บทที่ 44 ความมุ่งร้ายก่อเกิดขึ้นอีกครา

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

แต่ท่านปรมาจารย์คิด ผิดไป เรื่องหนึ่ง  

 

 

เรื่องนั้นคือการที่องค์ชายผู้ไปๆ มาๆ อย่างกับเงา ผู้นั้นไม่ได้เข้ารับการทดสอบที่หอชั้นเลิศ แต่เขากลับมาอยู่ที่สนามประลองของ ‘หอสามัญ’ กับ ‘หอชั้นเยี่ยม’ แทน  

 

 

เพื่อความยุติธรรมระหว่างการทดสอบ ทางสำนักจึงตัดสินใจแบ่งการประลองออกเป็นประเภทหญิงและชาย ซึ่งการแบ่งประเภทเช่นนี้ก็ยิ่งอำนวยความสะดวกให้องค์ชายสามารถปกปิดฐานะของตนได้อย่างราบรื่นไปโดยปริยาย  

 

 

เพราะความสนใจของทุกคนล้วนแต่พุ่งไปอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ทุกคนล้วนแต่อยากเห็นว่านางจะทำให้ตัวเองอับอายได้ขนาดไหน   

 

 

ดังนั้นจึงน้อยคนนัก ที่รู้ว่า ณ สนามประลองอีกแห่งข้างๆ กันนั้นมีการทดสอบกำลังดำเนินอยู่  

 

 

“เป็น… เป็นเจ้าได้อย่างไรกัน” จางซื่อเจี๋ยที่ตอนแรกคิดจะอวดฝีมือของตนในการประลองครั้งนี้มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา แล้วเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งสายตาดูถูกให้กับเขา และไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พลางขยับข้อมือของตนเอง อย่างช้าๆ ด้วยท่วงท่าอันสง่างามราวกับเทพบุตร กระนั้นกลับไม่สามารถปกปิด จิตสังหารที่ปรากฏออกมาได้  

 

 

“เดี๋ยวก่อน!” จางซื่อเจี๋ยควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แล้วร้องออกมาเสียงดัง เขายังไม่ลืมว่าคู่ต่อสู้ของตนน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ผู้ชายคนนี้เหมือนอสรพิษแสนดุร้ายที่ราวกับว่าแค่ขยับตัวเพียงนิดเดียว ก็สามารถกลืนคู่ต่อสู้ลงท้องได้ในทันที  

 

 

อาการบาดเจ็บที่ขาของเขายังไม่ทันจะหายดี กระดูกที่หักอย่างรุนแรงก็ล้วนแต่เป็นฝีมือของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้  

 

 

เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว  

 

 

เพราะว่าความกดดันอย่างหนัก ของคู่ต่อสู้ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก  

 

 

ไม่ใช่แค่นั้น  

 

 

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าตัวตน ที่แท้จริงของชายตรงหน้าเป็นใครกันแน่  

 

 

ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในหอชั้นเลิศ  

 

 

แต่เขากลับคาดไม่ถึงเลยว่าชายคนนี้จะมาปรากฏตัวที่นี่! เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนคนนี้จะ เป็นสายลับที่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แอบส่งเข้ามา  

 

 

ไม่!  

 

 

เป็นไปไม่ได้!  

 

 

เขาเคยพบหน้าคนจากสี่ตระกูลใหญ่ มาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า มาก่อนเลย!  

 

 

จางซื่อเจี๋ยจ้องมองชายรูปงามที่กำลังเดินเข้ามาหาตนด้วยสายตางุนงง ความรังเกียจในดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยความตกใจ มาได้ครู่ใหญ่แล้ว  

 

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่!?” ราวกับต้องการจะสำรอกความตกใจที่อยู่ในใจออกมา เขาคำรามอย่างเสียสติ ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือในตอนท้าย ที่ยากจะปิดบังเอาไว้ได้…  

 

 

แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับทำเพียงกระตุกริมฝีปากบางของเขาจนมันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ท่าทางของเขาหยิ่งผยอง ราวกับกำลังจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา  

 

 

จางซื่อเจี๋ยสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นของจิตสังหารอันเข้มข้นที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงอยู่ทั่วร่างของอีกฝ่าย ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ หลังจากนั้น เขาก็ทิ้งกระบี่ที่อยู่ในมือ แล้ววิ่งลงจากเวทีพร้อมกับปัสสาวะราดกางเกงตัวเองต่อหน้า ผู้ชม ปากของเขายังตะโกนออกมาด้วยว่า “ข้าไม่แข่ง ข้าขอยอมแพ้ พวกเจ้าได้ยินไหม ข้าขอยอมแพ้!”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ไล่ตามเขา แต่ทำเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พลางยกมือขึ้นปัดเสื้อคลุมที่เดิมทีก็ไม่มี ฝุ่นอยู่แล้ว สีหน้าของเขายังนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าคนที่วิ่งหนีไปเป็นเพียงแค่หนู ขาวตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น  

