บทที่ 46 นายหญิงลึกลับ (ปลาย)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 46 นายหญิงลึกลับ (ปลาย)

จากนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวเดินเคียงข้างกันบนภูเขาเพื่อร่วมทางกันกลับเข้าเมือง ทันใดนั้นนางก็เดินเข้ามาใกล้ซูอัน เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มก็รีบกระโดดไปด้านข้างทันที ราวกับว่านางเป็นเห็ดพิษชนิดหนึ่ง

“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” ซูอันจ้องที่ จี้เสี่ยวซีอย่างระมัดระวัง

จี้เสี่ยวซีมองเขาอย่างขอโทษ ริมฝีปากของนางงุ้มลงอย่างผิดหวังพร้อมกับพูดว่า “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ซูอันรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ตื่นตูมมากเกินไปหน่อย ดังนั้นเขาจึงยิ้มให้นางและพูดปลอบว่า “เอาล่ะ ๆ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าผิดเองที่ตื่นตูมเกินไป ว่าแต่ก่อนหน้านี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าสร้างกำแพงน้ำได้ยังไงกัน?”

ตั้งแต่มายังโลกนี้ เขาก็อยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบ่มเพาะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครเต็มใจจะสอนเขาเลยสักคนยกเว้นผู้เฒ่ามี่ที่ให้คัมภีร์ลับกับเขามา แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่ได้การสอนอะไรเพิ่มเติมอีกเลย

จี้เสี่ยวซีเบิกตากว้าง “ท่านแอบดูข้าตอนนั้นเหรอ!?”

หัวใจของซูอันเต้นผิดจังหวะทันที เขาลืมเรื่องนั้นไปเลย บ้าเอ๊ย! “มะ…ไม่ใช่นะข้าไม่ได้แอบดูเจ้านะ ข้าแค่ได้ยินเสียงน้ำสาดอย่างแรงจนทำให้ข้าต้องหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าไม่ต้องกังวลข้าไม่เห็นอะไรเลย เพราะกำแพงน้ำนั่นปิดกั้นทุกอย่างอยู่แล้วจริงไหม?”

จี้เสี่ยวซีรู้สึกข้องใจเล็กน้อย แต่นางก็ยังตัดสินใจที่จะไว้วางใจเขาในท้ายที่สุด “ผู้บ่มเพาะขั้นที่สามขึ้นไปสามารถปล่อยพลังชี่ ออกจากร่างได้ภายในระยะ 3 ฉื่อ รอบตัว ซึ่งภายในระยะผู้บ่มเพาะจะสามารถบังคับให้ชี่ของตัวเองเปลี่ยนรูปแบบเป็นอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเกราะคุมกายตัวเองหรือม่านพลัง ซึ่งกำแพงน้ำของข้าก็ใช้หลักการเดียวกันนั้น”

“อ้อ เข้าใจแล้ว!” ในที่สุดซูอันก็เข้าใจหลักการนี้แล้ว ดูเหมือนว่าขั้นที่สองจะทำให้ผิวของคนเรามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในขณะที่ระดับที่สามทำให้สามารถปลดปล่อยพลังชี่ที่อยู่ในภายในร่างของตัวเองออกมาภายนอกได้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นทักษะอันน่ามหัศจรรย์ที่เขาจะได้ใช้มันบ้างในอนาคต

แต่แล้วในระหว่างที่เดิน จู่ ๆ จี้เสี่ยวซีก็หยุดฝีเท้าของนางพร้อมกับเงี่ยหูฟังราวกับได้ยินอะไรบางอย่าง “พี่ซู ท่านได้ยินอะไรไหม?”

