ตอนที่ 43 ตอบแทน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

เจี่ยงหมัวมัวยืนคอยไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงนานแล้ว องค์หญิงใหญ่เป็นคนอนุญาตให้ทดสอบนิสัยของไป๋ชิงเสวียน อย่างไรเสียหากบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมดเสียชีวิตลงที่หนานเจียงจริงๆ เขาก็เป็นบุตรชายคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ มีองค์หญิงใหญ่อยู่ โอกาสที่เด็กคนนี้จะได้สืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงนั้นมีมากทีเดียว

ใจคนยากจะหยั่งถึง องค์หญิงใหญ่ไม่ได้เลี้ยงเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก หากไม่ทดสอบองค์หญิงใหญ่จะวางใจได้อย่างไร

เมื่อองค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมได้ยินสิ่งที่ไป๋ชิงเสวียนทำ มือที่คลึงลูกประคำอยู่ก็สั่นอย่างรุนแรง หากไม่มีไป๋ชิงเหยียนอยู่ด้วย ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของจวนเจิ้นกั๋วกงจะย่อยยับ การที่กล่าวอ้างว่าฮ่องเต้ยังไม่กล้าทำอันใดเจิ้นกั๋วกง…นี่มันโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร หากเรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณของฮ่องเต้ พระองค์ต้องทรงระแวงสงสัยในตระกูลไป๋เป็นแน่

องค์หญิงใหญ่หลับตาลง “อาเป่าทำได้ดีมาก! เด็กคนนี้อารมณ์รุนแรงหยาบคาย คงต้องเสียแรงเสียเวลาอบรมสั่งสอนสักหน่อย…ให้คนจับตาดูไปก่อน ขังเขาไว้ในจวนอย่าให้ก่อเรื่องอีก!”

ท่านย่าอายุมากแล้ว ต่อให้รู้ว่าไป๋ชิงเสวียนนิสัยชั่วช้า…ก็ยังตัดใจส่งเด็กนั่นกลับจวนนอกไม่ได้

แม้ใจของไป๋ชิงเหยียนจะไม่อยากทำแต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ ไม่อยากกล่าวสิ่งใดให้มากความอีก

เดินออกมาจากเรือนฉางโซ่ว ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นตุ๊กตาหิมะสูงประมาณคนสองคนยืนต่อกัน ที่ปากของตุ๊กตาหิมะมีเมล็ดถั่วลิสงแปะเป็นรอยยิ้มอยู่

หญิงสาวนึกถึงเมล็ดถั่วลิสงที่โจมตีโดนเข่าของไป๋ชิงเสวียนจนเขาต้องทรุดลงคุกเข่าที่หน้าหอหม่านเจียง ไป๋ชิงเหยียนกำเตาอุ่นมือแน่น หลุบตาลง สับสนว้าวุ่นในใจ

เซียวหรงเหยี่ยนฝีมือดีขนาดนี้เลยหรือ ทว่า…เหตุใดเขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางกัน

นางยังจำได้ดี ชาติที่แล้วตอนที่ติดตามเหลียงอ๋องไปออกรบ กองทัพของต้าจิ้นและต้าเยี่ยนเผชิญหน้ากัน นางวางแผนจับเป็นเซียวหรงเหยี่ยน แต่จับได้เพียงเยวี่ยเฉวียนหย่ง แม่ทัพกองหน้าคู่กายของเซียวหรงเหยี่ยนเท่านั้น

เยวี่ยเฉวียนหย่งเคยกล่าวไว้ว่า…หากไม่ใช่เพราะเซียวหรงเหยี่ยนเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัวใจ ด้วยความสามารถและวิทยายุทธ์ของเขาไม่มีทางติดกับแผนการของไป๋ชิงเหยียนจนต้องถอยหนีไปเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องโกหก

เจี่ยงหมัวมัวเห็นไป๋ชิงเหยียนจ้องไปที่ตุ๊กตาหิมะอย่างเหม่อลอย จึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “วันนี้คุณหนูห้ากับคุณหนูหกช่วยกันปั้นให้องค์หญิงใหญ่เจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าน้อยๆ “เจี่ยงหมัวมัวกลับไปดูแลท่านย่าเถิด ไม่ต้องไปส่งข้าแล้ว”

เจี่ยงหมัวมัวแหวกม่านเดินเข้ามาก็เห็นองค์หญิงใหญ่กำลังเหม่อลอย นางค่อยๆ เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ นวดบ่าให้อย่างเบามือ

