บทบาทของปราชญ์ดาบอิชย์ในบทกวีแห่งผู้กล้าไม่ต่างจากมังกรบรรพกาล

 

 มีอิทธิพลและพลังอำนาจ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ปรากฏตัว เป็นเพียงตัวประกอบเบื้องหลังที่มีการกล่าวถึงตามเนื้อเรื่องเท่านั้น

 

 แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ปราชญ์ดาบไม่สามารถถูกมองข้ามได้

 

 อาจารย์ของจอมมารมิตร ปราการสุดท้ายที่คอยพิทักษ์เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าสุร

 

 แม้แต่หลังจากที่แซเฟียร์ช่วงชิงบัลลังค์มาได้ อิชย์ก็กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องปกติที่บัลลังค์ย่อมคู่ควรกับผู้แข็งแกร่ง

 

 กระทั่งยามผู้กล้าล็อคค์บุกเข้าเขตแดนโลกมารเพื่อปราบจอมมาร ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าปราชญ์ดาบจะปรากฏกาย

 

 ปราชญ์ดาบอิชย์…

 

 บุรุษผู้ถูกรู้จักแพร่หลายในชื่อดาบมาร หรือดาบเทพ

 

 นักดาบที่เก่งกาจที่สุดของโลกมาร

 

 หากนับปัจจุบันที่จอมมารมิตรมีร่างกายอ่อนแอลงจากโรคร้าย อิชย์ย่อมอยู่ในอันดับต้นเมื่อกล่าวถึงผู้ที่ทรงพลังที่สุดของวังจอมมาร เป็นรองเพียงปีศาจตนหนึ่งเท่านั้น

 

 ปีศาจที่จอมมารทุกรุ่นล้วนยำเกรง และวังจอมมารก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อสังเกตการณ์ปีศาจตนนี้

 

&

 

 เมื่อดาบแห่งปราชญ์ดาบหลุดจากนิทรา โลกาจักผันแปร บรรยากาศรอบลานปราสาทอึมครึมขึ้นในพริบตา เรียกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างแผ่เข้าปกคลุม

 

 เฟลิซีแทบจะหยุดหายใจ ทางด้านอินกองก็รับรู้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เช่นเดียวกับที่เขารับรู้จากสายตาจอมมารมิตร

 

 หากแต่สิ่งนี้ต่างไปจากตอนที่อินกองรับรู้ความแข็งแกร่งของผู้อื่น เขารู้สึกราวเม็ดทรายท่ามกลางธรรมชาติอันกว้างใหญ่… อย่างน้ำตกอันสูงชัน พายุฝนฟ้าคะนอง หรือภูเขาไฟที่กำลังปะทุ

 

 ความแข็งแกร่งของบุรุษตรงหน้าอยู่เกินกว่าที่อินกองในปัจจุบันจะหยั่งถึง

 

 ชายในชุดเกราะสีน้ำเงินก็ปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมาเช่นกัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่อยู่ในกำมือของเขาอีกต่อไป

 

 คารัคกลืนน้ำลาย ส่วนกัมมะที่ทนแรงกดดันไม่ไหวก็ล้มสลบลงกับพื้น และในช่วงเวลานั้นเอง หอกของบุรุษนิรนามก็ฟาดลง

 

 ไอพลังสีน้ำเงินรวมตัวกันระเบิดออกเป็นคลื่นพลังเข้าโจมตีอิชย์ ปราชญ์ดาบไม่มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย ทำเพียงแกว่งดาบในมือ

 

 เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่ พื้นลานปราสาทสั่นสะเทือน ตามมาด้วยรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้น ราวกับถูกข่วนด้วยกรงเล็บขนาดยักษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เกินกว่าความเข้าใจของคณะอินกองมากนัก

 

 หอกในมือของชายเกราะน้ำเงินกวัดแกว่งอีกครั้ง คลื่นพลังพุ่งเข้าโจมตีอีกรอบ แต่ปราชญ์ดาบยังคงยืนหยัดอยู่จุดเดิม

 

 แล้วก็ตามมาด้วยครั้งที่สาม…

 

 ปราชญ์ดาบเริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด และในวินาทีนั้น ชายนิรนามก็ปล่อยหอกในมือเขา ชายคนนั้นพุ่งตัวเข้าหาปราชญ์ดาบอย่างรวดเร็ว ก่อนไอพลังสีน้ำเงินจะระเบิดออกอย่างรุนแรง!

