บทบาทของปราชญ์ดาบอิชย์ในบทกวีแห่งผู้กล้าไม่ต่างจากมังกรบรรพกาล
มีอิทธิพลและพลังอำนาจ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ปรากฏตัว เป็นเพียงตัวประกอบเบื้องหลังที่มีการกล่าวถึงตามเนื้อเรื่องเท่านั้น
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ปราชญ์ดาบไม่สามารถถูกมองข้ามได้
อาจารย์ของจอมมารมิตร ปราการสุดท้ายที่คอยพิทักษ์เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าสุร
แม้แต่หลังจากที่แซเฟียร์ช่วงชิงบัลลังค์มาได้ อิชย์ก็กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องปกติที่บัลลังค์ย่อมคู่ควรกับผู้แข็งแกร่ง
กระทั่งยามผู้กล้าล็อคค์บุกเข้าเขตแดนโลกมารเพื่อปราบจอมมาร ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าปราชญ์ดาบจะปรากฏกาย
ปราชญ์ดาบอิชย์…
บุรุษผู้ถูกรู้จักแพร่หลายในชื่อดาบมาร หรือดาบเทพ
นักดาบที่เก่งกาจที่สุดของโลกมาร
หากนับปัจจุบันที่จอมมารมิตรมีร่างกายอ่อนแอลงจากโรคร้าย อิชย์ย่อมอยู่ในอันดับต้นเมื่อกล่าวถึงผู้ที่ทรงพลังที่สุดของวังจอมมาร เป็นรองเพียงปีศาจตนหนึ่งเท่านั้น
ปีศาจที่จอมมารทุกรุ่นล้วนยำเกรง และวังจอมมารก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อสังเกตการณ์ปีศาจตนนี้
&
เมื่อดาบแห่งปราชญ์ดาบหลุดจากนิทรา โลกาจักผันแปร บรรยากาศรอบลานปราสาทอึมครึมขึ้นในพริบตา เรียกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างแผ่เข้าปกคลุม
เฟลิซีแทบจะหยุดหายใจ ทางด้านอินกองก็รับรู้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เช่นเดียวกับที่เขารับรู้จากสายตาจอมมารมิตร
หากแต่สิ่งนี้ต่างไปจากตอนที่อินกองรับรู้ความแข็งแกร่งของผู้อื่น เขารู้สึกราวเม็ดทรายท่ามกลางธรรมชาติอันกว้างใหญ่… อย่างน้ำตกอันสูงชัน พายุฝนฟ้าคะนอง หรือภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
ความแข็งแกร่งของบุรุษตรงหน้าอยู่เกินกว่าที่อินกองในปัจจุบันจะหยั่งถึง
ชายในชุดเกราะสีน้ำเงินก็ปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมาเช่นกัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่อยู่ในกำมือของเขาอีกต่อไป
คารัคกลืนน้ำลาย ส่วนกัมมะที่ทนแรงกดดันไม่ไหวก็ล้มสลบลงกับพื้น และในช่วงเวลานั้นเอง หอกของบุรุษนิรนามก็ฟาดลง
ไอพลังสีน้ำเงินรวมตัวกันระเบิดออกเป็นคลื่นพลังเข้าโจมตีอิชย์ ปราชญ์ดาบไม่มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย ทำเพียงแกว่งดาบในมือ
เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่ พื้นลานปราสาทสั่นสะเทือน ตามมาด้วยรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้น ราวกับถูกข่วนด้วยกรงเล็บขนาดยักษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เกินกว่าความเข้าใจของคณะอินกองมากนัก
หอกในมือของชายเกราะน้ำเงินกวัดแกว่งอีกครั้ง คลื่นพลังพุ่งเข้าโจมตีอีกรอบ แต่ปราชญ์ดาบยังคงยืนหยัดอยู่จุดเดิม
แล้วก็ตามมาด้วยครั้งที่สาม…
ปราชญ์ดาบเริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด และในวินาทีนั้น ชายนิรนามก็ปล่อยหอกในมือเขา ชายคนนั้นพุ่งตัวเข้าหาปราชญ์ดาบอย่างรวดเร็ว ก่อนไอพลังสีน้ำเงินจะระเบิดออกอย่างรุนแรง!
