ตอนที่ 64 ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 64 ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

เยียนอวิ๋นเกอถอยหลังไปสองก้าวเพื่อมองคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

เพราะคนตรงหน้ามีรูปร่างสูงโปร่ง หากอยู่ใกล้ชิดเกินไป นางต้องพยายามเงยหน้าเพื่อมองอีกฝ่าย นางเหนื่อย!

นางพึมพำในใจ เหตุใดคนผู้นี้จึงอยู่ตรงนี้

เหตุใดเขาจึงออกมาจากคุกหลวงได้

ไม่กลัวการไล่ล่าหรือ

ไม่กลัวตายหรือ

เซียวอี้มองเยียนอวิ๋นเกอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และสายตาที่เงียบสงบ แต่ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างไร้เหตุผล

คนผู้นี้ลักษณะท่าทางดุร้าย คนทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้

มีเพียงเยียนอวิ๋นเกอที่สามารถมองข้ามความดุร้ายของเขา อีกทั้งยังมองเขาด้วยความสนใจ

เขานิ่งเงียบ

โทษตนเองที่ไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามก่อนเดินทางออกมา ทำให้บังเอิญพบกับนาง

เยียนอวิ๋นเกอลูบคาง นานๆ เจอที ควรทักทายอีกฝ่ายเสียหน่อย

หากแสร้งทำเป็นไม่รู้จักจะไม่มีมารยาทอย่างมาก

อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจ

แต่…

นางโบกมือให้อาเป่ยถอยลงไป

อาเป่ยทำหน้ากังวล “คุณหนูเจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอถลึงตา อาเป่ยหมดหนทางจึงทำได้เพียงออกห่าง

นางหยิบกระดาษและดินสออกมา จรดปลายดินสอ “คดียังไม่จบสิ้น เจ้าก็วิ่งออกมาจากคุก ไม่กลัวตระกูลเถาส่งคนมาไล่ฆ่าหรือ”

มุมปากของเซียวอี้กระตุก นางไม่ได้ถามว่าเหตุใดเขาจึงปรากฏตัวที่นี่ หากแต่คาดหวังให้เขาถูกตระกูลเถาไล่ฆ่า

นางเป็นคนแบบใดกัน

หรือต้องถามว่านางยังเป็นคนอยู่หรือไม่

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูด เยียนอวิ๋นเกอก็ยิ้มอย่างเข้าใจ นางจึหยอกล้อขึ้น “เจ้ากำลังถูกไล่ฆ่าจริงหรือ”

เซียวอี้กล่าวขึ้น “หากเจ้าไม่อยากเดือดร้อน เจ้าก็ถือว่าไม่เคยเห็นข้าในวันนี้”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วพลันยิ้ม

เซียวอี้ส่งเสียงไม่พอใจ

เยียนอวิ๋นเกอหลีกทางบริเวณหน้าประตูให้

เซียวอี้ฉวยโอกาสนี้จากไป เขาไม่พูดหรืออยู่ต่อแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าเยียนอวิ๋นเกอไม่ได้รั้งเขาเอาไว้

บังเอิญพบเขาที่นี่ อีกทั้งเขายังทำท่าทีลึกลับ นางยังมีเรื่องใดไม่เข้าใจอีก

พวกเขาต่างเป็นจิ้งจอกพันปี ไม่จำเป็นต้องพูดให้กระจ่าง

เพียงแค่สายตาก็เข้าใจแล้ว

เซียวอี้หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน เขาจ้องมองเยียนอวิ๋นเกอด้วยสายตาแหลมคม

เยียนอวิ๋นเกอรีบทำท่าปิดปากในทันที นางรับรองว่าจะไม่พูดเรื่องในวันนี้ออกไปแม้แต่น้อย

ปากของนางปิดสนิทอย่างมาก

เซียวอี้หัวเราะขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงพูดไม่ได้”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วแต่ไม่ตอบ

นางไม่จำเป็นต้องถกเถียงกับคนนอกเกี่ยวกับสาเหตุที่นางพูดไม่ได้

เซียวอี้พูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีของนาง “ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้แล้วว่าตนเองถูกวางยาพิษจนทำให้ไม่อาจพูดได้”

คราวนี้สายตาของเยียนอวิ๋นเกอเปลี่ยนไป

นางจรดดินสอเขียน “เจ้าเป็นคนวางยาหรือ”

เพียงแค่มองก็รู้ว่าตนเองถูกวางยาพิษทั้งที่ไม่ใช่ไต้ฟู มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะเป็นผู้วางยา

