ตอนที่ 44 เชื่อฟัง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ชุนเถาไม่ได้ถามเหตุผล รับกระดาษมาพับเป็นแผ่นเล็กแล้วสอดเก็บไว้ในแขนเสื้อ พยักหน้ารับคำ “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ”

“คุณหนูใหญ่” ชุนเหยียนแหวกม่านเดินเข้ามา ย่อกายพล่างกล่าว “องครักษ์หลูผิงมารายงานว่าจัดให้คุณชายที่รับมาจากจวนนอกอยู่ที่เรือนชิงหมิงแล้วเจ้าค่ะ เขาคงลุกจากเตียงไม่ได้อีกเป็นครึ่งเดือน”

แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เบาไปสำหรับเด็กนั่นจริงๆ

“อืม” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว บอกให้หลูผิงสั่งคนเฝ้าเรือนชิงหมิงไว้ให้ดี ห้ามผู้ใดเข้าออกเรือนเด็ดขาด ป้องกันไว้เผื่อเสี่ยวซื่อ[1]ไม่รู้ความบุกเข้าไปใช้แส้ฟาดสองแม่ลูกนั่น วันนี้ลำบากเขาแล้ว ให้หลูผิงรีบกลับไปพักผ่อนเถิด”

หลูผิงเดินออกมาจากเรือนใน ถือยาและเหล้าสองขวดไปหาฉินซ่างจื้อ ขณะที่ช่วยเปลี่ยนยาให้ฉินซ่างจื่อเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าหอหม่านเจียงให้ฉินซ่างจื้อฟัง แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

“เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าจวนจงหย่งโหวก่อนหน้านี้ เจ้าก็ส่ายหน้ากล่าวว่าแม้คุณหนูใหญ่ของข้าจะปกป้องชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงไว้ได้ แต่ว่าฮ่องเต้คงไม่พอพระทัย! แล้ววันนี้ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าหอหม่านเจี่ยงอีก…ข้าเป็นห่วงจวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ” หลูผิงถอยหายใจแล้วจิบเหล้าอึกหนึ่ง “เจ้าว่ามีวิธีใดที่พอจะโน้มน้าวใจคุณหนูใหญ่ได้บ้างหรือไม่”

จู่ๆ มือที่ถือขวดเหล้าอยู่ของฉินซ่างจื้อก็กำแน่นขึ้น เงยหน้าขึ้น สมองแล่นราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แววตาเป็นประกาย ใช้มือตบไปบนโต๊ะ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างสบายใจ “คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋!”

หลูผิงมองไปยังฉินซ่างจื้อ “เจ้าหัวเราะอันใด!”

“คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเจ้า ช่างมองการไกลยิ่งนัก!” ฉินซ่างจื้อแหงนหน้ากรอกเหล้าเข้าปาก ยกนิ้วโป้งขึ้น ดวงตาเป็นประกายจ้า กล่าวขึ้นรัวๆ อย่างกระตือรือร้น “ข้ามองเห็นถึงแค่ก้าวที่สิบ แต่นางกลับมองถึงก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว! แต่ละก้าวของคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าถูกวางแผนไว้อย่างดิบดีแล้ว! นางต้องการทำให้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นที่เลื่อมใสในหมู่ของชาวบ้าน นางต้องการสร้างอำนาจให้ตระกูลไป๋ ทำให้ตระกูลไป๋ได้ใจของชาวบ้านนี่เอง!”

เมื่อเห็นสายตางวยงงของหลูผิง ฉินซ่างจื้อถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นักรบที่ดีแสวงหาอำนาจด้วยตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น เลือกคนจากสถานการณ์เพื่อทำหน้าที่! คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าใช้กลยุทธ์ทางทหาร! สิ่งที่นางต้องการ…คือทำให้ผู้มีอำนาจในตอนนี้อย่างฮ่องเต้จำนนต่อสถานการณ์ จำนนต่อราษฎรจนไม่กล้าแตะต้องตระกูลไป๋แม้แต่น้อย! ดูเผินๆ ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดกุมอำนาจไว้ในมือ แต่แท้จริงพวกเขาแล้วกลัวใจ กลัวความโกรธ กลัวคำติฉินนินทาของราษฎร กลัวพู่กันที่จะบันทึกเรื่องราวของเขาในอีกร้อยปีต่อมา!”

