บทที่ 47 สมรู้ร่วมคิด (ต้น)
ซูอันให้ความสนใจกับรถม้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้เป็นอย่างมากเพราะมันทั้งสวยงามและดูหรูหราแตกต่างจากสภาพแวดล้อมแถวนี้ที่มีแต่ป่าเขา
“มันน่าจะหรูเทียบได้กับรถโรลส์-รอยซ์ล่ะมั้ง?” แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะไม่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ ซูอันก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงรถม้ากับกับแบรนด์รถหรูในโลกเก่าของเขา
ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน สุนทรียภาพของมนุษย์ก็ยังคงคล้ายกัน ยานพาหนะย่อมเป็นเครื่องอวดฐานะอย่างหนึ่งของผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะพวกผู้คนที่มีอันจะกิน
ด้วยความหรูหราและงดงามซูอันบอกได้เลยว่ารถม้าคันนี้จะต้องสร้างขึ้นมาจากช่างฝีมือระดับปรมาจารย์แน่นอน รวมไปถึงม้าสี่ตัวที่ใช้ลากรถก็ล้วนแล้วแต่ตัวสูงใหญ่และสง่างาม ซึ่งได้เห็นได้ชัดเจนว่าพวกมันคือม้าชั้นยอดราคาแพงลิบลิ่ว
เขาเองเคยนั่งรถม้าของตระกูลฉู่ มาก่อนแต่รถม้าที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มันหรูหรากว่าคนละระดับกันเลย
จากนั้นจู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่อ่อนหวานนุ่มละมุนดังออกจากภายในรถม้า “ให้ข้าหนี? ข้าจะหนีไปที่ไหนได้?”
อย่างไรก็ตามน้ำเสียงที่เปล่งออกมามันกลับให้ความรู้สึกว่าผู้พูดนั้นรู้สึกรำคาญและเกียจคร้าน ราวกับไม่เห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่อันตรายอะไรเลย
“ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะจริง ๆ!” จี้เสี่ยวซีพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้างุนงงหลังจากได้ยินเสียง ในทางกลับกัน ซูอันไม่ได้คิดอะไรในโลกที่แล้วของเขา ในยุคดิจิทัลมีผู้คนมากมายที่หาเลี้ยงชีพด้วยเสียงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นนักพากย์ นักร้องหรือพวกคอลเซ็นเตอร์ เขาเคยได้ยินเสียงไพเราะมามากมายจนรู้ว่าการมีเสียงที่ไพเราะไม่ได้หมายความว่าหน้าตาของผู้พูดจะดีไปด้วย มีเหยื่อผู้โง่เขลามากมายถูกเสียงอันไพเราะหลอกล่อ
ในขณะเดียวกันกลุ่มคนชุดดำก็อึ้งไปพักหนึ่ง แต่จากนั้นไม่นานพวกเขาก็หัวเราะออกมา “เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ นายหญิงของตระกูลอวี้อยู่ที่นี่จริง ๆ! พี่น้องทั้งหลาย พวกเราลุยกันเลย! อีกไม่นานพวกเราจะได้ลิ้มรสอดีตหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงกันแล้ว!”
คำพูดนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของกลุ่มคนชุดดำสูงขึ้นทันทีพร้อมกันนั้นพวกเขาโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของพวกผู้คุ้มกันรถม้าเปลี่ยนเป็นเดือดดาลทันทีเมื่อได้ยินคำพูดหยาบโลนเหล่านั้น แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าดังนั้นต้อให้พวกเขาจะเดือดดาลสักแค่ไหนมัน สถานการณ์การต่อสู้มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย พวกเขายังคงโดนบดขยี้อย่างหนักจากพวกคนชุดดำ
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง!” จี้เสี่ยวซีอุทานด้วยความประหลาดใจ
ซูอันจึงถามด้วยความอยากรู้ “หืม? เจ้ารู้จักคนในรถม้างั้นเหรอ?”
