บทที่ 43 ขอโทษด้วยมือและปาก

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ส่วนด้านซูเจียเฉิง เขารู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

เขามีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ และยังดำรงตำแหน่งสำคัญในจักรวรรดิจ้านหลงมาโดยตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นดูหมิ่นจนใบหน้าและหูกลายเป็นสีแดง  

 

 

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโชคดีอะไรที่ทำให้ท่านปรมาจารย์นึกชอบใจนังหลานชั่วคนนี้ได้ก็เถอะ  

 

 

แต่ตอนนี้เขาเพียงหวังว่าความสนใจของทุกคนจะไปกระจุกกันอยู่ที่นังหลานชั่วคนนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะไม่ถูกเอ่ยถึงอีกเป็นครั้งที่สอง  

 

 

โชคร้ายที่นิสัยอันป่าเถื่อน และความไร้มารยาทของเฮ่อเหลียนเหมยนั้นได้รับการปลูกฝังมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเล็ก นางรีบพุ่งเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วตะโกนใส่นางด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “เจ้าจงใจทำ! เจ้าจงใจทำให้ข้ากับพี่รองอับอายจนกลายเป็นตัวตลก!”  

 

 

“เอ๋” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ตั้งแต่ต้นจนจบ น้องสามกับน้องรองเป็นคนปรักปรำข้าเองมิใช่หรือ เหตุใดจึงกลายเป็นว่าข้าจงใจทำให้พวกเจ้าอับอายจนกลายเป็นตัวตลกได้เล่า”  

 

 

การถูกดูถูกเช่นนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเหมยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป “เป็นเจ้าทั้งนั้น ที่เสแสร้งแกล้งทำตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้า…”  

 

 

“เงียบ!” ซูเจียเฉิงกระชากตัวของเฮ่อเหลียนเหมยกลับอย่างแรง พร้อมกับผลักนางไปทางองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขา เขามองหน้านางด้วยสายตาดุร้าย ขณะลอบตำหนินางผ่านทางสายตา เมื่อใดที่เด็กสาวคนนี้ไม่พอใจ นางจะไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ นางจะช่วยรู้จักอดทนให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเจียวเอ๋อร์ไม่ได้เชียวหรือ! การทำให้เหตุการณ์นี้จบลงโดยเร็วที่สุดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนอะไรอยู่ เขาต้องการให้เรื่องนี้จบลงโดยปล่อยให้มันไม่ได้รับการแก้ไขหรือ บนโลกนี้จะไปมีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน!  

 

 

“ว่ากันว่าอัครเสนาบดีซูเจียเฉิงขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อหลานสาวทั้งสองของท่านปรักปรำข้า แล้วยังกล่าววาจาว่าร้ายข้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านอัครเสนาบดีซูจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยขวางทางองครักษ์ที่กำลังจะพาเฮ่อเหลียนเหมยออกไปอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงเดินทอดน่องอย่างเกียจคร้านไปตามทาง ทำให้ทุกคนที่คิดจะออกไปไม่สามารถไปไหนได้  

 

 

บรรดาอาจารย์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แม้แต่ท่าทางของตู๋ซูเฟิง และท่านปรมาจารย์เองก็ยังสงบเยือกเย็น แต่สายตาของพวกเขากลับจับจ้องไปยังร่างของซูเจียเฉิง สร้างความกดดันอันยากจะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้  

 

 

ซูเจียเฉิงรู้ดีว่าตนไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่สนใจได้อีกต่อไป ในใจนั้นเขาหวังว่าจะได้ลากตัวนังหลานชั่วผู้นี้ไปถลกหนังทิ้งซะ  

 

 

เพียงคำพูดประโยคเดียวจากนังหลานชั่วคนนี้ เขาก็ถูกผลักเข้ามาอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดของพายุลูกนี้เข้าแล้ว  

 

 

ถ้าเขาไม่ยอมเสียอะไรไปในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ชื่อเสียงของตัวเขาเองก็อาจจะพลอยได้รับความเสียหายไปด้วย  

 

 

เขาเป็นอัครเสนาบดีของราชสำนัก และสิ่งที่สร้างความเสียหายให้กับตำแหน่งนี้ได้มากที่สุดก็คือการสูญเสียชื่อเสียงเกียรติยศ  

 

 

เขาไม่รู้ว่าทำไมเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงมีความสามารถมากพอที่จะใช้เรื่องนี้มาเปิดประเด็นได้ แต่ซูเจียเฉิงเข้าใจดีว่า ครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน เขาก็จำต้องแสดงละครต่อไป  

 

 