เหมือนลูกระเบิดที่กำลังระเบิดพลังทำลายออกมา ไอพลังสีน้ำเงินที่ควบตัวรวมกันอยู่ที่จุดหนึ่ง ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วลานปราสาท เฟลิซีที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าได้แต่กรีดร้อง
นั่นเพราะนี่ไม่ใช่เหมือนระเบิด แต่ชายคนนั้นเลือกที่จะสละชีวิตระเบิดพลังในตัวทั้งหมดออกมา ไอพลังสีน้ำเงินแผ่กระจายไปรอบด้านราวกับเปลวเพลิง พลังทำลายของมันมากมายเกินพอที่จะทำลายลานปราสาท มันมากพอที่จะทำลายตัวปราสาททั้งหมดได้เลยเสียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นตามมาแทบจะในทันที ระเบิดถูกฟันแยกออก ราวกับผลไม้ที่ถูกผ่ากลาง
มันเกินขอบเขตความเข้าใจของอินกอง ไอพลังสีน้ำเงินที่กำลังระเบิดถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ก่อนจะจางหายไป
คารัคได้แต่มองอึ้งอ้าปากค้าง กัมมะยังคงสลบไสลกองอยู่กับพื้น อินกองรีบคว้าตัวเฟลิซีเข้ามากอดเอาไว้
“ว้าย?”
เฟลิซีอุทานออกมาอย่างไม่คาดคิด แต่อินกองยังไม่หยุดแค่นั้น เขาโน้มตัวลงกับพื้นทั้งที่ยังกอดเฟลิซีอยู่ พร้อมร้องตะโกน
“กรีนวินด์!”
ไวท์อีเกิ้ลสยายปีกเหล็กของมันออก คุ้มกันอินกองกับเฟลิซีจากแรงระเบิดครั้งใหม่
บรึ้มม!
บรึ้ม! บรึ้ม! บรึ้ม!
ระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินกองแง้มมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านปีกของไวท์อีเกิ้ล
กลุ่มนิรนามทั้งหมดทะยอยระเบิดตัวตาย
บางส่วนคว้าผู้พิทักษ์ปราสาทไว้ก่อนจะระเบิดสละชีพ ส่วนที่เหลือก็ทยอยระเบิดในจุดที่พวกมันยืนอยู่ แต่ไวท์อีเกิ้ลก็ปกป้องทั้งสองจากแรงระเบิดเหล่านี้ไว้ได้
“องค์ชาย!”
คารัคคว้าโล่ของมันตั้งป้องกันตัวมันกับกัมมะเอาไว้ อินกองไม่ตอบอะไรเจ้าออร์ค เขามองการระเบิดตัวตายทั้งหมดพลางครุ่นคิด
พวกมันไม่ได้ระเบิดตัวตายเพื่อแลกชีวิตกับคณะของอินกอง พวกมันทำเพื่อกันไม่ให้มีข้อมูลความลับรั่วไหล
ถึงแม้บุรุษนิรนามในชุดเกราะน้ำเงินคนนั้นจะแข็งแกร่งจนสามารถปราบซอมบี้ดราก้อนได้โดยง่าย
แต่ชายที่แข็งแกร่งขนาดนั้นกลับเลือกที่จะระเบิดตัวตาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของปราชญ์ดาบ และแน่นอนว่าการที่เขาตัดสินใจระเบิดตัวตายอย่างไม่ลังเลก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเช่นกัน
เขาเป็นใครกัน? แล้วพวกไหนกันที่ส่งเขามา?
ระเบิดลูกโซ่ดำเนินอยู่ไม่นาน เมื่ออินกองสังเกตผ่านแผนที่ย่อว่ากลุ่มนิรนามตายหมดแล้ว เขาก็ปล่อยมือจากเฟลิซีแล้วลุกขึ้น
“ทำดีมากกีวี่”
อินกองพูดชมเชยออกมา ตามมาด้วยเสียงบ่นจากกรีนวินด์
‘นายท่าน! ข้าไม่ไช่กีวี่ ถ้าข้าเป็นกีวี่ งั้นคารัคก็เป็นคา… ร์ล?’
สีหน้าของกรีนวินด์บ่งบอกว่านางต้องการจะบ่นเพิ่ม อินกองหัวเราะออกพร้อมนำไวท์อีเกิ้ลกลับมาที่แขนซ้าย ก่อนจะมองสำรวจความปลอดภัยของคณะ
“นูนะปลอดภัยนะครับ?”
