายคนกลับไม่คิดที่จะสนใจ “ก็แค่ความบังเอิญ ดูนี่สิ มีคนหนึ่งที่คู่ต่อสู้ทิ้งการประลองไป แถมยังไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจนอีกด้วย”  

 

 

“เช่นนั้นเราจะมอบรางวัลกันเช่นไรล่ะ”  

 

 

อาจารย์ทั้งหลายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ คนหนึ่งมองหน้าอีกคน ส่วนอีกคนก็มองกลับมาพลางลูบเคราสีขาวของตน ด้วย ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี  

 

 

สุดท้ายพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่หันไปจ้องที่อาจารย์จากหอชั้นเลิศ  

 

 

อย่างไรเสียเรางวัลที่บอกว่าจะมอบให้ในตอนแรกก็คือผู้ชนะสามารถเข้าไปอยู่ที่หอชั้นเลิศได้ในทันที แต่… การกระโดดจากหอสามัญขึ้นไปยังหอชั้นเลิศโดยตรงเช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  

 

 

“ข้าขอเสนอให้พวกเรายกเลิกรางวัลในครั้งนี้เสีย” คนที่พูดเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบวิชาฝึกฝนพลังปราณของหอชั้นเลิศ เขาทำหน้าเคร่งเครียด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังว่า “พวกเราไม่ควรอนุญาตให้ศิษย์ที่ความจริงนั้นเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติ เข้ามาภายในหอชั้นเลิศเพียงเพราะความโชคดีแค่ครั้งเดียวได้ ท่านเจ้าสำนัก ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ แม้ว่าท่านจะอายุยังน้อยแต่ก็น่าจะเข้าใจได้ หากพวกเรามอบรางวัลไปทั้งอย่างนี้ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้หออื่นๆ รู้สึกไม่พอใจ ยิ่งกว่านั้น บรรดาลูกศิษย์ที่สำนักไท่ไป๋คัดเลือกให้เข้าไปยังหอชั้นเลิศด้วยความพิถีพิถันตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ในอนาคตพวกเขาอาจจะถูกคัดเลือกเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณด้วยซ้ำ พวกเราไม่อาจปล่อยให้ศิษย์สามคนนั้นเข้ามาง่ายๆ เช่นนี้ได้ มันจะเป็นการทำลายมาตรฐานของพวกเราเอง”  

 

 

ตู๋ซูเฟิงรับฟังอย่างใจเย็น แล้วยกถ้วยชาขึ้นมา น้ำเสียงของเขาราบเรียบขณะเอ่ยว่า “ข้าคิดว่ามาตรฐานของสำนักไท่ไป๋ก็คือการรักษาคำพูดเสียอีก”  

 

 

สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และมุมปากของเขาก็ยังมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏอยู่ด้วย แต่ความรู้สึกกดดันกลับพุ่งเข้าปะทะใบหน้าของอีกฝ่าย ทำให้อาจารย์ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาล  

 

 

แน่นอนว่าบรรดาอาจารย์ที่นี่ย่อมไม่อยากเห็นท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์ของหอชั้นเลิศขัดแย้งกันด้วยเรื่องนี้ พวกเขาจึงรีบแทรกขึ้นว่า “เราต้องให้รางวัลพวกเขา แต่สิ่งที่อาจารย์หลี่เหยียนกล่าวมานั้นก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ท่านเจ้าสำนัก ท่านคิดว่าแบบนี้เป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้ศิษย์ทั้งสามคนจากหอสามัญก็ยังไม่ได้ซื้อของที่จำเป็นสำหรับเข้าเรียนในสำนัก พวกเรามอบของเหล่านั้นให้เป็นรางวัลของพวกเขาคนละชุดดีไหม ทำเช่นนี้ก็ถือว่าเราได้แก้ปัญหาอย่างหนึ่งให้พวกเขาแล้ว”  

 

 

ข้อเสนอฟังดูเข้าท่าทีเดียว แน่นอนว่าอาจารย์หลี่เหยียนจากหอชั้นเลิศย่อมเห็นด้วย หึ จะให้เขายอมอ่อนข้อให้กับเจ้าพวกปลาซิวปลาสร้อยที่ไม่มีทั้งอำนาจหรือบารมี ซ้ำยังไม่มีประโยชน์อันใดกับเขาในอนาคตอีกด้วย ให้เสื้อผ้าไปก็ยังรู้สึกสิ้นเปลืองเลย  