เมื่อนึกถึงการที่เขาอยู่ในราชสำนักมาหลายปี แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกนังหลานชั่วผู้นี้บังคับจนมาถึงจุดนี้ได้ ซูเจียเฉิงก็เม้มริมฝีปากบางของตนเข้าหากัน แต่สีหน้าบนใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ขณะที่สมองก็พิจารณาหาทางเลือกอันเหมาะสมทุกทาง  

 

 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เจียวเอ๋อร์ เสี่ยวเหมย ตารู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายพี่ใหญ่ของพวกเจ้าจริงๆ แต่เดิมทีนั้นพวกเจ้าก็เป็นคนนิสัยดื้อรั้นกันอยู่แล้ว และคงไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงเพียงใด ดังนั้นเจ้าจึงพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบ และทำให้พี่ใหญ่ของเจ้ารู้สึกเสียใจ หากวันนี้ตาไม่มีคำอธิบายให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย เช่นนั้นตาก็คงฝ่าฝืนหลักความเป็นมนุษย์ทั้งกับความรู้สึกของทุกคนที่อยู่ที่นี่และทำผิดต่อบรรทัดฐานของตัวตาเองด้วย… ในเมื่อความผิดพลาดนี้เกิดจากปาก เช่นนั้นเจ้าก็จงใช้มือตบปากตัวเองยี่สิบครั้ง และสำนึกในความผิดของตัวเองเสีย!”  

 

 

“ท่านตา…” ตอนนี้แม้แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เองก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ร่างของนางสั่นสะท้าน นางมองซูเจียเฉิง แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าท่านตาจะตัดสินใจทำเช่นนี้จริงๆ แล้วจากนี้นางจะอยู่ในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ต่อไปได้อย่างไรกัน!  

 

 

มีหรือที่ซูเจียเฉิงจะไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงบังคับตัวเองให้ขึ้นเสียงสั่งให้ทั้งสองขยับตัว “ยังไม่ขยับอีกรึ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้ง แพขนตาของนางเหมือนดอกกุหลาบที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ แม้แต่ฮองเฮาก็ยังรักใคร่เอ็นดูนาง นางเคยถูกใครปฏิบัติเช่นนี้เสียที่ไหนกัน  

 

 

ท่าทางของเฮ่อเหลียนเหมยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางหันหน้ากลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่สิ่งที่นางได้รับกลับมาก็คือสีหน้าอันเย็นชาจากท่านตาของตน  

 

 

คนที่นางกลัวที่สุดคือท่านตาผู้นี้นี่เอง ไม่ว่าท่านตาจะต้องการให้นางทำอะไร นางก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง ดังนั้นนางจึงเกร็งคอของตน แล้วยอมทำตามแต่โดยดี  

 

 

ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เม้มเข้าหากันจนกลายเป็นสีแดงสด ดวงตาของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางคล้ายอยากจะร้องไห้ออกมาอีกหน ตั้งแต่เกิดมา นางไม่เคยถูกใครดูถูกเหยียดหยามจนขายหน้าขนาดนี้มาก่อน นางเข้ามาที่สำนักไท่ไป๋เพื่อเป็นผู้ชนะ และเพื่อให้ได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากทั่วทุกแห่ง แต่ตอนนี้นางกลับต้องเอามือตบปากตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องทั้งหมดล้วนแต่เป็นความผิดของนังคนชั้นต่ำนี่!  

 

 

หาก… หากไม่ใช่เพราะนาง!  

 

 

นางจะตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!  

 

 

“ลงมือได้แล้ว” น้ำเสียงของซูเจียเฉิงอ่อนลง แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจทนได้ เขาหันหลังกลับไป เพราะไม่อยากเห็นภาพนี้  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับเฮ่อเหลียนเหมยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกัดฟันกรอด แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่มองมา ครั้งแรก… และครั้งที่สอง พวกนางตบปากตัวเองขณะจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย  

 

 

เพี๊ยะ!  

 

 

หนึ่ง  

 

 

เพี๊ยะ!  

 

 

สอง..  

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝ่ามือนั้นกับหูตัวเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ทำเพียงแค่ยืนมองด้วยความสงบเยือกเย็น นางไม่เปลี่ยนท่าทางของตนเลย ตั้งแต่ตอนที่พวกนางเริ่มลงมือจนถึงตอนจบ  

 

 

หลังจากตบปากตัวเองไปยี่สิบครั้ง มือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงหยุดลง นางรู้สึกได้ว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังมองมาที่นาง นางรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง แต่สีหน้าของนางกลับยังคงเดิม ในเวลานี้ นางแทบรอไม่ไหวที่จะได้ฉีกเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นชิ้นด้วยมือของนางเอง!  