 

 เหมือนลูกระเบิดที่กำลังระเบิดพลังทำลายออกมา ไอพลังสีน้ำเงินที่ควบตัวรวมกันอยู่ที่จุดหนึ่ง ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วลานปราสาท เฟลิซีที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าได้แต่กรีดร้อง

 

 นั่นเพราะนี่ไม่ใช่เหมือนระเบิด แต่ชายคนนั้นเลือกที่จะสละชีวิตระเบิดพลังในตัวทั้งหมดออกมา ไอพลังสีน้ำเงินแผ่กระจายไปรอบด้านราวกับเปลวเพลิง พลังทำลายของมันมากมายเกินพอที่จะทำลายลานปราสาท มันมากพอที่จะทำลายตัวปราสาททั้งหมดได้เลยเสียด้วยซ้ำ

 

 แต่สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นตามมาแทบจะในทันที ระเบิดถูกฟันแยกออก ราวกับผลไม้ที่ถูกผ่ากลาง

 

 มันเกินขอบเขตความเข้าใจของอินกอง ไอพลังสีน้ำเงินที่กำลังระเบิดถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ก่อนจะจางหายไป

 

 คารัคได้แต่มองอึ้งอ้าปากค้าง กัมมะยังคงสลบไสลกองอยู่กับพื้น อินกองรีบคว้าตัวเฟลิซีเข้ามากอดเอาไว้

 

“ว้าย?”

 

 เฟลิซีอุทานออกมาอย่างไม่คาดคิด แต่อินกองยังไม่หยุดแค่นั้น เขาโน้มตัวลงกับพื้นทั้งที่ยังกอดเฟลิซีอยู่ พร้อมร้องตะโกน

 

“กรีนวินด์!”

 

 ไวท์อีเกิ้ลสยายปีกเหล็กของมันออก คุ้มกันอินกองกับเฟลิซีจากแรงระเบิดครั้งใหม่

 

บรึ้มม!

 

บรึ้ม! บรึ้ม! บรึ้ม!

 

 ระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินกองแง้มมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านปีกของไวท์อีเกิ้ล

 

 กลุ่มนิรนามทั้งหมดทะยอยระเบิดตัวตาย

 

 บางส่วนคว้าผู้พิทักษ์ปราสาทไว้ก่อนจะระเบิดสละชีพ ส่วนที่เหลือก็ทยอยระเบิดในจุดที่พวกมันยืนอยู่ แต่ไวท์อีเกิ้ลก็ปกป้องทั้งสองจากแรงระเบิดเหล่านี้ไว้ได้

 

“องค์ชาย!”

 

 คารัคคว้าโล่ของมันตั้งป้องกันตัวมันกับกัมมะเอาไว้ อินกองไม่ตอบอะไรเจ้าออร์ค เขามองการระเบิดตัวตายทั้งหมดพลางครุ่นคิด

 

 พวกมันไม่ได้ระเบิดตัวตายเพื่อแลกชีวิตกับคณะของอินกอง พวกมันทำเพื่อกันไม่ให้มีข้อมูลความลับรั่วไหล

 

 ถึงแม้บุรุษนิรนามในชุดเกราะน้ำเงินคนนั้นจะแข็งแกร่งจนสามารถปราบซอมบี้ดราก้อนได้โดยง่าย

 

 แต่ชายที่แข็งแกร่งขนาดนั้นกลับเลือกที่จะระเบิดตัวตาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของปราชญ์ดาบ และแน่นอนว่าการที่เขาตัดสินใจระเบิดตัวตายอย่างไม่ลังเลก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเช่นกัน

 

 เขาเป็นใครกัน? แล้วพวกไหนกันที่ส่งเขามา?

 

 ระเบิดลูกโซ่ดำเนินอยู่ไม่นาน เมื่ออินกองสังเกตผ่านแผนที่ย่อว่ากลุ่มนิรนามตายหมดแล้ว เขาก็ปล่อยมือจากเฟลิซีแล้วลุกขึ้น

 

“ทำดีมากกีวี่”

 

 อินกองพูดชมเชยออกมา ตามมาด้วยเสียงบ่นจากกรีนวินด์

 

‘นายท่าน! ข้าไม่ไช่กีวี่ ถ้าข้าเป็นกีวี่ งั้นคารัคก็เป็นคา… ร์ล?’

 

 สีหน้าของกรีนวินด์บ่งบอกว่านางต้องการจะบ่นเพิ่ม อินกองหัวเราะออกพร้อมนำไวท์อีเกิ้ลกลับมาที่แขนซ้าย ก่อนจะมองสำรวจความปลอดภัยของคณะ

 

“นูนะปลอดภัยนะครับ?”