เขาเป็นผู้ปรุงพิษหรือไม่

แต่อายุของเขาไม่อาจเป็นไปไม่ได้

หางตาของเซียวอี้กระตุก “ข้าไม่ใช่คนวางยา ข้าก็ไม่ได้ว่างเพียงนั้น ข้าเคยพบเห็นคนที่มีอาการคล้ายกับเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

เขาต้องการพูดเรื่องใด

เซียวอี้ถามขึ้นทันที “เจ้าอยากพูดได้หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มแต่ไม่ตอบ

เซียวอี้พูดขึ้นทันทีโดยไม่รอให้นางตอบ

“หากเจ้าอยากพูดได้ ข้าสามารถช่วยเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอตรงไปตรงมา จรดดินสอถาม “ข้อแลกเปลี่ยนคือสิ่งใด”

เซียวอี้ยิ้ม “ควบคุมปากของเจ้าเอาไว้ อย่าพูดเรื่องใดใดออกมา”

“ง่ายเพียงนี้เชียวหรือ” เยียนอวิ๋นเกอควงดินสอเล่น ดินสอเล่มนั้นเหมือนมีชีวิตเมื่ออยู่บนมือของนาง

เซียวอี้เหม่อลลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะตั้งสติกลับมา “ใช่ ข้อแลกเปลี่ยนง่ายเช่นนี้”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลันจรดดินสอ “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”

มุมปากของเซียวอี้กระตุก ไม่ง่ายนักที่เขาจะใจดี แต่กลับต้องถูกสงสัยเจตนาเช่นนี้

เขาส่งเสียงไม่พอใจ “แล้วแต่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้ารับปากจะช่วยเจ้าย่อมจะช่วย ขอตัว!”

เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็หายลับเข้าไปท่ามกลางป่าไม้

เยียนอวิ๋นเกอส่งเขาจากไปด้วยสายตา ฮือๆ นางยังมีอีกประโยคที่ไม่ทันได้เขียน

นางยังไม่ยอมรับการช่วยเหลือของเขา

เหตุใดเขาจึงรีบร้อน

อาเป่ยวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณหนู ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหัว นางไม่เป็นอันใด อาเป่ยกังวลเกินไปเท่านั้น

อาเป่ยถามอีกครั้ง “คุณหนู พวกเรายังขึ้นไปหรือไม่เจ้าคะ”

เซียวอี้เพิ่งลงมาจากด้านบน อาเป่ยมีความรู้สึกว่าเจดีย์นี้เหมือนสัตว์ประหลาดกินคน นางอยากจะลากคุณหนูออกห่างโดยเร็ว

เพราะว่า…

สถานที่แห่งนี้อัปมงคล!

คนที่ขังอยู่ควรอยู่ในคุกหลวงกลับออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี

อีกทั้งยังเป็นลางร้ายอันใหญ่หลวง!

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ‘นานทีจะได้มา อย่างไรก็ต้องขึ้นไปดู’

“กรี๊ด” อาเป่ยส่งเสียงตกใจ “คุณหนูจะขึ้นไปจริงหรือเจ้าคะ ไม่กลัว…”

หากมีคนเดินลงมาจากเจดีย์อีกจะทำอย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา ‘เจ้าจะบอกว่านายน้อยเซียวแอบพบกับผู้ใดอยู่ด้านบน กลัวพวกเราขึ้นไปจะพบเข้าใช่หรือไม่ เจ้าวางใจเถิด ด้านบนไม่มีคนหรอก’

นางก้าวข้ามประตู เดินขึ้นไปตามทางบันไดไม้จนกระทั่งถึงยอดเจดีย์

ไม่พบคนแม้แต่คนเดียว

ในที่สุดอาเป่ยก็วางใจลง

ขึ้นที่สูงมองได้ไกล เยียนอวิ๋นเกออารมณ์ดีอย่างมากที่ได้มองเมืองหลวงจากที่สูง

วันนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว

เมื่อกลับจากศาลหลักเมือง เยียนอวิ๋นเกอก็ไม่ออกจากจวนอีก นางยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพี่สอง