“ฉันไม่เป็น…อะไร ก็แค่ตกใจนิดหน่อย”
เฟลิซีลุกขึ้น นางตอบกลับมาระหว่างพยายามปรับลมหายใจ อินกองหันไปมองสำรวจคารัคที่พยายามประคองกัมมะขึ้นยืน โล่อันใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจากคลังสมบัติมีสภาพที่ไม่เหลือชิ้นดี
แล้วอินกองก็หันมองไปยังปราชญ์ดาบ บุรุษผู้นี้หยุดการระเบิดพลีชีพของชายนิรนามไว้ในไม่กี่ก้าว และในตอนนี้ปราชญ์ดาบก็กำลังก้าวเดินมาทางพวกเขา
เฟลิซีกระซิบบอกอินกอง
“นั่นคือปราชญ์ดาบ เขาคือผู้ที่ส่งหนังมังกรให้กับเธอ”
อินกองพยักหน้ารับแล้วพยายามปรับลมหายใจตัวเอง แม้จะรู้ว่าชายตรงหน้ามาอย่างเป็นมิตร แต่เขาก็อดใจเต้นรัวไม่ได้
แล้วปราชญ์ดาบก็ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าคณะของอินกอง
มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายร่างสูงตรงหน้า ทว่าเขากลับไม่ได้ดูแก่ชรา มาดของเขาให้ความรู้สึกยำเกรงสมกับเป็นผู้อาวุโสแห่งเผ่าสุร
อินกองเลิกคิดที่จะคาดเดาความแข็งแกร่งของปราชญ์ดาบ แม้เขาจะไม่รู้ว่าปราชญ์ดาบใช้พลังมากน้อยเพียงใดเพื่อหยุดการระเบิดของชายเกราะน้ำเงินเอาไว้ แต่การหยุดระเบิดนั้นไว้ได้อย่างง่ายดายย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายตามที่เห็น
อิชย์ส่งรอยยิ้มให้กับอินกองและเฟลิซี ก่อนจะพุ่งปรี่หาเฟลิซีอย่างรวดเร็ว
“หญิงหก!”
เฟลิซีร้องขัดขืนออกมาในทันที นั่นเพราะปราชญ์ดาบสอดแขนทั้งสองเข้ามาใต้รักแร้ของนาง ก่อนจะยกตัวนางชูขึ้นราวกับชูเด็กทารก
“ว้าย! ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
เฟลิซีร้องออกมาอย่างเขินอายแต่ดูจะไม่เป็นผล อิชย์หัวเราะแล้วโยนเฟลิซีขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะจับเอวนางหมุนไปรอบตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เจอตั้งนานนม! โตขึ้นเป็นกองเลย! ครั้งสุดท้ายที่เจอเจ้ายังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกเอง!”
“ปล่อยนะ! บอกให้ปล่อย!”
เฟลิซีร้องออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ หลังจากหมุนอีกหลายรอบ อิชย์ก็ปล่อยตัวเฟลิซีในที่สุด
“เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่ายินดีจริงๆ”
ปราชญ์ดาบหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง คารัคกระพริบตาอย่างงงงวยกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
ลุงนี้ใช่บุรุษที่น่ากลัวเมื่อสักครู่จริงหรือ?
หลังจากลูบหัวเฟลิซีอีกครั้ง อิชย์ก็หันไปทางอินกอง อินกองก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ก่อนอิชย์จะกอดอกถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“องค์ชายเก้า ของขวัญถูกใจไหม?”