 

“ฉันไม่เป็น…อะไร ก็แค่ตกใจนิดหน่อย”

 

 เฟลิซีลุกขึ้น นางตอบกลับมาระหว่างพยายามปรับลมหายใจ อินกองหันไปมองสำรวจคารัคที่พยายามประคองกัมมะขึ้นยืน โล่อันใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจากคลังสมบัติมีสภาพที่ไม่เหลือชิ้นดี

 

 แล้วอินกองก็หันมองไปยังปราชญ์ดาบ บุรุษผู้นี้หยุดการระเบิดพลีชีพของชายนิรนามไว้ในไม่กี่ก้าว และในตอนนี้ปราชญ์ดาบก็กำลังก้าวเดินมาทางพวกเขา

 

 เฟลิซีกระซิบบอกอินกอง

 

“นั่นคือปราชญ์ดาบ เขาคือผู้ที่ส่งหนังมังกรให้กับเธอ”

 

 อินกองพยักหน้ารับแล้วพยายามปรับลมหายใจตัวเอง แม้จะรู้ว่าชายตรงหน้ามาอย่างเป็นมิตร แต่เขาก็อดใจเต้นรัวไม่ได้

 

 แล้วปราชญ์ดาบก็ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าคณะของอินกอง

 

 มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายร่างสูงตรงหน้า ทว่าเขากลับไม่ได้ดูแก่ชรา มาดของเขาให้ความรู้สึกยำเกรงสมกับเป็นผู้อาวุโสแห่งเผ่าสุร

 

 อินกองเลิกคิดที่จะคาดเดาความแข็งแกร่งของปราชญ์ดาบ แม้เขาจะไม่รู้ว่าปราชญ์ดาบใช้พลังมากน้อยเพียงใดเพื่อหยุดการระเบิดของชายเกราะน้ำเงินเอาไว้ แต่การหยุดระเบิดนั้นไว้ได้อย่างง่ายดายย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายตามที่เห็น

 

 อิชย์ส่งรอยยิ้มให้กับอินกองและเฟลิซี ก่อนจะพุ่งปรี่หาเฟลิซีอย่างรวดเร็ว

 

“หญิงหก!”

 

 เฟลิซีร้องขัดขืนออกมาในทันที นั่นเพราะปราชญ์ดาบสอดแขนทั้งสองเข้ามาใต้รักแร้ของนาง ก่อนจะยกตัวนางชูขึ้นราวกับชูเด็กทารก

 

“ว้าย! ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้!”

 

 เฟลิซีร้องออกมาอย่างเขินอายแต่ดูจะไม่เป็นผล อิชย์หัวเราะแล้วโยนเฟลิซีขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะจับเอวนางหมุนไปรอบตัว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เจอตั้งนานนม! โตขึ้นเป็นกองเลย! ครั้งสุดท้ายที่เจอเจ้ายังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกเอง!”

 

“ปล่อยนะ! บอกให้ปล่อย!”

 

 เฟลิซีร้องออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ หลังจากหมุนอีกหลายรอบ อิชย์ก็ปล่อยตัวเฟลิซีในที่สุด

 

“เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่ายินดีจริงๆ”

 

 ปราชญ์ดาบหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง คารัคกระพริบตาอย่างงงงวยกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

 

 ลุงนี้ใช่บุรุษที่น่ากลัวเมื่อสักครู่จริงหรือ?

 

 หลังจากลูบหัวเฟลิซีอีกครั้ง อิชย์ก็หันไปทางอินกอง อินกองก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ก่อนอิชย์จะกอดอกถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“องค์ชายเก้า ของขวัญถูกใจไหม?”

 

 อิชย์มองไปยังเกราะเท้าของอินกอง อินกองข่มอาการตื่นตระหนกเอาไว้แล้วพยายามตอบออกมาอย่างปกติที่สุด

 

“มันสุดวิเศษมาก ขอบคุณครับ”

 

 แม้จะไร้ซึ่งสายสัมพันธ์โลหิตระหว่างปราชญ์ดาบกับทายาททั้งหมด แต่ปราชญ์ดาบก็เป็นอาจารย์ของจอมมารมิตร เหล่าทายาทจึงนับถือเขาดั่งปู่

 

 อิชย์พูดกับเฟลิซีอย่างกันเอง แต่ดูสุภาพขึ้นเล็กน้อยเมื่อคุยกับอินกอง

 