สิ้นเดือนสี่เป็นฤกษ์งามยามดี เหมาะสมต่อการสมรส

เหยียนอวิ๋นฉีออกเรือน อภิเษกกับองค์ชายสอง

ชุดเจ้าสาวสีแดง การแต่งหน้าที่งดงาม เครื่องประดับเต็มหัว

เยียนอวิ๋นเกอกอดเหยียนอวิ๋นฉีเอาไว้อย่างอาลัยอาวรณ์

ปีก่อนส่งพี่ใหญ่จากไป

ปีนี้ต้องส่งพี่สองอีก

ต่อจากนี้ก็เหลือนางเพียงคนเดียว

เหยียนอวิ๋นฉีตบไหล่ของนาง “ใกล้จะสูงเท่าข้าแล้ว ยังทำนิสัยเด็กอีก”

เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงไม่พอใจ สองมือทำท่า ‘ข้าสูงกว่าพี่สองเล็กน้อย’

“ใช่ๆ เจ้าสูงกว่าข้าแล้ว ปีนี้เจ้ากินสิ่งใดเข้าไป เหตุใดจึงสูงเร็วเพียงนี้ นางปักในห้องปักผ้าต่างบอกว่าเย็บชุดให้เจ้ามักต้องเหลือผ้าส่วนหนึ่งเอาไว้ มิฉะนั้นผ่านไปไม่กี่เดือนก็สั้นจนสวมใส่ไม่พอดีตัว”

เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้าหัวเราะขึ้นมา

‘วันนี่้พี่สองงดงามมาก!’

เหยียนอวิ๋นฉีพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องมายอข้า ข้าบอกเจ้า สตรีอย่าได้ตัวสูงเกินไป หากสูงเท่าบุรุษจะหาคู่ครองได้ยาก”

เยียนอวิ๋นเกอย่นจมูก นางไม่เคยคิดออกเรือน

บนแผ่นดินนี้จะมีกี่คนที่กล้าสมรสกับนาง

เหยียนอวิ๋นฉีบีบจมูกของนาง “อย่าคิดเหลวไหล อีกสองวันข้าจะกลับมาเยือน พวกเราจะได้พบกันอีก ข้าไม่อยู่จวนแล้ว ต่อจากนี้มีแต่เจ้าที่จะกตัญญูต่อท่านแม่ได้ หากมีคนมาหาเรื่องเจ้าด้านนอก เจ้าแจ้งชื่อข้า ไม่ลงมือได้ก็อย่าลงมือ ชื่อเสียงของสตรีมีความสำคัญมาก”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างเคยชิน

นางเชื่อฟังอย่างมาก

เหยียนอวิ๋นฉีกอดนางเอาไว้ ดวงตาเปียกชื้นด้วยความอาลัย

“ไม่อยากออกเรือนเลยเสียจริง”

เยียนอวิ๋นเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับให้นางอย่างระมัดระวัง ‘หากองค์ชายสองทรงรังแกท่าน ท่านบอกข้า ข้าจะจัดการเขาให้’

เหยียนอวิ๋นฉีหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “เขาเป็นแค่คนป่วยกระเสาะกระแสะ จะทนต่อหมัดของเจ้าได้อย่างไร”

สตรีที่ทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาวเร่งเร้าว่าใกล้ถึงฤกษ์มงคล ขบวนของเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูแล้ว

เหยียนอวิ๋นฉีควบคุมอารมณ์ นางเดินทางไปยังโถงหลักกราบลาเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา

เซียวฮูหยินกำชับอย่างอาลัย

“ท่านแม่รักษาร่างกาย ลูกจะกลับมาเยี่ยมท่านแม่เป็นประจำ!”

“อย่าได้คลาดฤกษ์มงคง ออกไปเถิด!”

เซียวฮูหยินเด็ดเดี่ยวอย่างมาก

สตรีย่อมมีวันที่ต้องออกเรือน

เยียนอวิ๋นฉวนทำหน้าที่ส่งน้องสาวออกเรือนในฐานะพี่ชาย

วันนี้เป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงตัว เขาเริ่มยุ่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนกระทั่งเวลานี้ น้ำยังไม่ทันได้ดื่มแม้แต่คำเดียว

ถือว่าทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถอย่างมาก

เซียวฮูหยินหาข้อผิดพลาดของเขาไม่ได้ เพียงแต่กำชับให้เขารับรองให้ดีเมื่อถึงจวนองค์ชายสอง

เยียนอวิ๋นฉวนพยักหน้าตอบรับ “ฮูหยินวางใจ มีข้าดูแลน้องสอง ทุกเรื่องต้องราบรื่น”

ผ้าแดงปิดหน้า เยียนอวิ๋นฉวนแบกเหยียนอวิ๋นฉีออกจากจวนไป

เยียนอวิ๋นเกอส่งไปถึงด้านหน้าเกี้ยวเจ้าสาว มองดูพี่สองนั่งขึ้นไป ก่อนจะถูกยกออกจากจวน

เศร้าโศกอย่างมาก!