จี้เสี่ยวซีส่ายหัวและตอบว่า “ข้าไม่รู้จักนางเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับนาง นางคือ อวี้เหยียนลั่ว อดีตหญิงงามที่สุดในเมืองหลวง แต่แล้วหลังจากนั้นต่อมานางก็แต่งงานกับอ๋องอวิ๋นจง ซึ่งตระกูลอวี้เป็นตระกูลที่พูดได้ว่ามีอิทธิพลอยู่ใน 3 อันดับแรกของอาณาจักร จากการที่พวกเขาทำการค้าเกี่ยวกับหินพลังชี่!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้จี้เสี่ยวซีก็นึกขึ้นได้ว่าพ่อของนางเคยประกาศว่าอวี้เหยียนลั่วคือผู้หญิงอันดับหนึ่ง ที่เขายอมตายหากได้นอนร่วมเตียงสักครั้ง ซึ่งเหตุการณ์นั้นมันยังคงทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างสุดซึ้งมาจนถึงปัจจุบันนี้
ซูอันขมวดคิ้วด้วยความสับสนหลังจากได้ยินคำอธิบายของจี้เสี่ยวซี “หากฟังจากที่เจ้าพูด ตระกูลอวี้ควรจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้สิ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถจัดการกับกลุ่มโจรได้”
จี้เสี่ยวซีแก้ไขความเข้าใจผิดของซูอันอย่างรวดเร็ว “ค่ายเมฆาทมิฬ ไม่ใช่กลุ่มโจรธรรมดาทั่วไป พวกมันเป็นกลุ่มโจรที่นับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในระแวกนี้แล้วแม้แต่อ๋องฉู่ ยัง…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ซูอันกลับพูดแทรกขึ้นก่อน “ต่อให้พวกค่ายเมฆาทมิฬจะแข็งแกร่งแค่ไหน โจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ นอกจากนี้หากเป็นตามที่เจ้าพูดว่าตระกูลอวี้ เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุดในอาณาจักร พวกเขาก็ไม่ควรอ่อนแอแบบนี้และยิ่งนายหญิงของพวกเขาเคยเป็นอดีตหญิงงามที่สุดในเมืองหลวงด้วยแล้วนี่ต้องไม่ใช่ครั้งแรกที่ขบวนของนางถูกโจมตีแน่นอน หากคนคุ้มกันของตระกูลอ่อนแอแบบนี้มันไม่มีวันที่นางจะมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันแน่ ๆ”
“อ่า…” จีเสี่ยวซีไม่คิดว่าซูอันจะมีความคิดเห็นที่หนักแน่นในเรื่องนี้ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “อาจเป็นเพราะสามีของนาง อ๋องอวิ๋นจง เพิ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อไม่นานมานี้ มันเลยทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในตระกูลอวี้และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไมคนคุ้มกันของนางครั้งนี้ที่ถูกส่งออกมาจึงอ่อนแอกว่าปกติก็เป็นได้”
“เฮ้อ มันจะมีตระกูลใหญ่สักตระกูลไหมนะที่ไม่มีเรื่องการแก่งแย่งผลประโยชน์ภายใน?” ซูอันเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจพลางนึกถึงตัวเอง แค่อยู่ในตระกูลฉู่ 2 วันเขาเองก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์เฉียดตายมาหลายรอบ ดังนั้นคนอย่างอวี้เหยียนลั่วที่อยู่กับตระกูลอวี้มานานแล้วน่าจะเจอเรื่องแบบนี้มากกว่าเขาหลายเท่า
“ว่าแต่ไอ้เจ้านั่นใช่ผู้นำของโจรกลุ่มนี้รึเปล่าไอ้ที่ชื่อมหาโจรเฉินเสวียนน่ะ?” ซูอันถามขณะชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่สวมชุดดำและทำท่าทางสั่งการไปมาราวกับว่าเป็นหัวหน้ากลุ่ม
