ตอนที่ 42 ความจงรักภักดีของตระกูล

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

คำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนทำให้ชาวบ้านที่รายล้อมหอหม่านเจียงอยู่ขอบตาร้อนผ่าวในทันที ต่างรู้สึกซาบซึ้งไปตามๆ กัน

ในความทรงจำของพวกเขา บุตรชายจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อมีอายุครบสิบปีจะต้องตามท่านกั๋วกงไปฝนฝึกในสนามรบจริง

นึกถึงครึ่งปีก่อนตอนที่เจิ้นกั๋วกงเตรียมออกเดินทางไปรบ คุณชายสิบเจ็บแห่งตระกูลไป๋ซึ่งยังสูงไม่เท่าม้าสวมชุดเกราะ…ขี่ม้าด้วยตนเอง รวมถึงบุตรสาวคนโตแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้นี้ด้วย หญิงสาวออกรบตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ต่อมาเมื่ออายุสิบหกหญิงสาวได้รับบาดเจ็บหนัก ชีวิตนี้อาจไม่มีทายาทสืบทอดได้อีก

ยิ่งได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าเห็นชาวบ้านเป็นดั่งเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ได้ยินหญิงสาวกล่าวอย่างถ่อมตนว่าบุรุษตระกูลไป๋กลัวจะตอบแทนภาษีที่พวกเขาจ่ายไปได้อย่างไม่คุ้มค่า! มีจวนเจิ้นกั๋วกงที่ดีเช่นนี้อยู่ มีบุรุษตระกูลไป๋ที่ยอมพลีชีพปกป้องพวกเขา ชาวบ้านจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไรกัน เหตุใดจึงไม่รู้สึกขอบคุณจวนเจิ้นกั๋วกงผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยเหยียบย่ำดูถูกชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขา

น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนหนักแน่นชัดเจน ดังสะท้านไปทั่ว “ลูกอนุที่ยังไม่ได้มีชื่ออยู่ในตระกูล ไม่เคยออกรบปกป้องบ้านเมือง! ไม่เคยเสียสละทำประโยชน์แก่ชาวบ้าน กล้าดีเช่นไรถึงเรียกตัวเองว่าคุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง กล้าดีเช่นไรถึงอวดอ้างบารมีของจวนเจิ้นกั๋วกง…ทำร้ายคนบริสุทธิ์ในแคว้นต้าจิ้นของข้าเช่นนี้!”

คำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนเหมือนเป็นการฉีกหน้า เหยียบย่ำไป๋ชิงเสวียนจนจมดิน

บนถนนห้อมล้อมไปด้วยชาวบ้านมากมาย โรงเหล้าต่างๆ ที่สามารถมองลงมาเห็นวิวจากถนนนี้ก็ล้วนอัดแน่นไปด้วยผู้คน

บรรดาคุณชายเจ้าสำราญซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงต่างอยู่ที่ชั้นสองของหอเยี่ยนเชวี่ย เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนต่างก็นิ่งตะลึง ที่แท้…ตระกูลไป๋สั่งสอนบุตรเช่นนี้เองสินะ! แม้แต่สตรียังเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวรักบ้านเมืองถึงเพียงนี้ แม้จะไม่มีวิทยายุทธ์แต่ยังทะนงในตนเอง คงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตระกูลไป๋ มิน่าเล่าร้อยกว่าปีที่ผ่านมาจวนเจิ้นกั๋วกงจึงไม่เคยมีทายาทที่ไร้ประโยชน์แม้แต่ผู้เดียว

เซียวหรงเหยี่ยนมองดูไป๋ชิงเหยียนซึ่งหยิ่งในศักดิ์ศรี และเด็ดเดี่ยวยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว ชายหนุ่มกำหยกจักจั่นในมือแน่น ในสายตาลึกล้ำมีเพียงร่างผอมเพรียวสูงโปรงผู้นั้นเพียงคนเดียว

“นี่…พี่สาวไป๋ช่างดูอาจหาญยิ่งนัก!” หลู่หยวนเผิงลำคอตีบตัน รู้สึกเลื่อมใสไป๋ชิงเหยียนจากจากใจจริง ไม่คิดดูหมิ่นหญิงสาวเพราะใบหน้าที่งดงามนั่นดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“คุณหนูใหญ่…” เฉินชิ่งเซิงรีบเดินออกมาจากโรงหมอฝั่งตรงข้าม โค้งคำนับหญิงสาวจากนั้นกล่าวขึ้น