“เจ้าชอบ ข้าก็ยินดี”

 

 ดูเหมือนอิชย์จะไม่เคยพบกับฉัตรมาก่อน

 

 ต่างจากแววตาที่มองเฟลิซีอย่างเอ็นดู อิชย์มองมาที่อินกองอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

 ก่อนเขาจะมองไปยังซากผู้พิทักษ์กับมังกรดำพาติซาน

 

“แล้วนี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 อินกองเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เขาพบรวมถึงที่เขาคาดเดา ทั้งหมดไม่ใช่ความลับอะไรและทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ปราชญ์ดาบจะรับรู้ในไม่เร็วก็ช้าอยู่แล้ว

 

 ระหว่างที่ปราชญ์ดาบฟังอย่างใช้ความคิด เฟลิซีก็ตีหน้าฉงนขึ้นมา

 

“เป้าหมายของพวกนั้นคือแซเฟียร์โอราบอนี?”

 

“คิดว่านะครับ ถึงจะไม่ค่อยชัดเจน แต่ผู้ชายถือหอกคนนั้นบอกว่าพวกเรามาแทนที่องค์ชายสอง”

 

 แม้จะเป็นพี่น้อง แต่อินกองกลับเรียกองค์ชายสอง แทนที่จะเป็นแซเฟียร์ฮยอง

 

 คารัคถามแทรกขึ้นมา

 

“เอ่อ ข้าไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นเลยนะ องค์หญิงละว่าไง? ในบรรดาพวกเราองค์หญิงหูดีที่สุดนิ”

 

 มันเห็นความสามารถในการรับรู้ของเฟลิซีหลายครั้งเมื่อคราวที่ราบอินคา ทว่าเฟลิซีกลับส่ายหน้า

 

“ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

 

 ชายถือหอกนิรนามคนนั้นอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร กระทั่งการปรากฏตัวของเขาก็ยังเป็นปริศนาอยู่

 

 คารัคหันกลับมาถามอินกองอย่างลังเล

 

“องค์ชาย แน่ใจนะว่าแกไม่ได้หูฝาด?”

 

“ไม่ ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ผมได้ยินชัดเจนเลย”

 

 ตัวอินกองเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ยินคำพูดของชายคนนั้น แต่เขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาไม่ได้หูฝาด

 

 เฟลิซีพยักหน้า

 

“ถึงมันจะดูแปลก แต่มันก็เข้าเค้า ฉันรู้สึกว่ามันตอบโจทย์ได้หลายอย่างเลย ทั้งหมดที่วังจอมมารต่างก็คิดว่าภารกิจนี้จะต้องถูกส่งต่อให้แซเฟียร์โอราบอนี ถ้าทั้งหมดนี่ทำไปเพื่อล่อแซเฟียร์โอราบอนีออกมา มันก็อธิบายได้ว่าทำไมพวกมันถึงต้องลอบสังหารพลโทกาซบาล รวมถึงเรื่องที่มันรออยู่นานกว่าจะเริ่มยึดปราสาท”

 

 และเฟลิซีก็สงสัยในเรื่องเดียวกับอินกอง

 

“ปัญหาก็คือ พวกมันจะล่อแซเฟียร์โอราบอนีออกมาเพื่ออะไรกัน?”

 

 คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือเพื่อลอบสังหารแซเฟียร์ ทว่าเฟลิซีไม่คิดอย่างนั้น ถึงแม้นางจะไม่อาจหยั่งถึงความแข็งแกร่งของบุรุษเกราะน้ำเงินคนนั้น แต่นางก็ไม่คิดว่าแซเฟียร์จะติดกับ

 

 แต่ก็มีตัวแปรหลากหลายเกินกว่าจะฟันธงได้ นอกจากนี้พวกนั้นอาจจะวางแผนอะไรไว้มากกว่าที่เห็น

 

 หัวหน้าเดรคโอเกอร์มุสตาฟาและราชันโครงกระดูกบาโคโรฟที่พวกเขาพบที่ที่ราบอินคา…

 

 ซอมบี้ดราก้อน และบุรุษผู้ถือหอกในชุดเกราะสีน้ำเงินที่ปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 ขณะที่บรรยากาศเข้าสู่ความตึงเครียด ปราชญ์ดาบก็พูดแทรกขึ้นมา

 

“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ น่าสนใจไม่เลวเลยทีเดียว”

 

 สีหน้าของอิชย์ดูไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย นั่นทำให้อินกองสงสัย

 

“ปราชญ์ดาบพอจะรู้อะไรหรือครับ?”