ฉินซ่างจื้อดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่จากนั้นวางลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาเลือดร้อนไปทั้งร่าง แต่ก็อดเศร้าใจกับความสามารถของตนเองที่ไม่ถูกนำออกมาใช้ไม่ได้ “เป็นเด็กสาวที่เก่งกาจมาก! น่าเสียดาย…หากคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าเป็นบุรุษ ความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋คงมีต่อไปอย่างน้อยๆ อีกสามรุ่นแน่นอน”

หากไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่สตรี ในราชสำนักอันสูงส่งนั้นต้องมีที่สำหรับนางเป็นแน่!

หากไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่สตรี เพียงแค่ความฉลาดของนาง ฉินซ่างจื้อก็พร้อมก้มหัวยอมเป็นที่ปรึกษาให้แก่ตระกูลไป๋ด้วยความเต็มใจ ทว่า น่าเสียดาย…นางเป็นเพียงสตรี ต่อให้มีความสามารถเก่งกาจสักเพียงใด ก็ต้องติดอยู่ในเรือนหลังอยู่ดี

“น่าเสียดาย!” ฉินซ่างจื้อปวดใจ แหงนหน้ากรอกเหล้าเข้าปากจนหมด การถอนหายใจในครั้งนี้ไม่รู้เพราะตัวเขาเองหรือเพื่อไป๋ชิงเหยียนกันแน่

เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋ชิงเหยียนฝึกซ้อมช่วงเช้าเสร็จขณะกำลังรับประทานอาหารอยู่ ชุนเหยียนก็เดินยิ้มแย้มเข้ามา ย่อกายทำความเคารพพลางกล่าว “เป็นดังที่คุณหนูใหญ่คิดไว้จริงๆ เจ้าค่ะ พอคุณหนูสี่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่ถนนเมื่อวานก็ถือแส้บุกไปที่เรือนชิงหมิงแต่เช้าตรู่ ฟาดแส้ไปมาอย่างแรงจนต้นไม้ต้นหญ้าที่เรือนใหม่นั่นพังพินาศไปหมดเจ้าค่ะ คุณชายที่นอนอยู่บนเตียงกับอี๋เหนียง[2]กอดกันกลมด้วยความตกใจ หลบอยู่แต่ด้านในห้องมิกล้าออกไปเจ้าค่ะ! ข้าว่าคุณหนูใหญ่ไม่น่าให้องครักษ์ห้ามไว้เลย…น่าจะให้คุณหนูสี่ฟาดคนพวกนั้นให้ก้นลายเลยเจ้าค่ะ พวกนั้นจะได้รู้ว่ามิควรมาล่วงเกินคุณหนูของบ่าว เป็นแค่ตัวอะไรก็ไม่รู้!”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าทานโจ๊กเงียบๆ ชุนเถาขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “ต่อให้คนพวกนั้นจะแย่ แต่อย่างไรก็คือลูกอนุและอี๋เหนียงของท่านชายสอง พวกเราเป็นบ่าวมิควรจะกล่าวเช่นนี้! ต่อไปเจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นอาจทำให้คุณหนูใหญ่เดือนร้อน”

ชุนเหยียนยืนเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ข้างๆ

ไป๋ชิงเหยียนทานอาหารเช้าเสร็จ เจี่ยงหมัวมัวก็พาคนของเทียนซิ่วฟางเข้ามาพอดี

“นี่คือหมากล้อมจักรพรรดิหยกที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้องค์หญิงใหญ่ตอนที่ท่านยังอายุพอๆ กับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัววางกล่องหมากล้อมไว้ด้านข้าง “องค์หญิงใหญ่เอ็นดูและเป็นห่วงคุณหนูใหญ่เลยให้บ่าวนำหมากล้อมนี้มามอบให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

“ขอบพระคุณท่านย่ามาก!” นางลูบไปที่เนื้อหยกชั้นดีของตัวหมาก รู้ว่าเจี่ยงหมัวมัวกำลังปลอบนางแทนท่านย่า “เจี่ยงหมัวมัว ข้ารู้ว่าท่านย่ากลัวว่าข้าจะคิดมาก ข้ามิเป็นไรหรอก!”

ขอบตาของเจี่ยงหมัวมัวร้อนผ่าว “บ่าวรู้ว่าคุณหนูมิมีทางเป็นเช่นนั้น! คนหนูเป็นคนที่องค์หญิงใหญ่และนายท่านเลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็ก…นิสัยเป็นเช่นไรองค์หญิงใหญ่กับบ่าวรู้ดีเจ้าค่ะ!”