“ท่านหมอหลิวจากโรงหมอหุยชุนถางฝั่งตรงข้ามกล่าวว่า เมื่อครู่แม่เฒ่าโดนถีบทำให้สำลักเลือดที่คลั่งอยู่ในปอดออกมาพอดีขอรับ ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย! ส่วนคนบังคับม้าของจวนเราเลือดหยุดไหลแล้วขอรับ เด็กน้อยได้รับบาดเจ็บแค่ภายนอก ทายาไม่กี่วันก็หายขอรับ”

ไป๋ชิงเสวียนเกลียดไป๋ชิงเหยียนเข้ากระดูกดำ ไม่สามารถแสร้งยอมอ่อนข้อให้ได้แล้ว กัดฟันกรอดอย่างโมโห ตวาดใส่องครักษ์ของจวนเจิ้นกั๋วกง “ไม่มีอันใดแล้วก็ปล่อยข้าเสียทีสิ!”

องครักษ์ไม่ได้รับคำสั่งจากไป๋ชิงเหยียนจึงไม่กล้าปล่อยมือ ออกแรงจับไป๋ชิงเสวียนที่พยายามขัดคืนแน่นกว่าเดิม

เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวไม่สำนึกผิดของไป๋ชิงเสวียน ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกหนักอึ้งในใจ ไม่ต้องการชี้นำสั่งสอนเขาอีกต่อไป

“ท่านปู่ตั้งกฎของตระกูลไว้ว่า กฎของกองทัพไป๋ก็คือกฎของตระกูลไป๋! รังแกชาวบ้าน…ลงโทษทางทหารโบยสามสิบที หากทายาทของตระกูลไป๋ทำผิดเอง ลงโทษหนักขึ้น! โบยห้าสิบที!” ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนแจ่มชัดราวท้องฟ้าใส กัดฟันเอ่ยขึ้น “ลุงผิง ไปยืมท่อนไม้จากหอหม่านเจียงแล้วโบยเขาตรงถนนนี่แหล่ะ”

ไป๋ชิงเสวียนเบิกตาโพลงจ้องไปยังไป๋ชิงเหยียน

“ไม่ได้นะ!” สตรีวัยกลางคนรีบคลานไปที่เท้าก็ไป๋ชิงเหยียน ก้มศีรษะแนบพื้น ร้องไห้อ้อนวอน “เสวียนเอ๋อร์ยังเด็กนะเจ้าคะคุณหนูใหญ่! หากโดนโบยห้าสิบทีเสวียนเอ๋อร์ต้องตายแน่เจ้าค่ะ โบยไม่ได้นะเจ้าคะ! โบยไม่ได้!”

“ไป๋ชิงอวี๋ บุตรชายของภรรยาเอก เมื่ออายุสิบสองขี่ม้าย่ำไปบนที่นาของชาวบ้านเพื่อจับโจร โดนโบยหกสิบที! ไป๋จิ่นซิ่ว คุณหนูรองแห่งตระกูลไป๋ เมื่ออายุสิบขวบติดตามกองทัพไปออกรบ ระหว่างเดินทางม้าที่ขี่อยู่เผลอทำร้ายคนตัดฟืนเข้าจึงโดนโบยห้าสิบที! ตอนที่พวกเขาโดนลงโทษ มีผู้ใดอายุมากกว่าลูกชายเจ้าบ้าง”

ไป๋ชิงเหยียนสุดจะทนกับกับการกระทำของสตรีวัยกลางคนผู้นี้ เอ่ยถามเสียงสูง

“คุณหนูใหญ่ ยืมไม้มาแล้วขอรับ!” หลูผิงถือไม้เดินกลับมา

สตรีวัยกลางคนมองเห็นไม้กระบองอันหนา หวาดกลัวจนร้องไห้ออกมารีบคลานกลับไปหาไป๋ชิงเสวียนที่ใบหน้าซีดเผือด กอดบุตรชายแน่น

“เสวียนเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจวนเจิ้นกั๋วกง ฐานะสูงส่งนัก โบยห้าสิบทีนี้…ข้าขอรับแทนเสวียนเอ๋อร์เอง! คุณหนูใหญ่โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ!”

