ตอนที่ 61 ตำหนักหลินยวน (3)ตอนที่ 62 ตำหนักหลินยวน (4)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 61 ตำหนักหลินยวน (3)

บุรุษผู้นั้นหน้าตาดีมาก ใบหน้าของเขาคล้ายกับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยเล็กน้อย แต่ตรงบริเวณคิ้วกลับฉายแววดื้อรั้นเกเร ในขณะที่ฮ่องเต้ทรงตรัสกับเขา คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นอยู่ตลอด ชายหนุ่มสวมชุดสีเงิน แต่เสื้อข้างหน้ากลับเปิดออกเผยให้เห็นอาภรณ์สีขาวเหมือนหิมะที่อยู่ข้างใน ดูเป็นการแต่งกายที่ไม่เรียบร้อยเมื่อเทียบกับผู้คนที่แต่งกายอย่างสุภาพในงานเลี้ยงใหญ่นี้

เขานั่งด้วยท่าท่างที่สบายถือจอกสุราไว้ในมือ งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เขาก็ดื่มไปมากแล้ว ดวงตาของเขาเหม่อลอยเล็กน้อยเพราะฤทธิ์สุรา แต่ก็ยังมีความคมชัดหลงเหลืออยู่

เมื่อมองแวบแรก จวินอู๋เสียก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับองค์รัชทายาท แต่นางไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงนั่งลงบนเบาะประจำตำแหน่งของนาง

อีกฝั่งหนึ่งของฮ่องเต้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยนั่งหลังเหยียดตรงอยู่ตรงนั้น และเมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทที่แต่งกายไม่เรียบร้อย มั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่มีรอยยิ้มมุมปากดูดีขึ้นมาทันที ไป๋อวิ๋นเซียนสวมชุดขาวนั่งอยู่ข้างๆ เขา นางมีบุคลิกดี และเมื่อทั้งสองนั่งเคียงข้างกันก็ดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ ตำแหน่งขององค์รัชทายาทและมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอยู่คนละด้านของฮ่องเต้ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดี ยิ่งเมื่อมองทั้งสองจากด้านล่างของห้องโถงใหญ่ ก็ยิ่งเกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน

เสียงดนตรีดังขึ้นในห้องโถง ฮ่องเต้ยกจอกสุราขึ้นเชื้อเชิญเหล่าขุนนางให้ร่วมดื่ม มั่วเซวี่ยนเฝ่ยยืนขึ้นอย่างเชื่อฟังและกล่าวคำอวยพรให้กับพระเชษฐาของเขา พลางกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน การแสดงออกของเขาดูดี มีความเคารพและเหมาะสมมาก

แต่ตัวเอกที่แท้จริงของคืนนี้อย่างองค์รัชทายาทมั่วเฉี่ยนยวน กลับประทับอยู่แต่บนที่นั่งของเขา เฝ้าดูการกระทำของพระบิดาและน้องชายอย่างเงียบๆ

“เฉี่ยนยวน วันนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของเจ้า คิดถึงเหตุการณ์อันตรายตอนที่เจ้าคลอดออกมา หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณชายจวินกู้ มารดาของเจ้าและเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว วันนี้หลินอ๋อง อ๋องน้อยจวินชิงและอู๋เสียก็มาร่วมงานด้วย เจ้าก็ใช้โอกาสนี้ยกสุราขอบคุณพวกเขาสักจอกเถิด” ฮ่องเต้มีความสุขกับการดื่มมาก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันพระพัตร์มาตรัสกับมั่วเฉี่ยนยวนที่นิ่งเงียบไม่ยอมกล่าววาจาใดๆ

มั่วเฉี่ยนยวนขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับจอกสุราในมือ ท่าเดินของเขาไม่ค่อยมั่นคง ดูเหมือนจะมึนเมามากแล้ว

ท่าทางนั้นทำให้เหล่าขุนนางหลายคนลอบส่ายหัวอย่างเงียบๆ

รัชทายาทเช่นนี้ทำให้ผู้คนมองไม่ดีเลยจริงๆ

มั่วเฉี่ยนยวนเดินมาหยุดที่โต๊ะของสกุลจวินอย่างไม่มั่นคง มือทั้งสองข้างจับจอกสุราไว้แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณพวกท่านสำหรับการช่วยชีวิต” หลังจากพูดจบ จวินเสี่ยนยังไม่ทันได้กล่าวตอบอันใดเขาก็ยกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอก

ท่าทางของเขารุนแรงเล็กน้อย ร่างกายจึงสะดุดไปชั่วครู่แล้วล้มตัวลงมาด้านหน้า

จวินเสี่ยนสายตาไว รีบลุกขึ้นพยุงร่างเขาขึ้นมา กลิ่นสุราฉุนกึกที่พุ่งเข้าจมูกทำให้จวินเสี่ยนถอนหายใจเบาๆ

“ขออภัย” หลังจากมั่วเฉี่ยนยวนยืนตัวตรงได้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา ก่อนจะหันหลังกลับเดินหนีไปทันที จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

จวินอู๋เสียแอบมองมั่วเฉี่ยนยวนอยู่ตลอด ดวงตาสีดำเข้มของนางควานหาอะไรบางอย่าง

เหมียว! เสียงร้องเบาๆ ของเจ้าแมวดำดังออกมาจากใต้แขนเสื้อของจวินอู๋เสีย

ก่อนเข้ามาในตำหนักหลินยวน จวินอู๋เสียได้ซ่อนแมวดำไว้ในแขนเสื้อกว้างๆ ของนาง โชคดีที่เจ้าแมวดำตัวเล็กจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

เจ้านาย มีบางอย่างอยู่ในร่างกายของคนผู้นั้น!

คนทั่วไปไม่สามารถแข่งกับปราสาทด้านรับกลิ่นของแมวดำตัวน้อยได้ ภายใต้กลิ่นสุราบนตัวของมั่วเฉี่ยนยวน มันได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่ดีในนั้น

“อืม” จวินอู๋เสียนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เหตุผลที่นางรับรู้กลิ่นได้ไวกว่าคนทั่วไปก็เพราะว่านางผูกพันธวิญญาณกับแมวดำตัวน้อยนั่นเอง นี่คือการกระทำที่ร้ายแรงที่สุดของคนผู้นั้นในชาติก่อน จึงทำให้ปราสาทรับกลิ่นของนางดีขึ้น ถึงแม้จะไม่ไวเท่ากับจมูกของเจ้าแมวดำตัวน้อย แต่ก็นางสามารถรับกลิ่นที่คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้

……….

ตอนที่ 62 ตำหนักหลินยวน (4)

ในขณะที่มั่วเฉี่ยนยวนล้มลง นางได้กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งบนตัวเขา นางคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของดอกไม้นั่นมาก เพราะในชาติก่อนมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถสกัดเป็นยาพิษได้หลังจากที่มันโดนความร้อนแล้ว ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้คนที่ถูกพิษเสียสติ คนที่กินยาพิษนี้เข้าไป ร่างกายของเขาจะมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ชนิดนี้โชยออกมา

หลังจากได้รับยาพิษนี้เข้าไป มันจะทำให้ผู้คนรู้สึกล่องลอยและมีความสุข ลืมเรื่องกลุ้มใจต่างๆ ไปจนหมดสิ้น และถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานาน มันยังสามารถเปลี่ยนสติการรับรู้ของคนที่กินได้ ไม่เพียงแต่จะบั่นทอนความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ ยังทำให้คนที่ฉลาดหลักแหลมมาก เมื่อกินสิ่งนั้นเข้าไปกลับกลายเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ในเวลาอันสั้น เพราะพิษนี้จะเข้าไปทำลายเส้นประสาทและอวัยวะภายในของมนุษย์ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นสารเสพติดชนิดรุนแรง หากขาดยาจะเกิดอาการคล้ายมีมดนับร้อยไต่อยู่ทั่วร่าง ความทรมานอย่างสาหัสนี้ สามารถกระทั่งเปลี่ยนบุคลิกภาพของคนได้เลย

จวินอู๋เสียไม่คิดว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เช่นนี้อยู่ด้วย ที่น่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นคือ กลิ่นหอมนี้กลับปรากฏอยู่บนตัวขององค์รัชทายาทแห่งรัฐชี

ดูจากท่าทางการเดินที่ไม่มั่นคงของมั่วเฉี่ยนยวนแล้ว เกรงว่าไม่น่าจะใช่เพราะการดื่มสุรามากเกินไป และความหงุดหงิดของเขาก็น่าจะเกี่ยวข้องกับกลิ่นหอมของดอกไม้นี้เช่นกัน

“ระยะเวลาที่ได้รับพิษไม่สั้นเลย” จวินอู๋เสียแตะที่คาง จากประสบการณ์ของนาง มั่วเฉี่ยนยวนได้รับพิษที่มาจากการสกัดของดอกไม้นั่นอย่างน้อยสองถึงสามปีแล้ว การกินอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาตลอดสองสามปีนี้ ได้ทำลายอวัยวะภายในของเขาทั้งหมด และหากยังกินต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นาน คิดว่าอย่างมากสุดสองปีนี้เขาคงเสียชีวิตแล้ว