 

 

อาจารย์สองคนมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ตั้งแต่พวกเขาเป็นอาจารย์ที่สำนักไท่ไป๋มา ก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  

 

 

คาดไม่ถึงว่าศิษย์ผู้ใช้ปราณธาตุไฟจากหอชั้นดีที่กำลังจะทะลวงผ่านปราณระดับถัดไป กลับขอยอมแพ้ แล้ววิ่งหนีศิษย์จากหอสามัญที่ ยังไม่เคยเข้า รับการทดสอบพลังปราณเลยแม้แต่ครั้งเดียวไปเสียอย่างนั้น!  

 

 

หากมีข่าวเช่นนี้แพร่สะพัดออกไป เห็นทีคนที่เป็นอาจารย์อย่างพวกเขา คงได้โดนดูถูกจนอับอาย เป็นแน่!  

 

 

เพราะไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน หากคนอื่นๆ รู้เข้า พวกเขาคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบประกาศให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นผู้ชนะ โดยไม่คิดที่จะทดสอบระดับพลังปราณของเขาเลยด้วยซ้ำ  

 

 

อย่างไรเสีย หนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็ต้องมีใครบางคนทดสอบเขาอยู่แล้ว  

 

 

ด้วยเหตุนี้ เรื่องนี้จึงถูกเล่าไปว่า “ศิษย์ใหม่จากหอสามัญแค่โชคดีที่คู่ต่อสู้ขอยอมแพ้”  

 

 

แต่ความจริงเป็นเช่นไร นั้น มีเพียงแค่ตู๋ซูเฟิงที่ได้รับรายงานมาเท่านั้นที่รู้  

 

 

หลังจากได้ยินรายงานนี้ มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ได้รับชัยชนะโดยที่ไม่ต้องรบต่างหาก ถึงจะเป็นความสามารถของผู้บัญชาการที่แท้จริง”  

 

 

“ท่านเจ้าสำนักหมายถึงใครหรือ” ซูเจียเฉิงยังไม่กลับ เขายืนอยู่ข้างตู๋ซูเฟิง และกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้บรรยากาศรอบตัวอบอุ่นขึ้น “คนที่มีความสามารถในการบัญชาการเช่นนั้น บางทีข้าอาจจะแนะนำให้รู้จักกับมู่หรงซื่อจื่อเอาไว้ จะได้ช่วยดูแลเขาได้”  

 

 

ตู๋ซูเฟิงปรายตามองเขา  

 

 

ซูเจียเฉิงชะงักกับสิ่งที่เขาเห็นภายในดวงตาคู่นั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปหรือเปล่า แต่ทำไมเขาถึงเห็นร่องรอยแห่งความเหยียดหยันอยู่ภายในดวงตาของตู๋ซูเฟิงเล่า  

 

 

 ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้ บุคลิกของตู๋ซูเฟิงนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ…  

 

 

“ ข้าคงไม่ รบกวนท่านอัครเสนาบดีซู คนคนนี้ค่อนข้างหยิ่ง  เขาคงไม่ต้องการ ให้ใครไปดูแล หรอก” หลังจากที่ตู๋ซูเฟิงพูดจบ เขาก็หัวเราะกับตัวเอง ถ้าเขาจำไม่ผิด ตอนที่เจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นเพิ่งอายุได้สิบขวบ เจ้าเด็กนั่นก็มีฝีมือล้ำเลิศเกินกว่าบุตรชายจากตระกูลขุนนางทุกคนภายในเมืองหลวงไปแล้ว แต่ตอนนี้ อัครเสนาบดีซูที่อยู่ตรงหน้าเขากลับบอกว่าอยากให้มีคนดูแล เจ้าเด็กนั่น หรือ ฮ่าๆ ถ้าซูเจียเฉิงรู้ว่าคนที่เขาอยากดูแล เป็นองค์ชายผู้นั้น เขาล่ะสงสัยนักว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเช่นไร   

 

 

ซูเจียเฉิงไม่เข้าใจ ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอ่ยตอบตนด้วยน้ำเสียงสุภาพ เขาก็ไม่คิดอะไรมาก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าสำนักก็ทำงานต่อเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรอบๆ เสียหน่อย”  

 

 