 

 

ซูเจียเฉิงคว้ามือของนางไว้ แล้วพึมพำกับตัวเอง “เจียวเอ๋อร์ เจ้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน พี่น้องจะกลายเป็นศัตรูกันในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร ตารู้ดีว่านิสัยเจ้านั้นเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารีเสมอมา รีบไปขอโทษพี่ใหญ่ของเจ้าสิ แล้วลืมเรื่องนี้ไปเสีย”  

 

 

“ท่านตา…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หลับตาลงกลั้นน้ำตาของตน นางรู้ว่าที่ท่านตาบังคับให้นางไปขอโทษอีกฝ่ายในเวลานี้ก็เพราะกำลังพยายามจะรักษาชื่อเสียงของตัวนางเองอยู่ แต่จะให้นางไปก้มหัวให้คนอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยน่ะหรือ นางไม่มีทางทำได้แน่!  

 

 

ซูเจียเฉิงขึ้นเสียง “รีบไปเร็วสิ”  

 

 

“เจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สูดหายใจเข้า แล้วเดินอย่างสง่างามราวกับดอกบัว ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย นางอยากรักษาภาพลักษณ์อันอ่อนหวานและน่าสงสารของตนเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคนเอาไว้ แต่แล้วก็พบว่ามุมปากของนางเจ็บจนไม่อาจขยับได้ ดังนั้นนางจึงอดที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกไม่ได้ “พวกข้าเข้าใจพี่ใหญ่ผิดเองเจ้าค่ะ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “อย่างที่ข้าบอกกับท่านอัครเสนาบดีซูไปก่อนหน้านี้ น้องรอง ให้ข้าเตือนความจำเจ้าอีกครั้ง มันไม่ใช่การเข้าใจผิด แต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี!”  

 

 

“เจ้า…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์โกรธจนใบหน้าเล็กๆ ของนางเปลี่ยนสี นางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลั้นไม่ให้วาจาอันชั่วร้ายหลุดลอดออกมาจากลำคอของตัวเอง “พี่ใหญ่พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ”  

 

 

นังหลานชั่วคนนี้! ซูเจียเฉิงกำมือแน่น แต่ก็ยังคลี่ยิ้มอ่อนโยนต่อหน้าทุกคน “เห็นพี่น้องคืนดีกันได้เช่นนี้ ข้าก็ดีใจ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วหันไปทางเขา “ท่านอัครเสนาบดีซูพูดถูก ทุกคนคงรู้สึกดีใจกับเรื่องนี้มากทีเดียว”  

 

 

ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น  

 

 

ในอนาคต ข้ายังมีโอกาสอีกมากที่จะทำให้พวกเจ้า ‘ดีใจ’!  

 

 

ทุกสิ่งที่พวกเจ้าพรากไปจากข้า และทุกอย่างที่เจ้าแย่งไปจากท่านแม่ของข้า ข้าจะเอาคืนกลับมาด้วยมือของข้าเอง!  

 

 

 ซูเจียเฉิงย่อมไม่รู้ แต่เมื่อสบกับดวงตาคู่นั้น เขาก็รู้สึกถึงความมืดมนที่เอ่อล้นอยู่ภายในนั้นได้ แต่เขาก็ยังไม่ลืมสถานะของตน จึงฝืนหัวเราะออกมาแห้งๆ “ท่านปรมาจารย์ ท่านโชคดียิ่งนักที่ได้ลูกศิษย์ดีๆ เช่นนี้”  

 

 

ท่านปรมาจารย์ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “จากนี้ในสำนักจะมีการทดสอบอีกหลายอย่าง คนที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่นี่ก็กลับไปได้แล้ว” ซูเจียเฉิงที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรยิ้มออกมาอย่างแข็งทื่อ สีหน้าของเขาจากที่ดูไม่น่ามองก็ยิ่งไม่น่ามองขึ้นไปอีก  

 

 

ท่านปรมาจารย์ไม่คิดที่จะสนใจเรื่องนี้อีก เขาพาลูกศิษย์ของตนออกไปที่ลานอีกแห่ง เขากำลังรอดูว่าผลการทดสอบของหอชั้นเลิศนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร หากเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ เจ้าเด็กตัวเหม็นจากวังปีศาจก็น่าจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว ตอนนี้เขาน่าจะกำลังแสดงฝีมืออันร้ายกาจของตนอยู่ที่หอชั้นเลิศเป็นแน่!  

 

 

เขาต้องชี้ให้ลูกศิษย์ของเขาดูหน้าเจ้านั่นเอาไว้ให้ดี พอนางจำได้แล้ว นางจะได้ซ่อนตัว และอยู่ให้ห่างจากเจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นได้