นางวางแผนที่จะก่อเรื่องเรื่องเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน เพื่อไม่ให้ทุกคนจับจ้องงานอภิเษกขององค์ชายสองกับพี่สอง

เวลาเข้าสู่ฤดูร้อน ฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว

ตาเฒ่าเซิ่นแบกหาบ เดินเข้าตลาด

บนลานกว้างล้อมรอบไปด้วยผู้คน

เกิดเรื่องใดขึ้น

วันนี้ทางราชการจะประหารคนหรือ

เมื่อวานไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน!

ปกติแล้ว หากทางราชการจะประหารนักโทษในตลาดย่อมต้องมีการแจ้งล่วงหน้าเพื่อเตรียมการควบคุมสถานการณ์

ตาเฒ่าเซิ่นมองไปรอบด้าน เขาไม่เห็นนักการแม้แต่คนเดียว

ไม่ใช่การประหารนักโทษอย่างแน่นอน

แต่ผู้คนมุงดูมีจำนวนมากเกินไป ตาเฒ่าเซิ่นจึงเบียดเข้าไปไม่ได้

เขาถามคนด้านข้าง “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”

“เจ้าดูเอง!”

คนด้านข้างชี้ไปที่เสาด้านหน้า

ตาเฒ่าเซิ่นมองตามทิศทางที่นิ้วชี้ไป โอย ตายแล้ว

คนที่เปลือยเปล่าถูกแขวนไว้บนเสา ถึงแม้จะถูกปิดปากเอาไว้ แต่เขาก็พยายามร้องและดิ้นรน

“บนตัวยังเขียนหนังสือด้วยหรือ น้องชาย คนผู้นั้นเป็นผู้ใด หนังสือนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือ”

“เขียนว่าค้าประเวณีแต่ไม่จ่ายเงิน!”

“อะไรนะ”

“ค้าประเวณีแต่ไม่จ่ายเงิน”

จิ๊ๆ…

ตาเฒ่าเซิ่นปลงในทันที

จิตใจ“ผู้คนในสมัยนี้ไม่อาจเทียบคนโบราณได้”

“ดูจากเสื้อผ้าที่ห้อยบนตัวเขา มันเป็นผ้าแพรไหมชั้นดี เขาย่อมต้องเป็นผู้มั่งคั่ง ไม่คิดว่าสมัยนี้ผู้มั่งคั่งก็ไม่จ่ายเงิน!”

“เกรงว่าเขาจะแสร้งเป็นผู้ร่ำรวย ไม่มีเงินยังกล้าเข้าไปหานางโลม สมควรถูกแขวนไว้ตรงนี้แล้ว”

“อ้า เขาคือนายน้อยหลิงฉางเฟิงแห่งตระกูลหลิงไม่ใช่หรือ”

ในที่สุดก็มีคนจำคนที่ถูกแขวนไว้บนเสาได้

“ผู้ใดหรือ”

“หลิงฉางเฟิง น้องชายของนายน้อยใหญ่ หลิงฉางจื้อ”

เมื่อพูดถึงหลิงฉางจื้อ ทุกคนก็ต่างกระจ่าง

ระยะนี้ หลิงฉางจื้อสร้างชื่อเสียงอันดีในเมืองหลวง แม้แต่สามัญชนทั่วไปยังเคยได้ยินชื่อของเขา

“น้องชายของหลิงฉางจื้อไม่ยอมจ่ายเงินหรือ สมัยนี้มีเรื่องประหลาดมากมาย”

“จิ๊ๆ น้องชายของนายน้อยใหญ่หลิงถูกแขวนไว้ตรงนี้ด้วยร่างเปลือยเปล่า ไม่รู้นายน้อยใหญ่หลิงจะโมโหจนเป็นลมไปหรือไม่”

“ฮ่าๆ…”

ผู้คนต่างชอบให้เรื่องของผู้อื่นบานปลาย

เรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนมากมาย

คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในตลาด ทำให้ตลาดคับคั่ง

คนที่มุงดูมีจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดเดินขึ้นหน้าปล่อยหลิงฉางเฟิงลงมา