“ท่านอัครเสนาบดีซู” ตู๋ซูเฟิงเรียกเพื่อ หยุดซูเจียเฉิงเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านปรมาจารย์พูดถูก ที่บอกว่า สำนักไท่ไป๋แห่งนี้ ห้ามท่านอัครเสนาบดีเดินเล่น อีกทั้งฮ่องเต้เองก็ทรง บัญญัติในกฏระเบียบเอาไว้ด้วย เพราะอาจจะส่งผลต่ออารมณ์ของบรรดาลูกศิษย์ ได้ ดังนั้นหากท่านอัครเสนาบดีซูไม่มีเรื่องสำคัญอันใด แล้ว เช่นนั้นก็ เชิญท่านกลับไปเถิด จากนี้ข้ายังมีงานอื่นต้องทำอยู่อีกจึงไม่อาจอยู่ให้ความบันเทิงกับท่านอัครเสนาบดีซูได้”  

 

 

เมื่อต้องเจออุปสรรคสองเรื่องติด กัน ซูเจียเฉิงจึงกัดฟันกรอดจนเกิดเสียงดังออกมา เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยใบหน้าหมองคล้ำ ขณะมองแผ่นหลังของตู๋ซูเฟิงที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาไม่อาจซ่อนความโกรธเอาไว้ได้อีกต่อไป!  

 

 

“แต่ละคน นิสัยร้ายกาจนัก!”  

 

 

 ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงคนของเขา ซูเจียเฉิงจึงไม่คิดที่จะควบคุมตัวเองอีก  

 

 

บรรดาอาจารย์พยายามประจบเขาอย่างสุดความสามารถ “ท่านอัครเสนาบดีซู ใจเย็นๆ ก่อนขอรับ ท่านเจ้าสำนักยังเด็กนัก พวกข้าเองก็ทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ ได้ว่าพระองค์ ทรงคิดอะไรอยู่ ถึงให้คนอายุน้อยเช่นนี้มาเป็นเจ้าสำนัก อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งมาหลายปีขนาดนี้ด้วย เฮ้อ”  

 

 

“ใช่แล้ว” บรรดาอาจารย์อาวุโสหลายคนเองก็เออออไปด้วย สีหน้าของเขามีความจนใจ แฝงอยู่  

 

 

ซูเจียเฉิงแสร้งทำเป็นใจกว้าง “ช่างมันเถอะ พวกเขาก็เป็นแค่เด็ก ข้าเองก็ไม่อยากไปหาเรื่องพวกเขาหรอก แต่เรื่องที่ข้าขอให้ท่านไปสืบมามีเงื่อนงำอะไรบ้างหรือเปล่า”  

 

 

“ ท่านอัครเสนาบดีโปรดวางใจ ข้าได้ประจำการอยู่ที่หอชั้นเลิศขอรับ” อาจารย์คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ทันทีที่องค์ชายสามเข้ามา คนแรกที่รู้ข่าวจะต้องเป็นข้าแน่นอน”  

 

 

ซูเจียเฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ดี ดีมาก นอกจากนี้ ข้าต้อง ขอรบกวนท่านอาจารย์ให้ช่วยดูแลหลานสาวของข้า สักหน่อยด้วย”  

 

 

 ขณะที่พูด เขาก็ยกมือขึ้นตบบ่าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วย ความรักอันลึกซึ้งและความปวดใจ  

 

 

อาจารย์ท่านนั้นรับคำอย่างรวดเร็ว “คุณหนูเจียวเอ๋อร์เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ หาตัวจับยากขอรับ แม้แต่ภายในหอชั้นเลิศเอง นางก็ยังเป็นยักษ์ในหมู่คนแคระ อัครเสนาบดีซูไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หรอกขอรับ เรื่องนั้นมัน เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ น้อยๆ นังคนไร้ค่าคนนั้นมีฝีมือในการประจบดีมากทีเดียว ยากนักที่ท่านปรมาจารย์จะหลีกเลี่ยงนางได้ เขายังไม่รู้จักนิสัยใจคอของนางดี รอให้ถึงตอนที่ท่านปรมาจารย์รู้ก่อนเถอะ เขาจะต้องขยะแขยงนางในเร็ววันแน่ อย่างไรเสียเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นก็ไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว นางไม่สามารถเรียนการประกอบอาวุธได้อย่างแน่นอน ระหว่างการทดสอบนางก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น ฉากสำคัญยังมาไม่ถึง ในไม่ช้า ข้าจะช่วยให้คุณหนูเจียวเอ๋อร์ ได้แก้แค้น การกระทำอันเสียมารยาทนั้น เอง!”