เมื่อส่งเจี่ยงหมัวมัวกลับไป ชุนเถาลูบไปที่ลายปักเย็บบนเสื้อผ้าที่หรูหราสวยงาม เอ่ยออกมาอย่างตะลึง “คุณหนูใหญ่ เสื้อผ้าที่เทียนซิ่วฟางเย็บออกมาไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะว่างดงามเพียงใด! คุณหนูจะใส่ชุดใดร่วมงานเลี้ยงในวังเจ้าคะ”

หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าห้าชุดที่เทียนซิ่วฟางส่งมา ชี้ไปที่ชุดสีม่วง คีบหมากขึ้นมาตัวหนึ่ง เอ่ยถาม “เสิ่นชิงจู๋…จากไปกี่วันแล้ว”

“เรียนคุณหนู แม่นางเสิ่นไปได้เก้าวันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเถาเอ่ยตอบ

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ตอนนี้เสิ่นชิงจู๋น่าจะถึงเมืองจั้งแล้ว

ชาติที่แล้วข่าวเรื่องการเสียชีวิตที่เมืองหนานเจียงของบุรุษตระกูลไป๋ถูกส่งกลับมาเมืองหลวงในวันสิ้นปี นางกลับมาเกิดใหม่ในวันที่สิบสี่ เดือนสิบสอง เมื่อคำนวณดูแล้วนางรู้ดีว่าคงช่วยบุรุษตระกูลไป๋ไม่ทัน แต่นางก็เลือกที่จะส่งเสิ่นชิงจู๋ไป

หวังแค่ว่าสวรรค์จะเห็นใจตระกูลไป๋ ขอให้เสิ่นชิงจู๋ไปทัน…ช่วยบุรุษตระกูลไป๋ไว้ได้แค่คนเดียวก็ยังดี

หญิงสาวหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ควบคุมลมหายใจที่เริ่มร้อนผ่าวเอาไว้ น้ำตาคลอวางหมากล้อมลงในกล่องตามเดิม ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งเสียใจ อีกไม่นานก็จะสิ้นปีแล้ว นางมีเวลาจัดการเรื่องต่างๆ อีกไม่มาก

ชุนเถาสั่งให้สาวใช้ที่ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของไป๋ชิงเหยียนเก็บเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แหวกม่านเดินออกมาด้านนอกเห็นชุนเหยียนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ จึงถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “เป็นอันใด เบ้ปากตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้”

ชุนเหยียนขมวดคิ้วเอ่ยกับชุนเถาด้วยเสียงแผ่วเบา “เมื่อครู่ข้าเห็นท่านเขยรองฉินโค้งกายคำนับมาทางจวนของเราแล้วก็เดินจากไป น่าประหลาดเสียจริง!”

ไป๋ชิงเหยียนผูกกระสอบทรายไว้ที่แขน เริ่มฝนหมึก รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ ฉินหล่างไม่ทำให้นางผิดหวัง เป็นคนฉลาดคนหนึ่งเลยทีเดียว…

เมื่อวานฉินหล่างย้ายออกจากจวนจงหย่งโหวเข้าไปอยู่ในจวนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แล้ว เดิมทีฉินหล่างเป็นคนมีศีลธรรมและฉลาดเฉลียวอยู่แล้ว รอให้ไป๋จิ่นซิ่วหายดีแล้วย้ายเข้าไปอยู่ในจวนใหม่ของพวกเขา ภายภาคหน้าต้องอยู่อย่างสงบสุขแน่นอน

“เจ้าวุ่นวายมากเกินไปแล้ว…” ชุนเถาจัดแขนเสื้อของตนเองเล็กน้อย เอ่ยอย่างจนใจ “ท่านเขยรองไม่ได้มารบกวนคุณหนูใหญ่เสียหน่อย”

ชุนเหยียนกำลังจะถียงก็เห็นหญิงชราที่เฝ้าประตูจวนมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูเรือน สีหน้าส่อแววดีใจอย่างคุมไม่อยู่ ย่อกายให้ชุนเถาอย่างเชื่อฟัง “รู้แล้วเจ้าค่ะพี่ชุนเถา! ข้าเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานพี่ทิงจู๋ให้ข้าไปเอาแบบปักลายใหม่ที่นาง ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!”

[1]เสี่ยวซื่อ สรรพนามเรียกพี่น้องลำดับที่สี่ ใช้เรียกแทนตัวเองก็ได้

[2]อี๋เหนียง คำเรียกสตรีซึ่งเป็นอนุหรือภรรยาน้อย