ไม่ได้รีบร้อนหรือโมโห เพียงเอ่ยขึ้นช้าๆ “รัชศกเซวียนเจียปีที่สาม สงครามเมืองผิง กองทัพซีเหลียงเข้าปิดล้อม เมืองทำให้กองทัพขาดเสบียงถึงสามวัน ท่านพ่อของข้า ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกลัวว่ากองทัพของซีเหลียงจะบุกเข้ามาฆ่าฟันชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น ท่านจึงตัดสินใจฆ่าสัตว์ของชาวบ้านโดยพละการเพื่อนำมาประทังชีวิตให้แก่กองทัพจะได้มีแรงปกป้องเมืองผิงเอาไว้ สุดท้ายเมืองผิงได้รับชัยชนะ ท่านพ่อก้มศีรษะแนบพื้นขอขมาชาวบ้าน ยอมโดนโบยสองร้อยทีท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ว่ากฎเกณฑ์กองทัพไม่แบ่งสูงต่ำ! หากจะอ้างถึงความสูงศักดิ์ ท่านพ่อของข้าไม่สูงศักดิ์หรือ! ลูกชายของท่านเป็นเพียงลูกอนุ เหตุใดจึงแตะต้องไม่ได้กัน”

ไป๋ชิงเหยียนกำเตาผิงในมือแน่น โกรธแค้นอย่างที่สุด “ลากนางออกมา โบยให้หนัก! อย่าให้ขาดแม้แต่ทีเดียว!”

ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของสตรีวัยกลางคน ไป๋ชิงเสวียนถูกองครักษ์กดให้นอนลงบนพื้น หลูผิงเป็นผู้ลงมือโบยเอง เสียงไม้กระทบเนื้อประกอบกับเสียงร้องโอดครวญของไป๋ชิงเสวียนดังระงมไปทั่วถนน

เมื่อโบยได้สามสิบที บริเวณก้นของไป๋ชิงเสวียนเต็มไปด้วยเลือดสด ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องโอดครวญ

บรรดาคุณชายเจ้าสำราญที่อยู่บนชั้นสองมองด้วยความหวาดหวั่น ราวกับไม้นั่นตีลงบนร่างของตัวเอง อดสูดปากแทนไม่ได้ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าเยือกเย็นไม่มีแสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

โบยครบห้าสิบที ไป๋ชิงเสวียนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน สตรีวัยกลางคนสะบัดองครักษ์ออกพุ่งเข้าไปกอดไป๋ชิงเสวียนเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน

ความโกรธแค้นในใจของไป๋ชิงเหยียนยังไม่จางหาย แต่นางไม่อาจฆ่าคนบนถนนนี้ได้ ได้แต่เอ่ยขึ้นนิ่งๆ

“ให้คนแบกเขากลับจวน ตามหมอมารักษาให้ดี!”

“ขอรับ!” หลูผิงรับคำ สั่งให้คนไปตามหมอ จากนั้นก็แบกไป๋ชิงเสวียนขึ้นรถม้า

“เฉินชิ่งเซิงเจ้าอยู่ที่นี่ ส่งแม่เฒ่าที่ได้รับบาดเจ็บและเด็กกลับบ้าน ขอขมาและปลอบใจพวกเขาด้วย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว “กลับจวนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว!”

เมื่อเห็นรถม้าของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป๋ผ่านมา ชาวบ้านที่รายล้อมอยู่ต่างหลีกทางให้รถม้าวิ่งผ่านไป

เมื่อขึ้นมาบนรถม้า ไป๋ชิงเหยียนวางแขนข้างหนึ่งพิงหมอน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ลำคอตีบตัน หางตาเหมือนมีน้ำตาคลอ ความอ้างว้างเศร้าโศกถามโถมเข้ามาในใจ

วันนี้นางเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของบรรดาพี่น้องและท่านพ่อ ในสมองปรากฏภาพของท่านปู่ ท่านพ่อและบรรดาท่านลุงที่นั่งห้อมล้อมอยู่หน้ากองไฟพูดคุยกันอย่างมีความสุข

ภาพของบรรดาน้องชายซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ก่อนเดินทางไปออกรบปรากฏขึ้นเป็นฉากๆ ในหัวของไป๋ชิงเหยียน ร่างทั้งร่างของหญิงสาวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่

วันนี้ราบรื่นกว่าที่ไป๋ชิงเหยียนวางแผนไว้มาก ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ต้องเป็นที่กล่าวขานมากกว่าเดิม แต่เมื่อเอ่ยถึงกฎของตระกูล นึกถึงความภักดีต่อฮ่องเต้และสิ่งที่ทำเพื่อชาวบ้าน…ทำเพื่อแคว้นต้าจิ้นของคนในตระกูลไป๋ ทว่า กลับต้องพบกับจุดจบจากความไม่ไว้วางใจของฮ่องเต้เช่นนี้ นางยิ่งโกรธแค้นมากกว่าเดิม ราชวงศ์ต้าจิ้นทำผิดต่อความจงรักภักดีของคนทุกรุ่นในตระกูลไป๋