ตอนที่ 63 ตำหนักหลินยวน (5)
“วันนี้จวินชิงก็มาด้วยหรือ ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรจวินชิง ตรัสถามเขาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
จวินชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้วยใบหน้าซีดขาว เขาต้องการจะพูด แต่ทันทีที่เขาอ้าปาก ลมหายใจของเขาก็ติดขัดขึ้นมา เกิดอาการหายใจหอบเร็วราวกับว่ามีใครมาบีบคอเขาไว้
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปโดยพลัน รีบตรัสสั่งว่า “หมอหลวงรีบเข้าไปตรวจดูอาการเขาเร็วเข้า!”
ทันทีที่ฮ่องเต้มีรับสั่ง หมอหลวงทั้งสองคนที่ติดตามมาก็รีบเข้าไปตรวจดูอาการจวินชิงทันที
ตลอดกระบวนการทั้งหมด จวินชิงมีลมหายใจที่อ่อนแรงและหน้าซีดเผือด
จวินอู๋เสียดื่มชาอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้หมอหลวงสองคนนั้นจับชีพจรของจวินชิงต่อไป
ท่านอาเล็กฉลาด ด้วยคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้ให้เขามาร่วมงานเลี้ยงเพื่อตรวจดูอาการของเขา ฮ่องเต้เพิ่งตรัสขึ้น เขาจึงรีบเปิดโอกาสให้อย่างไม่ลังเล
ไม่มีวี่แววว่าอาการของจวินชิงจะดีขึ้นเลย ภายในของเขาสับสนและปั่นป่วนมาก พวกเขาต้องจับมือที่สั่นเทาของจวินชิงขึ้นมาเพื่อจับชีพจร ชีพจรของท่านอ๋องน้อยในยามนี้ คือชีพจรของคนที่ใกล้ตายอย่างแน่นอน เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น
หลังจากหมอหลวงตรวจดูอาการซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมลง กล่าวรายงานออกไปว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดให้กับท่านอ๋องน้อยได้ ขอท่านอ๋องน้อยโปรดรักษาตัวให้ดี อย่าได้กังวลและเสียใจไปเลย” หมอหลวงทั้งสองคนเอ่ยด้วยคำพูดที่มีนัยแอบแฝงอยู่ แต่ในห้องโถงนี้จะมีคนโง่เขลาอยู่สักกี่คนเชียว
แม้แต่หมอหลวงทั้งสองคนก็ยังหมดหนทาง ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าจวินชิงจะต้องตายแน่นอน!
ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจออกมา ทั้งที่ความรู้สึกภายในนั้นแตกต่างลิบลับ
“ให้คนไปเตรียมน้ำแกงโสมเข้ามาเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้ถอนพระอัสสาสะเบาๆ พระองค์หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรจวินเสี่ยนแล้วตรัสว่า “หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็พูดมาได้เลย วันนี้อวิ๋นเซียนก็อยู่ที่นี่ด้วย ให้อวิ๋นเซียนช่วยตรวจดูอาการจวินชิงอีกแรงดีหรือไม่”
จวินเสี่ยนลุกขึ้นและกล่าวด้วยความเคารพว่า “กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย และไป๋อวิ๋นเซียนที่นั่งอยู่ข้างๆ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ลุกขึ้นเพื่อเดินเข้ามาตรวจดูชีพจรให้จวินชิง
จวินอู๋เสียยันคาง มองไป๋อวิ๋นเซียนที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นชา
เหมียววว
ไอ้แก่ตายยากนี่ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง หากเขาต้องการช่วยท่านอาเล็กจริงๆ ก็ควรให้ไป๋อวิ๋นเซียนมาตรวจดูอาการให้ตั้งแต่แรกสิ ตอนนี้เพิ่งจะให้มาดู มีประโยชน์อันใด! แมวดำตัวน้อยบ่นอย่างไม่พอใจ เพราะจวินอู๋เสียถือสองพ่อลูกสกุลจวินเป็นคนในครอบครัว มันจึงยึดถือตามเจ้านายของมันไปด้วย
“นางไม่ได้มาตรวจดูว่าท่านอาเล็กของข้าจะรอดหรือไม่หรอก แต่มาเพื่อยืนยันว่าท่านอาเล็กของข้าจะตายในเร็วๆ นี้จริงหรือไม่ต่างหาก” จวินอู๋เสียหลับตาลง ฮ่องเต้ผู้นี้คิดว่าตัวเองฉลาดหนักหนา แท้จริงแล้วกลับโง่เขลาสิ้นดี
ต้องการใช้ไป๋อวิ๋นเซียนมายืนยันอาการของจวินชิงอย่างนั้นหรือ เขาประเมินความสามารถของสตรีผู้นี้สูงเกินไปแล้ว
ลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นหรือ ในสายตาของนางมันก็แค่เรื่องตลก!