องค์หญิงใหญ่จ้องไปยังม่านกั้น เอ่ยถามเจี่ยงหมัวมัวเสียงเบาหวิว “หมัวมัว…เจ้าว่าอาเป่าโกรธที่วันนั้นข้าถามนางเรื่องกบฏหรือไม่ ตอนนี้อาเป่าไม่สนิทสนมกับข้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว”

“องค์หญิงใหญ่วางใจเถิดเพคะ! ท่านเลี้ยงคุณหนูใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ท่านยังไม่รับรู้ถึงความกตัญญูของคุณหนูใหญ่อีกหรือเพคะ” เจี่ยงหมัวมัวยิ้มพลางช่วยพูดแทนไป๋ชิงเหยียน “ช่วงนี้จวนของเราเกิดเรื่องขึ้นมากมาย คุณหนูใหญ่เป็นแค่เด็กคนหนึ่งก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา องค์หญิงใหญ่ต้องรักและเป็นห่วงคุณหนูใหญ่ให้มากถึงจะถูกนะเพคะ เหตุใดจะให้เด็กมาเอาใจท่านเล่าเพคะ”

เมื่อได้ยินเจี่ยงหมัวมัวกล่าวเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่จึงหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว ข้าไม่ดีเอง เดี๋ยวเจ้าไปนำหมากล้อมจักรพรรดิหยกชุดนั้นออกมาจากคลังเก็บของ พรุ่งนี้ส่งไปให้อาเป่า นางชอบสะสมของพวกนี้”

“พอรับใช้องค์หญิงใหญ่เสร็จ บ่าวจะไปหาที่คลังเก็บของเพคะ พรุ่งนี้เทียนซิ่วฟางจะนำเครื่องแต่งกายชุดใหม่กับเครื่องประดับที่พวกคุณหนูจะใส่ไปร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ในวังมาส่งให้ที่จวนพอดี เดี๋ยวบ่าวจะนำไปให้คุณหนูใหญ่พร้อมหมากล้อมทีเดียวเลยเพคะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าว

องค์หญิงใหญ่พยักหน้า เริ่มนับลูกประคำในมืออีกครั้ง “เว่ยจงไปดูองครักษ์ลับพวกนั้นมาแล้วเป็นเช่นไรบ้าง”

“เว่ยจงกล่าวว่าองค์รักษ์ลับพวกนั้นแม้จะอยู่ที่จวนขององค์หญิงใหญ่ไม่เคยใช้งานมาก่อน แต่ว่านรั่ว หัวหน้าองครักษ์ลับทำตามกฎระเบียบ ทุกคนรับลูกศิษย์คนละหนึ่งคน หลังจากทดสอบเรื่องคุณธรรมแล้วก็เริ่มถ่ายทอดวิชาที่ควรรู้ให้ทั้งหมดเพคะ ว่านรั่วให้เว่ยจงมารายงานว่า องครักษ์ลับกลุ่มใหม่ใช้ได้งานแล้ว รอรับคำสั่งจากองค์หญิงใหญ่เพคะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าว

องค์หญิงใหญ่หลับตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “หลังจากวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งให้องครักษ์ลับกลับเมืองหลวงมา ส่งสองคนไปคุ้มครองอาเป่า แต่…อย่าให้อาเป่ารู้เรื่องนี้”

เจี่ยงหมัวมัวนิ่งอึ้งรู้สึกแปลกใจแต่ไม่ได้เอ่ยถามอันใด พยักหน้ารับคำสั่ง

ให้องครักษ์ลับลอบคุ้มครองไป๋ชิงเหยียน เป็นการคุ้มครองและก็เป็นการจับตาดู องค์หญิงใหญ่ยังกลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะคิดกบฏ

องค์หญิงใหญ่น้ำตาคลอเล็กน้อย นางหวนนึกถึงตอนที่เสด็จพ่อยังอยู่ ท่านทรงกำชับให้นางคอยจับตาดูเจิ้นกั๋วกงแทนราชวงศ์ต้าจิ้น เมื่อนึกว่าหลานสาวที่นางเลี้ยงมาเองกับมือตั้งแต่เล็กจนโตคิดจะกบฏก็รู้สึกทรมานเหมือนโดนไฟลวกไปทั้งกาย

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจขององค์หญิงใหญ่แท้จริงนั้นขมขื่นเพียงใด ด้านหนึ่งก็ต้องปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลไป๋ไว้ด้วยชีวิต ส่วนอีกด้านก็ต้องปกป้องราชวงศ์หลินจนสุดกำลัง

หลายวันมานี้องค์หญิงใหญ่เอาแต่คิดไตร่ตรองว่าระหว่างเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกับตระกูลหลินสิ่งใดสำคัญกว่ากัน แต่จนถึงบัดนี้นางก็ยังหาคำตอบไม่ได้

ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนฉางโซ่ว ชุนเถาช่วยหญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดฝึก

วิทยายุทธ์ ลำแขนผูกกระสอบทรายถ่วงเอาไว้

ขณะที่ฝึก หญิงสาวนึกย้อนทบทวนชีวิตของเซียวหรงเหยี่ยนในชาติที่แล้วอย่างละเอียด

เหมือนจะเป็นงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าที่ฮ่องเต้จัดขึ้นในวังหลวงในปีนี้ซึ่งบรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนางใหญ่และครอบครัวต่างมาร่วมงาน เซียวหรงเหยี่ยนได้รับเชิญมาร่วมงานในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของฉีอ๋อง แต่ระหว่างที่เขาลอบพบกับสาวใช้ของชายาเอกของฉีอ๋องในงานเลี้ยงกลับโดนคนจับได้เสียก่อน สาวใช้ข้างกายชายาเอกของฉีอ๋องยอมรับทันทีว่าตนเป็นสายลับของต้าเว่ย ส่วนเซียวหรงเหยี่ยนก็โดนจับเข้าคุกเพื่อรอสอบสวน

ชาติที่แล้ว ตระกูลไป๋ตกที่นั่งลำบาก ไป๋ชิงเหยียนไม่รู้ว่าเซียวหรงเหยี่ยนออกจากคุกเมื่อใด ไม่รู้ว่าเพราะถูกจับขังคุกในครั้งนั้นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวใจ หรือเป็นเพราะการหนีตายในครั้งต่อๆ มาที่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจนไร้ซึ่งวิทยายุทธ์กลายเป็นคนไร้ค่าเช่นเดียวกับนางกันแน่

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ร่างกายร้อนอบอ้าวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น บางทีอาจเป็นเพราะชาติที่แล้วทั้งนางและเขาต่างสูญเสียวิทยายุทธ์ไปทั้งคู่ นางจึงรู้สึกเห็นใจเซียวหรงเหยี่ยน

ยิ่งเมื่อนึกถึงชาติที่แล้วหลังจากนางรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเหลียงอ๋อง เซียวหรงเหยี่ยนก็เคยช่วยเหลือนางหลายครั้ง นางจึงอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้

สาวใช้เดินออกมาจากโรงครัวแบกถังน้ำร้อนที่ต้มเดือดเดินเข้ามา จากนั้นเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วโดยมีชุนเหยียนนำทาง เทน้ำร้อนลงไปในถังอาบน้ำ

“คุณหนูใหญ่ ได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ!” ชุนเถาก้าวเข้าไปช่วยพยุงไป๋ชิงเหยียน “เตรียมน้ำเสร็จแล้ว คุณหนูไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนอาศัยแรงช่วยของชุนเถาลุกขึ้นยืน ขาไม่ได้อ่อนแรงปวกเปียกดังเมื่อตอนเริ่มฝึกใหม่ๆ อีกแล้ว

หลังอาบน้ำเสร็จ ไป๋ชิงเหยียนคลี่กระดาษออก จุ่มหมึก ถือพู่กัน…ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางพู่กันลงตามเดิม

สิ่งที่ไป๋ชิงเหยียนใช้ล้วนเป็นกระดาษพระราชทานชั้นเลิศที่องค์หญิงใหญ่ให้คนนำมามอบให้ หมึกก็เป็นหมึกพระราชทาน อาจทำให้เซียวหรงเหยี่ยนสืบรู้ที่มาของข่าวได้ง่ายเกินไป

ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ชุนเถาไปหยิบกระดาษและหมึกธรรมดาที่ห้องทำบัญชีใช้มา เปลี่ยนเป็นจับพู่กันมือซ้าย ลงมือเขียน…

เขียนเสร็จ ไป๋ชิงเหยียนรอให้น้ำหมึกแห้ง พับเรียบร้อยจากนั้นส่งให้ชุนเถา “เก็บให้ดี พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงมอบมันให้ญาติผู้พี่ของเจ้า ให้เขาหาวิธีส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือของพ่อบ้านจวนเซียวที่เฉิงหนานก่อนถึงงานเลี้ยงสิ้นปีของวังหลวงในวันมะรืน และอย่าให้ผู้ใดสืบรู้ฐานะของเขา”

เซียวหรงเหยี่ยนเคยช่วยเหลือนางหลายครั้ง นางยังไม่เคยได้ตอบแทนเลยสักครั้ง บัดนี้ช่วยได้ก็ช่วยเขาเสียหน่อย