“อะไรงั้นเหรอ?” ซูอันถามกลับ เขาไม่ได้ยินอะไรเลย

“ข้าได้ยินคนทะเลาะกัน” จีเสี่ยวซีขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบความรุนแรงมากนัก

“รีบออกจากพื้นที่นี้กันเถอะ” ซูอันกล่าว หากเขาเก่งกว่านี้เขาคงไม่รังเกียจที่จะไปแสดงความแข็งแกร่งของเขา แต่ปัจจุบันเขารู้ตัวดีว่าตนอ่อนแอแค่ไหน ลำพังแค่จี้เสี่ยวซีเขายังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับเขาที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากของคนอื่น

“ข้าคิดว่าเราควรไปดูพวกเขาสักหน่อย เผื่อว่ามีคนต้องการได้รับการรักษา” จีเสี่ยวซีคว้าแขนซูอันเพื่อหยุดเขา พร้อมกันนั้นดวงตาที่อ่อนโยนของนางก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่

เมื่อเห็นดวงตาที่บริสุทธิ์และแน่วแน่ของนาง ซูอันก็พบว่าว่าเขาไม่สามารถทำใจปฏิเสธคำขอนั้นได้เลย “เอาล่ะก็ได้ ๆ …แต่ว่าถ้ามันอันตรายเกินไปเมื่อไหร่ อย่าโทษข้าที่วิ่งนำออกมาก่อน ว่าแต่มือของเจ้าที่จับข้าอยู่ตอนนี้ไม่มียาพิษใช่ไหม?”

“วางใจได้มันไม่มีพิษแน่นอน!” เมื่อได้รับการอนุมัติจากซูอันดวงตาของจี้เสี่ยวซีก็เปลี่ยนเป็นเบิกบาน

จากนั้นทั้งสองรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครม

ในอีกหุบเขาหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ซูอันและจี้เสี่ยวซีก็ได้พบรถม้าที่ถูกล้อมไปด้วยกลุ่มคนชุดดำจำนวนมาก ส่วนบรรดาคนคุ้มกันรถม้าก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการจู่โจมจากกลุ่มคนชุดดำอย่างสุดฤทธิ์

น่าเสียดายที่กลุ่มคนชุดดำมีจำนวนมากกว่าแถมยังแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นพวกผู้คุ้มกันรถม้าจึงค่อย ๆ ตายลงทีละคน ๆ ซึ่งถ้าดูจากสถานการณ์แล้วอีกไม่นานที่พวกผู้คุ้มกันรถม้าคงจะตายกันจนหมด

ซูอันสังเกตว่าพวกผู้คุ้มกันรถม้าทุกคนต่างสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีรอยปักสีทองที่แขนเสื้อ ซึ่งมันทำให้พวกเขาดูเหมือนฝั่งธรรมมะในหนังจีนกำลังภายในเป็นอย่างมาก

“พวกคนในรถม้านั่นจะต้องร่ำรวยเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่งั้นพวกผู้คุ้มกันคงไม่สามารถใส่เสื้อผ้าหรู ๆ แบบนั้นได้ทุกคนแน่” ซูอันมองดูเสื้อผ้าที่ซอมซ่อของเขาโดยไม่รู้ตัวและรู้สึกว่าการแต่งตัวของไอ้พวกผู้คุ้มกันพวกนี้มันดูเหมือนลูกเขยของอ๋องฉู่มากกว่าเขาซะอีก!

“แต่การแต่งตัวจะมีประโยชน์อะไร? หากไร้ความสามารถต่อให้เสื้อผ้าจะหรูหราสักแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์!” ความอิจฉาของซูอันดับลงหลังจากเห็นว่าพวกผู้คุ้มกันถูกกลุ่มคนชุดดำไล่สังหารจนเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ

“พวกชุดดำคือคนของค่ายเมฆาทมิฬ!” จี้เสี่ยวซีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำ แม้ว่านางจะใจดีและไร้เดียงสาแต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ได้รีบออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเพียงเพราะนางเห็นว่ามีผู้บาดเจ็บล้มตาย นางดึงซูอันไปข้างหลังพุ่มไม้เพื่อสังเกตสถานการณ์แทน

ผลของการต่อสู้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว หากพวกเขาออกไปตอนนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตออกไปทิ้งเปล่า ๆ อย่างไรก็ตาม จี้เสี่ยวซียังคงรู้สึกขัดแย้งเมื่อเห็นคนเหล่านั้นถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีต่อหน้าต่อตานาง