อิชย์มองไปยังเกราะเท้าของอินกอง อินกองข่มอาการตื่นตระหนกเอาไว้แล้วพยายามตอบออกมาอย่างปกติที่สุด
“มันสุดวิเศษมาก ขอบคุณครับ”
แม้จะไร้ซึ่งสายสัมพันธ์โลหิตระหว่างปราชญ์ดาบกับทายาททั้งหมด แต่ปราชญ์ดาบก็เป็นอาจารย์ของจอมมารมิตร เหล่าทายาทจึงนับถือเขาดั่งปู่
อิชย์พูดกับเฟลิซีอย่างกันเอง แต่ดูสุภาพขึ้นเล็กน้อยเมื่อคุยกับอินกอง
“เจ้าชอบ ข้าก็ยินดี”
ดูเหมือนอิชย์จะไม่เคยพบกับฉัตรมาก่อน
ต่างจากแววตาที่มองเฟลิซีอย่างเอ็นดู อิชย์มองมาที่อินกองอย่างอยากรู้อยากเห็น
ก่อนเขาจะมองไปยังซากผู้พิทักษ์กับมังกรดำพาติซาน
“แล้วนี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
อินกองเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เขาพบรวมถึงที่เขาคาดเดา ทั้งหมดไม่ใช่ความลับอะไรและทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ปราชญ์ดาบจะรับรู้ในไม่เร็วก็ช้าอยู่แล้ว
ระหว่างที่ปราชญ์ดาบฟังอย่างใช้ความคิด เฟลิซีก็ตีหน้าฉงนขึ้นมา
“เป้าหมายของพวกนั้นคือแซเฟียร์โอราบอนี?”
“คิดว่านะครับ ถึงจะไม่ค่อยชัดเจน แต่ผู้ชายถือหอกคนนั้นบอกว่าพวกเรามาแทนที่องค์ชายสอง”
แม้จะเป็นพี่น้อง แต่อินกองกลับเรียกองค์ชายสอง แทนที่จะเป็นแซเฟียร์ฮยอง
คารัคถามแทรกขึ้นมา
“เอ่อ ข้าไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นเลยนะ องค์หญิงละว่าไง? ในบรรดาพวกเราองค์หญิงหูดีที่สุดนิ”
มันเห็นความสามารถในการรับรู้ของเฟลิซีหลายครั้งเมื่อคราวที่ราบอินคา ทว่าเฟลิซีกลับส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
ชายถือหอกนิรนามคนนั้นอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร กระทั่งการปรากฏตัวของเขาก็ยังเป็นปริศนาอยู่
คารัคหันกลับมาถามอินกองอย่างลังเล
“องค์ชาย แน่ใจนะว่าแกไม่ได้หูฝาด?”
“ไม่ ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ผมได้ยินชัดเจนเลย”
ตัวอินกองเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ยินคำพูดของชายคนนั้น แต่เขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาไม่ได้หูฝาด
เฟลิซีพยักหน้า
“ถึงมันจะดูแปลก แต่มันก็เข้าเค้า ฉันรู้สึกว่ามันตอบโจทย์ได้หลายอย่างเลย ทั้งหมดที่วังจอมมารต่างก็คิดว่าภารกิจนี้จะต้องถูกส่งต่อให้แซเฟียร์โอราบอนี ถ้าทั้งหมดนี่ทำไปเพื่อล่อแซเฟียร์โอราบอนีออกมา มันก็อธิบายได้ว่าทำไมพวกมันถึงต้องลอบสังหารพลโทกาซบาล รวมถึงเรื่องที่มันรออยู่นานกว่าจะเริ่มยึดปราสาท”
และเฟลิซีก็สงสัยในเรื่องเดียวกับอินกอง
“ปัญหาก็คือ พวกมันจะล่อแซเฟียร์โอราบอนีออกมาเพื่ออะไรกัน?”
คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือเพื่อลอบสังหารแซเฟียร์ ทว่าเฟลิซีไม่คิดอย่างนั้น ถึงแม้นางจะไม่อาจหยั่งถึงความแข็งแกร่งของบุรุษเกราะน้ำเงินคนนั้น แต่นางก็ไม่คิดว่าแซเฟียร์จะติดกับ
แต่ก็มีตัวแปรหลากหลายเกินกว่าจะฟันธงได้ นอกจากนี้พวกนั้นอาจจะวางแผนอะไรไว้มากกว่าที่เห็น
หัวหน้าเดรคโอเกอร์มุสตาฟาและราชันโครงกระดูกบาโคโรฟที่พวกเขาพบที่ที่ราบอินคา…
ซอมบี้ดราก้อน และบุรุษผู้ถือหอกในชุดเกราะสีน้ำเงินที่ปราสาทธันเดอร์ดูม
ขณะที่บรรยากาศเข้าสู่ความตึงเครียด ปราชญ์ดาบก็พูดแทรกขึ้นมา
“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ น่าสนใจไม่เลวเลยทีเดียว”
สีหน้าของอิชย์ดูไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย นั่นทำให้อินกองสงสัย
“ปราชญ์ดาบพอจะรู้อะไรหรือครับ?”