สำหรับจวินอู๋เสีย มั่วเฉี่ยนยวนจะมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้นไม่ได้แตกต่างอะไร

แต่หากว่ามั่วเฉี่ยนยวนเสียชีวิตแล้ว ฮ่องเต้คงสามารถแต่งตั้งมั่วเซวี่ยนเฝ่ยขึ้นเป็นองค์รัชทายาทองค์ใหม่ได้อย่างสมเหตุสมผล

ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่จวินอู๋เสียอยากเห็น!

“คนผู้นี้…ยังเสียชีวิตไม่ได้” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง การปรากฏตัวของมั่วเฉี่ยนยวนอาจเป็นโอกาสที่ดี หากใช้อย่างเหมาะสม องค์รัชทายาทผู้โดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งพิงอาจเปลี่ยนสถานการณ์ของจวนหลินอ๋องในรัฐชีได้

ทุกเรื่องที่ทำให้ศัตรูไม่พอใจ จวินอู๋เสียพร้อมที่จะทำ!

“ท่านปู่ ที่ว่าท่านพ่อเคยช่วยชีวิตขององค์รัชทายาทไว้ เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ” จวินอู๋เสียถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

“นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ตอนนั้นพ่อของเจ้าเพิ่งรับช่วงต่อกองทัพรุ่ยหลินได้ไม่ถึงปี ยามนั้นองค์รัชทายาทน้อยเพิ่งถือกำเนิด ฮองเฮาพาเขากลับไปเยี่ยมตระกูลฝั่งมารดา ระหว่างทางพบโจรดักปล้นกลางทาง แต่เผอิญพ่อเจ้าไปพบเข้าพอดีจึงได้ช่วยพวกเขาไว้” จวินเสี่ยนกล่าว “ตอนแรกมั่วเฉี่ยนยวนไม่ได้แย่แบบนี้ แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่รู้เพราะสาเหตุใดนิสัยของเขาถึงได้เปลี่ยนไปมาก หากเขาสามารถเป็นฮ่องเต้รัฐชีได้ สกุลจวินของพวกเราคงไม่ตกอยู่ในวิกฤตเยี่ยงนี้” จวินเสี่ยนถอนหายใจ องค์รัชทายาทเพียงคนเดียวที่ฝากความหวังไว้ได้ ตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้เสียแล้ว

สองพ่อลูกสกุลจวินช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย เขาจึงไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

จวินอู๋เสียหรี่ตาลง จ้องมองไปที่ร่างกายของมั่วเฉี่ยนยวนอย่างคิดหนัก

จากความทรงจำของเจ้าของเดิมร่างเดิม นางรู้เรื่องมั่วเฉี่ยนยวนเพียงผิวเผินเท่านั้น มั่วเฉี่ยนยวนเกิดก่อนมั่วเซวี่ยนเฝ่ยครึ่งปี เขาเป็นพระโอรสองค์แรกของฮ่องเต้ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทแต่กำเนิด ตอนที่มั่วเฉี่ยนยวนยังเด็ก มักมีข่าวลือเกี่ยวกับเขาตลอดว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพ ยิ่งไม่เย่อหยิ่งหรือใจร้อน คำชมเชยเหล่านี้ถูกใช้ไปบนตัวมั่วเฉี่ยนยวนมากมาย ในช่วงเวลานั้นฮ่องเต้โปรดปรานมั่วเฉี่ยนยวนเป็นอย่างมาก และมั่วเฉี่ยนยวนเองก็มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ประชาชน

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนข้อแม้ข้อหนึ่ง…

นั่นคือหากตระกูลของฮองเฮายังไม่ล้มลง และฮองเฮายังนั่งตำแหน่งนายหญิงแห่งวังหลังอยู่!

ในปีที่ฮองเฮาทรงประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ ทั่วทั้งแคว้นต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มั่วเฉี่ยนยวนล้มป่วยอย่างหนักอยู่สามเดือน ทว่าหลังจากเขาฟื้นขึ้นมา อุปนิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน นับแต่นั้นเป็นต้นมา จากองค์รัชทายาทผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมมากความสามารถ ก็กลับกลายเป็นองค์รัชทายาทผู้เสียสติและเย่อหยิ่งจองหองแทน

………..