ขณะที่ไป๋อวิ๋นเซียนกำลังจะจับชีพจรให้จวินชิง นางก็วางผ้าบางๆ ลงไปบนข้อมือของจวินชิงก่อนจะลงนิ้วสัมผัสแอ่งชีพจร สีหน้าท่าทีที่แสดงออกดูหยิ่งยโสยิ่งนัก
จวินเสี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของไป๋อวิ๋นเซียนอย่างเงียบๆ เกิดความประหม่าขึ้นเล็กน้อยในใจ
ไป๋อวิ๋นเซียนไม่ใช่หมอธรรมดา และตำแหน่งชื่อเสียงของสำนักชิงอวิ๋นเองก็มิได้ต่ำต้อย จวินเสี่ยนจึงไม่มั่นใจว่าไป๋อวิ๋นเซียนจะสามารถพบเห็นความผิดปกติใดจากร่างกายจวินชิงได้หรือไม่
จวินเสี่ยนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อเขาได้เห็นท่าทางที่ไม่แยแสใส่ใจของนาง นัยน์ตาเขาก็ขยายกว้าง รู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่อกับสายตาที่ผู้เป็นหลานสาวใช้มองไป๋อวิ๋นเซียน
มันช่างดูเหยียดหยามและดูแคลนอีกฝ่ายยิ่งนัก!
กระนั้นความสงบนี้ของจวินอู๋เสียกลับทำให้จวินเสี่ยนสบายใจขึ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋อวิ๋นเซียนก็ยืนตัวตรง ใบหน้าที่หยิ่งยโสนั้นไม่มีรอยยิ้มใดๆ ได้ยินเพียงนางกล่าวว่า “การวินิจฉัยของหมอหลวงนั้นไม่ผิดเลย ในตอนนั้นท่านอาจารย์ของข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถขจัดพิษในร่างกายของคุณชายจวินออกไปทั้งหมดได้ ข้าเกรงว่าไม่มีผู้ใดในโลกนี้อีกแล้วที่จะสามารถแก้พิษนี้ได้” หลังจากที่ไป๋อวิ๋นเซียนพูดจบ นางก็กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงใหญ่ของพระตำหนักอย่างภาคภูมิใจ
…………
ตอนที่ 64 ตำหนักหลินยวน (6)
พิษที่แม้แต่เจ้าสำนักชิงอวิ๋นยังแก้ไม่ได้ แล้วจะมีผู้ใดในโลกนี้สามารถแก้มันได้อีก
คำพูดของไป๋อวิ๋นเซียนนั้นทำให้ฮ่องเต้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
จวินเสี่ยนกล่าวขอบพระทัยด้วยสีหน้าซีดเผือดและกลับไปนั่งที่ตำแหน่งของตัวเอง มีคนสายตาดีสังเกตเห็นว่ามือของจวินเสี่ยนที่ถือจอกสุราเริ่มสั่นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าครั้งนี้จวินชิงจะไม่รอดแล้วจริงๆ เพราะจวินเสี่ยนเสียใจจนมือสั่นไปหมดแล้ว!
มือของจวินเสี่ยนสั่นจริงๆ แต่มิใช่เพราะเขาโศกเศร้าเสียใจ แต่เป็นเพราะเขานั้นกำลังกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบากต่างหาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลานี้ไม่เหมาะสม สถานที่ไม่เอื้ออำนวย เขาอยากจะแผดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ แล้วตะโกนบอกผู้คนที่อยู่ที่นี่ว่าพิษในตัวลูกชายเขานั้นถูกหลานสาวของเขาขจัดไปหมดแล้ว อย่าว่าแต่อันตรายถึงชีวิตเลย อีกไม่นานลูกชายเขาก็จะสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง!
เหอะ! สำนักชิงอวิ๋นอะไรกัน ที่แท้ก็แค่…
หลานสาวของเขาสามารถขจัดพิษทั้งหมดออกจากร่างกายของจวินชิงได้ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์นาง แต่ไป๋อวิ๋นเซียนผู้นี้กลับเอ่ยว่าพิษที่ท่านอาจารย์ของนางไม่สามารถแก้ได้ ก็ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถแก้พิษได้อีกแล้ว
ตอนแรกจวินเสี่ยนเคารพและชื่นชมสำนักชิงอวิ๋นมาก แต่หลังจากจวินอู๋เสียจัดการกับพิษในตัวของจวินชิงที่แม้แต่ท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้ เขาก็ดูแคลนสถานที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโอสถที่เป็นที่ร่ำลือนี้ทันที
สู้อู๋เสียของบ้านเขายังมิได้เลย ยังจะกล้าเอ่ยปากยกยอตนเองว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า!