ทุกคนต่างยินดีที่จะเห็นความอับอายของหลิงฉางเฟิง

หลิงฉางเฟิงเป็นคนเหลวแหลก เขาสร้างชื่อเสียงในเมืองหลวงภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนพี่ใหญ่ของเขา

เรื่องที่แตกต่างคือ หลิงฉางจื้อเป็นผู้มีความสามารถที่ทุกคนต่างยอมรับ ส่วนหลิงฉางเฟิงเป็นผู้ที่ชื่นชอบสำมะเลเทเมาอยู่ท่ามกลางสตรี

“หลบไป หลบไป…”

“ดูสิ่งใดกัน”

บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งปรากฏตัว คนที่นำหน้าร้อนใจยิ่งนัก

“ดู…คนของตระกูลหลิงมาแล้ว”

“ต้องมีคนแอบส่งข่าวให้ตระกูลหลิงอย่างแน่นอน”

ก่วนเจียของตระกูลหลิงเงยหน้ามอง นายน้อยอันล้ำค่าของตระกูลถูกแขวนไว้บนเสาด้วยร่างที่เปลือยเปล่า

ช่างรักแกกันเหลือเกิน!

ก่วนเจียของตระกูลหลิงทำหน้าดำทะมึน

“เหตุใดยังนิ่งกันอยู่ รีบไปปล่อยนายน้อยลงมา”

บ่าวรับใช้ที่คล่องแคล่วรีบปีนขึ้นเสาเพื่อปลดเชือกที่มัดหลิงฉางเฟิงเอาไว้

เมื่อได้รับอิสระ หลิงฉางเฟิงก็รู้สึกโมโหจนอยากจะฆ่าคน

บ่าวรับใช้เอ่ยตักเตือน หลิงฉางเฟิงจึงรีบหยิบเสื้อผ้ามาปิดบังร่างกาย สุดท้ายเขาก็ถูกบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งคุ้มกันจากไปอย่างรีบร้อน

คนของตระกูลหลิงจากไป เมื่อหมดความสนุกดู ฝูงชนก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

โรงสุราแห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียง บัณฑิตกลุ่มหนุ่งกำลังหัวเราะอย่างได้ใจ

“เรื่องประหลาดเช่นนี้ ทุกท่านมีผู้ใดยินดีร่วมแต่งบทกวีร่วมกับข้า”

“ข้า!”

“ข้า!”

“ข้าด้วย!”

บัณฑิตกลุ่มนี้ แต่ละคนล้วนมีความกระตือรือร้น

หลิงฉางเฟิงอับอายไม่ใช่เรื่องสำคัญ

สิ่งที่สำคัญคือ เขาเป็นน้องชายของหลิงฉางจื้อ

โอกาสที่สวรรค์ส่งมา หากไม่คว้าเอาไว้คงต้องรู้สึกผิดต่อตนเอง

ใช้เรื่องของหลิงฉางเฟิงสร้างความเสียหายให้หลิงฉางจื้อ ดึงเขาลงมากจากตำแหน่งผู้มีความสามารถ

หลังจากหลิงฉางจื้อเดินทางมาถึงเมืองหลวง เขาก็ทำให้บัณฑิตจำนวนหนึ่งในเมืองหลวงอึดอัดใจ

การสร้างชื่อเสียงของเขามาจากการเหยียบหัวของบัณฑิตมากมายในเมืองหลวง

เพราะเขาคนเดียว บัณฑิตในเมืองหลวงต่างต้องอับอายและถูกตำหนิ…

บางคนที่ไม่ยอม!

บางคนที่เกลียดแค้น!

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อาจหาข้อผิดพลาดของหลิงฉางจื้อได้

แต่ไม่คิดว่าหลิงฉางเฟิงผู้เป็นน้องชายของเขาจะเหลวไหลเพียงนี้ ไม่เพียงเข้าหอนางโลม อีกทั้งยังถูกแขวนไว้บนเสา ช่างน่าอายยิ่งนัก

สวรรค์ประทานโอกาสที่ดีให้เขา หากไม่คว้าเอาไว้คงต้องถูกฟ้าผ่า

“ทุกท่าน สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นอยู่คราวนี้ พวกเราต้องฉวยโอกาสนี้เปิดโปงธาตุแท้ของหลิงฉางจื้อ!”

“ทำให้เขากลับแคว้นหงหนงไป!”

“บังอาจดูถูกบัณฑิตเมืองหลวงอย่างพวกเรา คราวนี้ให้เขารู้เสียบ้างว่าความสามารถคือสิ่งใด”