จี้เสี่ยวซี ส่ายหัวและตอบว่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาเฉินเสวียนเป็นผู้บ่มเพาะระดับหก หรืออาจทะลวงไปถึงระดับที่เจ็ดแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าพวกโจรกลุ่มนี้ไม่มีสักคนที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าระดับห้า”
“อ่า…มีคำถามในใจข้าอยากจะถามเจ้ามานานแล้ว เจ้ามองเห็นระดับการบ่มเพาะของคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?” ซูอันถามขึ้นเพราะนี่มันไม่เหมือนกับเกมในคอมพิวเตอร์ที่เขาเคยเล่นที่ระดับเลเวลของคนอื่น ๆ จะถูกแสดงขึ้นที่บนหัวให้เห็นได้อย่างเด่นชัด การที่เขาไม่สามารถระบุได้ว่าฝั่งตรงข้ามแข็งแกร่งถึงระดับไหนมันจะทำให้ยากต่อการจัดการกับภัยคุกคามที่มุ่งมาทางเขา
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนดอกบ๊วยสิบสองที่โง่ขนาดเปิดเผยระดับการบ่มเพาะให้กับคนอื่นรู้แบบนั้น
“นี่ท่านไม่รู้เลยเหรอ?” จี้เสี่ยวซีถามด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม นางยังคงอธิบายเรื่องนี้อย่างอดทน “อันดับแรกให้ข้าอธิบายความสามารถของผู้บ่มเพาะแต่ละระดับให้ท่านเข้าใจก่อน…
ในระดับแรก ผู้บ่มเพาะเรียนรู้ที่จะรับรู้ถึงพลังชี่รอบกาย
ในระดับที่สอง ผู้บ่มเพาะสามารถทำให้ผิวหนังของเขาแข็งแกร่งจนสามารถใช้หมัดทำลายกระบี่ธรรมดา ๆ ให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้
ในระดับที่สาม ผู้บ่มเพาะจะมีความสามารถในการปล่อย พลังชี่ ในรัศมี 3 ฉื่อ รอบกายเพื่อม่านพลังต้านทานการโจมตีของศัตรู
ในระดับที่สี่ ผู้บ่มเพาะสามารถปลดปล่อย พลังชี่ ออกจากร่างกายของเขา เพื่อใช้ในการระยะไกลได้
ในระดับที่ห้า ผู้บ่มเพาะจะสามารถควบคุมธาตุต่าง ๆ และสามารถหลอมรวมธาตุที่พวกเขาควบคุมได้เข้ากับกระบวนท่าของตัวเองเพื่อเสริมอำนาจในการโจมตี
ในระดับที่หก ผู้บ่มเพาะสามารถสร้างม่านพลังธาตุเพื่อป้องกันการโจมตีที่ของธาตุประเภทต่าง ๆ
ในระดับที่เจ็ด ความสามารถในการฟื้นฟูของผู้บ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นการโจมตีของศัตรูระดับต่ำจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ทันอัตราการฟื้นตัวของเขาได้
ในระดับแปด ผู้บ่มเพาะสามารถสื่อสารกับพลังชี่ที่อยู่รอบกายได้อย่างอิสระส่งผลให้เขามีพลังชี่สำรองใช้งานมากขึ้น
ส่วนระดับถัดไปนั้นข้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันทำอะไรได้อีกบ้าง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งบ่มเพาะไปเรื่อย ๆ มันจะมีสักวันหนึ่งที่เราจะสามารถโบยบินขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างอิสระ
ดังนั้นข้อสงสัยที่ท่านถามว่าข้าแยกแยะได้ยังไงว่าใครอยู่ระดับไหนก็คือข้าสังเกตการต่อสู้ของพวกโจรเอาว่าไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถใช้การโจมตีด้วยธาตุได้เลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในระดับห้า ข้าเชื่อว่าหัวหน้ากลุ่มคนที่ท่านชี้น่าจะเป็น เป๋ากัง หัวหน้าลำดับสามของค่ายเมฆาทมิฬ”