 

“เปล่า ก็แค่ที่นี่คือโลกมาร ไอพวกแบบนี้มีอยู่ถมไป องค์ชายองค์หญิงก็แค่ต้องโตมากกว่านี้ วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียว”

 

 ปราชญ์ดาบหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะชูกำปั้นขึ้นมา

 

“จงแข็งแกร่งขึ้น หากเจ้าแข็งแกร่งพอ ก็ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกลัว”

 

 เป็นคำตอบที่สั้น แต่ได้ใจความ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง บุรุษเกราะน้ำเงินที่เป็นปัญหากับพวกอินกองถูกปราชญ์ดาบใช้กำลังเข้าคลี่คลายอย่างง่ายดาย

 

 คารัคจ้องมองปราชญ์ดาบอย่างเลื่อมใส ส่วนกัมมะที่ไม่รู้ได้สติเมื่อไรก็มีสายตาอันเป็นประกาย

 

 มีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“ถึงจะดีใจที่มาช่วยก็เถอะ แต่ว่าปราชญ์ดาบมาทำอะไรที่นี่กันแน่?”

 

 การปรากฏตัวของชายถือหอกไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ปราชญ์ดาบมาที่นี่อย่างแน่นอน เฟลิซีถามถึงสาเหตุที่แท้จริง แม้นางจะพอคาดเดาอยู่ได้บ้างก็ตาม

 

 ปราชญ์ดาบหันมามองทางอินกองก่อนจะตอบออกมา

 

“ข้ามาหาองค์ชายเก้า”

 

 คำตอบเป็นไปอย่างที่เฟลิซีคาดไว้ แต่นางก็ยังรอให้อิชย์พูดต่อให้จบ ซึ่งก็เป็นตามที่นางคาดคิดอีกเช่นกัน

 

“ข้าอยู่ที่เขตศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่รู้ข่าวเรื่องการประชุมสภา ดูเหมือนมิตรจะสนใจตัวองค์ชายเป็นพิเศษ”

 

‘เขตศักดิ์สิทธิ์?’

 

 อินกองอดสงสัยไม่ได้ นั่นเพราะในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า จะมีการกล่าวถึงปราชญ์ดาบว่าตระเวณเร่ร่อนไปทั่วหาตัวได้ยาก

 

 ปราชญ์ดาบยังคงพูดต่อ

 

“อย่างที่หญิงหกรู้ ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เขตศักดิ์สิทธิ์ แต่รอบนี้จะให้ข้ารออยู่เฉยๆก็คงไม่ได้”

 

 เขตศักดิ์สิทธิ์

 

 เป็นสถานที่สำคัญของเผ่าสุรที่แม้กระทั่งแซเฟียร์ก็ไม่รู้ถึงตำแหน่งที่ตั้ง

 

 การจะไปยังสถานที่แห่งนั้นจำต้องได้รับการนำทางจากผู้พิทักษ์อย่างปราชญ์ดาบ

 

 อินกองยังคงจดจ่อกับคำพูดของปราชญ์ดาบ

 

“มิตรไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล ถึงข้าจะยังไม่รู้สาเหตุ แต่มันต้องมีเหตุผลอะไรแฝงอยู่แน่นอน”

 

 แน่นอนว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ว่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือความชอบพอส่วนตัว

 

 มีบางอย่างที่พิเศษในตัวฉัตร

 

“ข้าก็เลยเกิดสนใจขึ้นมา และพอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ข้ายิ่งสนใจขึ้นเป็นพิเศษไปอีก”

 

 ปราชญ์ดาบจ้องมายังอินกอง แม้สีหน้าของเขาจะเหมือนเดิม แต่แววตาได้ต่างออกไป มันราวกับแววตาคู่นั้นพยายามมองผ่านทะลุทะลวงไปถึงยังจิตวิญญาณข้างใน

 

 ก่อนปราชญ์ดาบจะแสยะยิ้มออกมา ทำให้อินกองต้องหลบสายตา

 

 ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับทายาทตนใดมาก่อน นั่นรวมไปถึงแซเฟียร์

 

“องค์ชายเก้าสนใจจะเรียนวิชาจากข้าไหม?”

 

 เรียนวิชาจากปราชญ์ดาบ

 

 ในฐานะตัวแทนของขุนนางทั้งหมดแห่งวังจอมมาร เฟลิซีอ้าปากค้างตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น