“ค่ายเมฆาทมิฬ? ชื่อแบบนี้มันชื่อพวกตัวประกอบชัด ๆ ข้าคิดว่าคนเหล่านี้มันไม่ค่อยแข็งแกร่งใช่ไหม? พวกมันน่าจะเป็นแค่องค์กรเล็ก ๆ ที่ทำงานได้แต่ตอนกลางคืน ไม่กล้าออกมาเจอผู้คนตอนกลางวันถูกต้องไหม?” ซูอันถามกลับกล่าว

“ไม่ใช่เลย” จี้เสี่ยวซีตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ค่ายเมฆาทมิฬเป็นกลุ่มกองโจรที่ก่อตั้งโดยมหาโจรเฉินเสวียน เป็นที่รู้กันว่าโจรพวกนี้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก พวกมันหาเลี้ยงชีพด้วยการปล้นสะดมเหล่าพ่อค้าที่เดินทางผ่านป่าบริเวณแถบนี้ ซึ่งมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายลงด้วยน้ำมือพวกมัน”

ซูอันขมวดคิ้วและถามกลับ “ในเมื่อพวกมันก่อความวุ่นวายขนาดนี้ทำไมทางการถึงไม่ส่งกองทัพออกไปกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก? หรือไม่ในเมืองก็มีพวกผู้บ่มเพาะแข็งแกร่งอยู่มากมาย ทุกคนไม่มีใครคิดจะทำอะไรกันเลยบ้างรึไง?”

จากข้อมูลที่เขาได้รวบรวมมา พวกผู้บ่มเพาะระดับสูงแทบทั้งหมดล้วนเป็นคนของทางการทั้งนั้น หากทางการเอาจริงขึ้นมากลุ่มโจรพวกนี้มันจะรอดไปได้ยังไง?

จี้เสี่ยวซีอธิบายว่า “อ๋องฉู่ และเจ้าเมืองเซี่ย พยายามส่งทหารออกไปหลายครั้งแล้วเพื่อกำจัดโจรพวกนี้ แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวทั้งหมด โจรพวกนี้ไม่เหมือนโจรธรรมดาทั่วไป เมื่อไหร่ที่มีทหารไล่ล่าพวกมัน หากทหารที่ถูกส่งออกไปมีจำนวนน้อยพวกมันจะเข้าปะทะทันทีโดยไม่ลังเล แต่ถ้าทหารที่ถูกส่งออกมามีจำนวนมาก พวกมันจะถอยเข้าไปในป่าลึกทันทีเพื่อรอเวลาที่พวกทหารเดินทัพกลับเข้าไปในเมืองจากนั้นพวกมันก็จะเริ่มออกอาละวาดต่อ”

ซูอันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตระกูลฉู่นั้นไร้ความสามารถ ภายนอกพวกเขาดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุดกับอีแค่โจรกลุ่มหนึ่งยังไม่สามารถจัดการให้สิ้นซากไปได้

ทันใดนั้นซูอันสังเกตเห็นบางสิ่งและถามว่า “เจ้าบอกว่าพวกค่ายเมฆาทมิฬ มักหลบเลี่ยงทัพใหญ่ที่ถูกส่งออกไปได้ตลอดเลยใช่ไหม? ถ้างั้นมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกโจรพวกนี้จะต้องมีคนวงในคอยให้ข่าวกับพวกมันแน่นอน”

จี้เสี่ยวซีพยักหน้า “พี่ใหญ่ซู ท่านฉลาดจริง ๆ ท่านพูดแบบเดียวกับพ่อของข้าเลย”

ชายวัยกลางคนที่โลภและนิสัยไม่ดีคนนั้นแวบเข้ามาในจิตใจของซูอันอีกครั้ง เป็นการยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนแบบนั้นมีสติดีพอที่จะวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งด้วยงั้นเหรอ?

“นายหญิง พวกเราจะต้านพวกมันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ท่านรีบหนีไปเร็วเข้า!” ผู้คุ้มกันรถม้าคนหนึ่งผลักศัตรูกลับขณะที่เขาหันกลับไปตะโกนยังรถม้า