 

 

ตู๋ซูเฟิงไม่พูดอะไรมากนัก เขาทำเพียงแค่กระตุกริมฝีปากบางของตน มุมปากของเขาปรากฏความชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย ในไม่ช้า คนพวกนี้ต้องนึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในวันนี้แน่นอน เขาพนันได้เลยว่าคนพวกนี้ต้องนึกไม่ถึงว่าในจำนวนศิษย์ทั้งสามคนจากหอสามัญที่พวกเขาหาว่าชนะมาได้เพราะโชคช่วยนั้น คนหนึ่งจะเป็นปุโรหิตหนุ่มอัจฉริยะแห่งราชวงศ์นี้ ส่วนอีกคนจะเป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย องค์ชายสามที่พวกเขาอยากเอาชนะใจจนยอมสละชีวิตได้!  

 

 

 

 

 

เวลาเที่ยงตรง บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ต่างก็มารวมตัวกันที่ย่านการค้าเพื่อรอดูประกาศผลการทดสอบ  

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องที่เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ที่หอชั้นเลิศ องค์ชายผู้นั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าด้านข้างอันเฉยชาของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มออกมา ดูหล่อเหลาจนไม่อาจสรรหาคำใดมาบรรยายได้ และยังดูเย็นชาน่าดึงดูดยิ่งนัก  

 

 

กลับกัน หนานกงเลี่ยกลับคร่ำครวญอย่างนึกเสียดาย “ข้าได้ยินมาว่าที่หอชั้นเลิศมีสาวๆ อยู่เยอะแยะไปหมด ข้าอุตส่าห์อยากไปดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย”  

 

 

สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยากที่ใครจะคาดเดาได้ ประกายในดวงตาของนางหม่นแสงลง บรรดาอาจารย์ถึงกับคิดว่านางไม่พอใจกับสิ่งที่สำนักจัดหาให้ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงอันกระจ่างใสของนางดังขึ้นเสียก่อน “เสื้อผ้าพวกนี้แลกเป็นเงินไม่ได้หรือ”  

 

 

บรรดาอาจารย์ “….”  

 

 

“ฮ่าๆๆ อาเจวี๋ย เจ้าดูหน้าตาของตาแก่พวกนี้สิ น่าขำเกินไปแล้ว!” หนานกงเลี่ยหัวเราะจนแทบจะลงไปนั่งกับพื้น คุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนผู้นี้ต้องรักเงินทองมากถึงเพียงใดกันเชียว อืม ถึงกับทำให้อาจารย์พวกนั้นอึ้งจนพูดไม่ออก น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!  

 

 

“เจ้าพวกนี้คือคนจากหอสามัญหรือ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ” คนที่นั่งอยู่ข้างหนานกงเลี่ยเยาะขึ้นอย่างเย็นชา รอยยิ้มเย้ยหยันวาดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอันหยิ่งยโสของเขา ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมหรูหราสีเงิน รอบๆ เอวของเขามีเครื่องประดับที่ดูน่าจะมีมูลค่ามากกว่าคนอื่นห้อยเอาไว้ ตอนที่นางขึ้นไปรับรางวัล เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถสัมผัสคลื่นพลังปราณบนร่างของเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อเดินผ่านเขา นางก็เห็นว่าชายคนนั้นอ้าปากพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งความอบอุ่นว่า “อย่าคิดว่าหลังจากที่ล้มพวกคนอ่อนหัดจากหอชั้นเยี่ยมได้แล้ว บนโลกนี้จะไม่มีใครสู้เจ้าได้สักคน อย่างไรเสียฝีมือพวกเจ้าก็ยังห่างชั้นนัก!”  

 

 

พอพูดจบ ชายคนนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป เสื้อคลุมสีขาวซีดของเขาตกมาลงเล็กน้อย ผมยาวของเขาไม่ได้มัดรวบหรือม้วนเป็นทรง ดวงตาของเขาดูราวกับซุกซ่อนปีศาจที่ชั่วร้ายเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นดูลอกแลก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  

 

 

ในตอนนั้นเองที่สายตาของทุกคนไปรวมกันอยู่ที่ผู้ชายคนนั้น พวกเขาเริ่มกระซิบกระซาบกันทีละคนสองคน พร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี “เขานั่นเอง! หยวนหลิงซวน!”  