จวินเสี่ยนมองดูปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนในห้องโถงของพระตำหนัก แอบสาบานในใจว่าวันที่สกุลจวินลุกขึ้นมาผงาดอีกครั้ง เขาจะทำให้กลุ่มคนที่ดูถูกเหยียดหยามเขาในวันนี้ได้เห็นดีอย่างแน่นอน
สำหรับตอนนี้ เขายังต้องแสดงละครเป็นชายชราที่โศกเศร้าเสียใจต่อพิษร้ายในตัวของบุตรชายต่อไป
จวินอู๋เสียชื่นชมทักษะการแสดงของท่านปู่และท่านอาเล็กของนางยิ่งนัก
เมื่อไป๋อวิ๋นเซียนทำหน้าที่ของนางเสร็จ นางก็กลับมานั่งลงข้างๆ มั่วเซวี่ยนเฝ่ย ชายหนุ่มกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อวิ๋นเซียน ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
ไป๋อวิ๋นเซียนยกยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าช่างเป็นบุรุษที่สง่างามและมีเสน่ห์เสียจริงน้องชายข้า เห็นแบบนี้ข้าก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้ารักปักใจในตัวคุณหนูไป๋เพียงใด” จู่ๆ มั่วเฉี่ยนยวนที่ไม่ค่อยเอ่ยอะไรออกมาก็พูดแทรกขึ้น เขายกจอกสุราค้างไว้ คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมจับจ้องไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างไม่ละสายตา
“เสด็จพี่ทรงล้อเล่นแล้ว” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมั่วเฉี่ยนยวนถึงกล่าวชมตัวเองออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเยี่ยงนี้
“มิกล้า แต่ไม่รู้ว่าเสน่ห์ของน้องข้านั้นจะไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อยหรือไม่ นิสัยชอบของใหม่เบื่อของเก่ามิใช่นิสัยที่ดีนักสำหรับเชื้อพระวงศ์อย่างเราๆ วันนี้เจ้าแสดงความรักใคร่กับคุณหนูไป๋ต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นบ้างหรือไม่” มั่วเฉี่ยนยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ใบหน้าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยแข็งค้างไปทันที
ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่าคำพูดของมั่วเฉี่ยนยวนนั้นหมายความว่าอย่างไร สายตาของทุกคนฉับพลันเลื่อนไปตกอยู่ที่ร่างของจวินอู๋เสียที่ถูกเพิกเฉยละเลย
วันนี้นางโจรแห่งเมืองหลวงผู้นี้ดูคล้ายจะเงียบผิดปกติเล็กน้อย ถ้ามั่วเฉี่ยนยวนมิได้เอ่ยขึ้นมา ทุกคนก็คงจะลืมนางไปหมดแล้ว
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับจวินอู๋เสียมาก่อน แต่หลังจากที่ไป๋อวิ๋นเซียนมาถึงเมืองหลวง มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับจวินอู๋เสียอีกต่อไป มิหนำซ้ำไม่นานมานี้เขายังยกเลิกสัญญาหมั้นหมายระหว่างเขากับจวินอู๋เสียไปอีกด้วย
การยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างทั้งสองคนนั้น เป็นเรื่องโด่งดังมากในเมืองหลวงและบริเวณเมืองใกล้เคียง เมื่อทุกคนต่างรอดูอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงของนางโจรสกุลจวิน จวินอู๋เสียกลับนิ่งเงียบและไม่ปรากฏตัวในที่ใดเลย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ทุกคนพบจวินอู๋เสียหลังจากเกิดเรื่องนั้น
แม้จะยังเป็นใบหน้างามพิลาศนั้นอยู่ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความรู้สึกที่จวินอู๋เสียให้กับพวกเขานั้นกลับแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย
ใบหน้าที่สวยงามของจวินอู๋เสียนั้นถือว่าไม่เป็นสองรองจากผู้ใด แต่เพราะอุปนิสัยของนางที่เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจเกินไป จึงทำให้ผู้คนเข็ดขยาดและหวาดกลัว แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้หายไปแล้ว จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่เงียบๆ ตรงมุมหนึ่งก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
……………..