“เปล่า ก็แค่ที่นี่คือโลกมาร ไอพวกแบบนี้มีอยู่ถมไป องค์ชายองค์หญิงก็แค่ต้องโตมากกว่านี้ วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียว”
ปราชญ์ดาบหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะชูกำปั้นขึ้นมา
“จงแข็งแกร่งขึ้น หากเจ้าแข็งแกร่งพอ ก็ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกลัว”
เป็นคำตอบที่สั้น แต่ได้ใจความ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง บุรุษเกราะน้ำเงินที่เป็นปัญหากับพวกอินกองถูกปราชญ์ดาบใช้กำลังเข้าคลี่คลายอย่างง่ายดาย
คารัคจ้องมองปราชญ์ดาบอย่างเลื่อมใส ส่วนกัมมะที่ไม่รู้ได้สติเมื่อไรก็มีสายตาอันเป็นประกาย
มีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ถึงจะดีใจที่มาช่วยก็เถอะ แต่ว่าปราชญ์ดาบมาทำอะไรที่นี่กันแน่?”
การปรากฏตัวของชายถือหอกไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ปราชญ์ดาบมาที่นี่อย่างแน่นอน เฟลิซีถามถึงสาเหตุที่แท้จริง แม้นางจะพอคาดเดาอยู่ได้บ้างก็ตาม
ปราชญ์ดาบหันมามองทางอินกองก่อนจะตอบออกมา
“ข้ามาหาองค์ชายเก้า”
คำตอบเป็นไปอย่างที่เฟลิซีคาดไว้ แต่นางก็ยังรอให้อิชย์พูดต่อให้จบ ซึ่งก็เป็นตามที่นางคาดคิดอีกเช่นกัน
“ข้าอยู่ที่เขตศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่รู้ข่าวเรื่องการประชุมสภา ดูเหมือนมิตรจะสนใจตัวองค์ชายเป็นพิเศษ”
‘เขตศักดิ์สิทธิ์?’
อินกองอดสงสัยไม่ได้ นั่นเพราะในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า จะมีการกล่าวถึงปราชญ์ดาบว่าตระเวณเร่ร่อนไปทั่วหาตัวได้ยาก
ปราชญ์ดาบยังคงพูดต่อ
“อย่างที่หญิงหกรู้ ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เขตศักดิ์สิทธิ์ แต่รอบนี้จะให้ข้ารออยู่เฉยๆก็คงไม่ได้”
เขตศักดิ์สิทธิ์
เป็นสถานที่สำคัญของเผ่าสุรที่แม้กระทั่งแซเฟียร์ก็ไม่รู้ถึงตำแหน่งที่ตั้ง
การจะไปยังสถานที่แห่งนั้นจำต้องได้รับการนำทางจากผู้พิทักษ์อย่างปราชญ์ดาบ
อินกองยังคงจดจ่อกับคำพูดของปราชญ์ดาบ
“มิตรไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล ถึงข้าจะยังไม่รู้สาเหตุ แต่มันต้องมีเหตุผลอะไรแฝงอยู่แน่นอน”
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ว่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือความชอบพอส่วนตัว
มีบางอย่างที่พิเศษในตัวฉัตร
“ข้าก็เลยเกิดสนใจขึ้นมา และพอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ข้ายิ่งสนใจขึ้นเป็นพิเศษไปอีก”
ปราชญ์ดาบจ้องมายังอินกอง แม้สีหน้าของเขาจะเหมือนเดิม แต่แววตาได้ต่างออกไป มันราวกับแววตาคู่นั้นพยายามมองผ่านทะลุทะลวงไปถึงยังจิตวิญญาณข้างใน
ก่อนปราชญ์ดาบจะแสยะยิ้มออกมา ทำให้อินกองต้องหลบสายตา
ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับทายาทตนใดมาก่อน นั่นรวมไปถึงแซเฟียร์
“องค์ชายเก้าสนใจจะเรียนวิชาจากข้าไหม?”
เรียนวิชาจากปราชญ์ดาบ
ในฐานะตัวแทนของขุนนางทั้งหมดแห่งวังจอมมาร เฟลิซีอ้าปากค้างตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น