 

 

“หยวนหลิงซวนหรือ สวรรค์ บุตรชายของหนึ่งในประมุขจากสี่ตระกูลใหญ่คนนั้นน่ะหรือ”  

 

 

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่หยวนหลิงซวนอายุได้เจ็ดขวบ เขาก็บรรลุวิชาขั้นสูงสุดของธาตุดินแล้ว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมานานหลายปี แม้แต่ประมุขของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด เห็นว่าเมื่อเร็วๆ นี้เขาถึงกับถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงเพื่อปรึกษาเรื่องวิธีจัดการกับเจ้าพวกคนป่าอย่างเผ่าซยงหนูด้วย”  

 

 

“แม้กระทั่งเขาก็อยู่ในหอชั้นเลิศด้วย บ้าชะมัด พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาอย่างพวกเราเลย!”  

 

 

เสียงกระซิบกระซาบดังก้องไปทั่วบริเวณ แทบทุกคนมองไปที่หยวนหลิงซวนที่ขึ้นไปรับรางวัลอย่างกังวล  

 

 

เฮ่อเหลียนเฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงหาวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตน จากนั้นจึงยกมือขึ้นเท้าคาง ไฝที่ใต้ตาของนางทอแสง   

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างนางขยับนิ้วเรียวยาวของตนเล่นกับแหวนหยกสีดำที่นิ้วโป้ง แสงแดดระยิบระยับสาดส่องลงมาที่เขา จนแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังพลอยเปล่งประกายไปด้วย สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าต่อให้ใครจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแต่ประการใด  

 

 

หนานกงเลี่ยนพาดแขนของตนลงบนพนักเก้าอี้ แล้วเอนหลังด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าของเขาฉายรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา  

 

 

ทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกเขาก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ไม่ควรจะเข้าไปหาเรื่องด้วยเด็ดขาด!  

 

 

ภาพนี้ทำให้หยวนหลิงซวนที่ยืนอยู่บนเวทีหรี่ตาลงอย่างเย็นชา รางวัลในมือของเขาถูกบีบจนผิดรูป เจ้าพวกนั้นเป็นแค่คนหน้าโง่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สักวันเขาจะต้องแสดงให้พวกมันได้เห็นดีแน่ คอยดู!  

 

 

 

 

 

“พวกเจ้าดูสิ สามคนนั้นคือคนที่ชนะการทดสอบพลังปราณนี่นา”  

 

 

ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปถึงห้องโถงของหอสามัญ ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยพลันหันมามองนาง และกระซิบกันว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์ถึงกับยอมรับนางเป็นศิษย์ด้วย ไม่รู้ว่านางจะช่วยข้าสร้างอาวุธได้หรือเปล่า”  

 

 

“สร้างอาวุธหรือ” ใครคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา “อย่าฝันเสียให้ยาก ทำไมพวกเจ้าไม่ลองไปถามดูล่ะว่าทำไมท่านปรมาจารย์ถึงยอมรับนางเป็นศิษย์ สำหรับพวกเราที่อยู่หอสามัญแล้ว การกระทำของนางทำให้เกียรติของพวกเราป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดี นางประจบคนอื่นเพียงเพื่อจะยกระดับของตัวเองขึ้น ช่างไร้ยางอายจริงๆ”  

 

 

ปัง!  

 

 

เสียงเก้าอี้ดังก้องไปทั่วห้อง  

 

 

คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ได้ยินเสียงนั้นทันที  

 

 

เฮ่อเหลียนเฮ่อเหลียนเวยเวยชักขาของตนกลับมาอย่างงดงาม มุมปากของนางกระตุกขึ้นขณะนั่งลงท่ามกลางกลุ่มสาวๆ ที่กำลังนินทาตน แล้วมองดูพวกนางด้วยสีหน้าเย็นชา  

 

 

เด็กสาวแต่ละคนมองหน้ากัน ก่อนจะลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนหันหน้าไปอีกทาง แล้วแสร้งทำเป็นหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะเตี้ยของตนขึ้นมา  

 

 

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าในที่สุดทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบแล้ว นางก็ล้มตัวลงแนบกับโต๊ะเตี้ย ของตนในทันที โดยยังคงเล่นกับเศษเหล็กในมือราวกับเด็กเล่นของเล่น  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างนาง พอเห็นเศษเหล็กชิ้นเล็กๆ พวกนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย นิ้วสีขาวราวกับงาช้างของเขายื่นออกไป ก่อนวางลงบนข้อมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย…