ตอนที่ 65 ขาดการสั่งสอน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 65 ขาดการสั่งสอน

“พี่ใหญ่…”

เพียะ!

หลิงฉางจื้อยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าของหลิงฉางเฟิงทันทีเมื่อพบหน้า

เพียงแต่ทีเดียวคงยังไม่พอ เขาคิดจะตบครั้งที่สอง

แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหลิงฉางเฟิงที่ถูกเขาตบจนแดงเถือก หลิงฉางจื้อก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป

หลิงฉางเฟิงจับใบหน้าเอาไว้ เขาทั้งเจ็บทั้งงุนงง…

ท่าทางเสียใจอย่างมาก ทั้งน่าสงสารทั้งเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม

ถึงแม้เขาจะเป็นบุรุษ แต่เมื่อทำท่าทางน้อยใจกลับไม่แปลกแม้แต่น้อย

หลิงฉางจื้อควบคุมความโกรธของตนเองไม่อยู่ เขายกเท้าเตะเก้าอี้จนล้มสียงดัง

หลิงฉางเฟิงตกใจจนตัวสั่น ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว

บ่าวรับใช้ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง

กลัวว่าหากหายใจแรงเพียงนิดเดียวจะกลายเป็นเป้าหมาย

“ออกไปให้หมด!”

หลิงฉางจื้อตะโกนด้วยความโกรธ เหล่าบ่าวรับใช้โล่งใจอย่างมาก

หลิงฉางเฟิงอยากจะฉวยโอกาสชุลมุนออกไปปพร้อมบ่าวรับใช้ แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกไปก็ถูกสายตาของหลิงฉางจื้อบังคับให้กลับมา

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม เตรียมรอรับพายุโหมกระหน่ำที่กำลังจะเกิดขึ้น

“พูดมา เกิดเรื่องใดขึ้น”

น้ำเสียงของหลิงฉางจื้อเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธจริง

หลิงฉางเฟิงเป็นคนขี้ขลาด เวลานี้ขาของเขาสั่นเทา

เขาไม่กลัวท่านพ่อ ไม่กลัวท่านแม่ เขากลัวเพียงหลิงฉางจื้อผู้เป็นพี่ชาย

เขาพูดอย่างเกรงกลัว “พี่ใหญ่ ข้า ข้าถูกคนใส่ร้าย ใช่ ข้าถูกคนใส่ร้าย”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้นเหมือนกับกำลังโน้มน้าวตนเองเสียมากกว่า

หลิงฉางจื้อมองไปทางพ่อบ้านที่รออยู่ตรงมุมห้อง

หลิงกุ้ย หนึ่งในพ่อบ้านของตระกูลหลิง

เขาเดินออกมาแล้วโน้มตัวรายงาน “เรียนนายน้อย ข้าน้อยส่งคนไปหอนางโลมที่นายน้อยห้าเดินทางไปมาแล้ว เสียดายที่หอนางโลมนั้นว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่ามีคนวางแผนใส่ร้ายนายน้อยห้าขอรับ”

ดวงตาของหลิงฉางเฟิงฉายแววดีใจ เขาพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วว่าข้าถูกคนใส่ร้าย”

“หุบปาก!”

หลิงฉางจื้อตวาด หลิงฉางเฟิงรีบหุบปากในทันที

หลิงฉางจื้อถามพ่อบ้านต่อ “ยังพบสิ่งใดอีก”

หลิงกุ้ยโน้มตัวเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “ข้าน้อยส่งคนไปสืบมา คนของหอนางโลมนั้นมาถึงเมืองหลวงเมื่อเดือนก่อน แต่จ่ายค่าเช่าเพียงสองเดือน ปกติแล้วเมื่อถึงเวลาค่ำจะมีคนเข้าไปใช้บริการ จนกระทั่งสว่างจึงจากไป ว่ากันว่ามีลูกค้าจำนวนมาก ส่วนด้านอื่น เนื่องจากเวลาน้อยจึงยังไม่มีข่าวส่งกลับมาขอรับ”

หลิงฉางเฟิงถูกคนวางแผนใส่ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

หลิงฉางจื้อจ้องมองเขา “เมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้ายังจำได้หรือไม่”

หลิงฉางเฟิงกินปูนร้อนท้อง เขาส่ายหัวพลันพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าดื่มมากไปจึงจำไม่ได้แล้ว เมื่อลืมตามาอีกที ฟ้าก็สว่างแล้ว”

จากนั้นเขาก็ถูกคนจำนวนมากมุงดู

อับอายยิ่งนัก

เขาอกสั่นขวัญแขวน หวังเพียงพี่ใหญ่เห็นแก่ที่เขาถูกใส่ร้าย ให้อภัยเขา

หลิงฉางจื้อถามอีก “บ่าวรับใช้ข้างกายเจ้าหายไปไหน”

“ไม่ ไม่รู้”

หลิงฉางเฟิงไม่รู้จริงๆ

เช้านี้ เขาพบกับเหตุการณ์สะเทือนเลือนลั่น อับอายขายหน้า เวลานี้ยังต้องถูกสอบสวนอีก

เขาไม่มีเวลาได้ถามบ่าวรับใช้แม้แต่น้อย

เวลานี้เขาใจจดใจจ่อกับการรับมือต่อการซักถามของพี่ใหญ่

หลิงฉางจื้อส่งเสียงไม่พอใจ “ไม่รู้แม้แต่เรื่องเดียว แม้แต่เดินเข้าไปติดกับดักยังไม่รู้ สมองที่บนหัวของเจ้าไม่เพียงแต่ใช้กินดื่ม มันยังสามารถใช้ไว้คิดเรื่องอื่นอีกด้วย แต่เจ้าเรียนรู้แค่การกินดื่ม ไม่เรียนรู้ที่จะใช้สมอง ไร้ประโยชน์เสียจริง!”

หลิงฉางเฟิงก้มหน้าลงรับคำตำหนิ

เวลานี้ด่าแรงมากเพียงใด เมื่อลงมือขึ้นมาย่อมต้องเบามือเท่านั้น

หลิงฉางจื้อมองดูท่าทางของเขาด้วยความโมโห

“คุกเข่าลง!”

เสียงตะโกนดังขึ้น หลิงฉางเฟิงคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง

“หลิงกุ้ย อัญเชิญกฎตระกูล!” หลิงฉางจื้อโมโหจริง ความโกรธของเขาไม่อาจระงับลงได้ วันนี้ผู้ใดก็อย่าคิดจะอยู่อย่างเป็นสุข

หลิงกุ้ยลังเลเล็กน้อย ถามขึ้น “ไม้บรรทัดหรือแส้ขอรับ”

หลิงฉางจื้อยิ้มเย็น

หลิงกุ้ยก้มหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”

เขาจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาอย่างรวดเร็ว

ตอนออกไปมือทั้งสองข้างว่างเปล่า

ตอนกลับมาในมือมีแส้หนังที่มีหนามเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้น

หลิงฉางเฟิงตกใจอย่างมาก แส้ยังไม่ทันตกกระทบตัว ร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทา

หลิงฉางจื้อรับแส้หนังมา สะบัดกลางอากาศสองที

เพียะ!

เพียะ!

แส้สะบัดอยู่กลางอากาศเสียงดัง

หลิงฉางเฟิงขี้ขลาดขึ้นมาในทันที “พี่ใหญ่ไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะปรับปรุงตัว ไม่สร้างปัญหาให้ตระกูลอีกแล้ว”

สายไปแล้ว!

เพียะ…

เพียะ เพียะ…

หลิงฉางจื้อสะบัดแส้หนังลงบนหลังของหลิงฉางเฟิงทีแล้วทีเล่า

ฤดูร้อน เสื้อผ้าบนตัวเบาบาง

หลิงฉางเฟิงเจ็บจนนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น

เสื้อผ้าบนตัวถูกแส้สะบัดจนขาดวิ่น น่าอนาถอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเพ่ยแอบดูอยู่นอกประตู ตกใจกลัวจนปิดปากเอาไว้ นางเกรงว่าตนเองจะหลุดส่งเสียงร้องทำให้หลิงฉางจื้อเห็นเข้า

สาวรับใช้ชุนซิ่งตัวสั่นเทา “นายหญิงน้อย พวกเรารีบไปเถิด หากถูกนายน้อยใหญ่พบเข้าจะไม่ดี!”

นายน้อยใหญ่ดุร้ายเกินไป

สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยซีดเผือด นางพยักหน้า “ใช่ พวกเรารีบไปเถิด”

ไม่ใช่นางไม่เป็นห่วงหลิงฉางเฟิง แต่นางเองก็ไร้หนทาง

นายบ่าวสองคนจากไปอย่างรีบร้อนด้วยตัวที่ยังสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวอย่างมาก

หลิงกุ้ยกวาดตามองไปทางประตูโดยไม่พูดสิ่งใด เขาถือว่านายบ่าวทั้งสองไม่เคยมา

หลิงฉางจื้อสะบัดแส้สิบครั้ง

เขาโบยจนทั้งตัวของหลิงฉางเฟิงเต็มไปด้วยแผล หมดแรงที่จะอ้อนวอน

เวลานี้เขาหยุดมือลง

เขาโยนแส้ให้หลิงกุ้ย ก่อนจะกำชับ “เชิญไต้ฟูมารักษาให้เขา ระยะนี้ข้าไม่อนุญาตให้เขาออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว ส่งคนไปตามหาบ่าวรับใช้ของเขา เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ นอกจากนี้สืบเรื่องของหอนางโลมนั้นให้ข้าอย่างละเอียด หาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ ในเมื่อบังอาจวางแผนใส่ร้ายตระกูลหลิง ย่อมต้องเตรียมตัวถูกตระกูลหลิงเอาคืน”

หลิงฉางจื้อทำหน้าโหดเหี้ยมราวกับผีร้ายในนรก ไร้ซึ่งท่าทางของนายน้อยผู้สง่างามเหมือนวันอื่นแม้แต่น้อย

ผู้คนต่างรู้เพียงว่าหลิงฉางจื้อเป็นผู้มีความสามารถ ความรู้โดดเด่น อ่อนโยนมีมารยาท

แต่ไม่รู้ว่าเขาก็มีความโหดเหี้ยมของผู้เป็นแม่ทัพด้วย

เขาเป็นบุคคลอันตราย

มิน่าถึงได้ถูกตระกูลหลิงส่งมาเมืองหลวง เขาสามารถสร้างชื่อเสียงในระยะเวลาอันสั้น ขาดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถรับตำแหน่งในราชสำนักได้แล้ว

พ่อบ้านหลิงกุ้ยโน้มตัวรับคำสั่ง เขาปรบมือเรียกบ่าวรับใช้มาพาหลิงฉางเฟิงออกไป

จากนั้นเขาก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “เรื่องในครานี้จะมีผลกระทบต่อแผนการของนายน้อยหรือไม่ขอรับ”

หลิงฉางจื้อพูด “ย่อมต้องมีผลกระทบ เจ้าก็รู้ว่าในหมู่บัณฑิต มีคนจำนวนไม่น้อยริษยาข้า พวกเขาย่อมไม่มีวันปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป แต่เวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินว่าข้าจะเข้ารับราชการได้หรือไม่ คนเบื้องหลังช่างเลือกโอกาสได้ดี เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่อยากให้ข้าเข้ารับราชการ”

หลิงกุ้ยพึมพำ “จะเป็นผู้ใดกัน”

หลิงฉางจื้อพูด “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสืบได้มากน้อยเพียงใด”

หลิงกุ้ยรับคำในทันที “ข้าน้อยจะสืบหอนางโลมนั้นให้กระจ่าง ตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ขอรับ”

หลิงฉางจื้อเองก็กำลังไตร่ตรองศัตรูของตนเอง

คนที่ริษยาเขา ไม่ชื่นชอบเขามีจำนวนมากนัก

แต่ผู้ที่มีความสามารถวางแผนใส่ร้ายหลิงฉางเฟิงได้เช่นนี้มีไม่มาก

หลังจากการครุ่นคิด หลิงฉางจื้อก็ได้รายชื่อสิบคนออกมา

เขานำรายชื่อให้หลิงกุ้ย “สืบตามรายชื่อนี้! ต้องสืบให้กระจ่างว่าหอนางโลมนั้นมีความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้หรือไม่”

“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

หลิงฉางจื้อพูดอีกครั้ง “ปรนนิบัติข้าเปลี่ยนชุด! ข้าจะใช้โอกาสตอนที่ผู้อื่นยังไม่ทันลงมือเดินทางไปเยือนซินแสทั้งหลาย พยายามกอบกู้ชื่อเสียง”

เขาสามารถเข้ารับราชการได้อย่างราบรื่นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอาจารย์หยูทั้งหลายว่าสามารถสนับสนุนเขาในเวลานี้ได้หรือไม่

อากาศร้อน เยียนอวิ๋นเกอไม่ได้ขึ้นไปรับลมบนหลังคา หากแต่นั่งดื่มน้ำแกงถั่วเขียวแช่เย็นอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้

มีบ่าวรับใช้เดินมาข้างตัว “คุณหนู ท่านหญิงเชิญท่านเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอวางชามกระเบื้องลงพลันสะบัดมือ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางห้องตำรา

เมื่อสองแม่ลูกพบหน้ากัน เซียวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ทางตระกูลหลิงเกิดเรื่องแล้ว! อันที่จริงควรจะบอกว่าหลิงฉางเฟิงเกิดเรื่องจนทำให้หลิงฉางจื้อเดือดร้อน”

เยียนอวิ๋นเกอแสร้งโง่ ใช้สองมือทำท่า ‘เกิดเรื่องใดขึ้นเจ้าคะ หลิงฉางเฟิงฆ่าเยียนอวิ๋นเพ่ยหรือเจ้าคะ’

เซียวฮูหยินกวาดตามองนาง ถามอย่างจริงจัง “เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ แต่ยังคงแสร้งโง่ต่อไป

เซียวฮูหยินไม่เปิดโปงนาง “คราวนี้เจ้าบังเอิญเลือกเวลาได้ดี ประจวบเหมาะกับเวลาที่หลิงฉางจื้อถูกคนแนะนำเข้ารับราชการในราชสำนัก เรื่องของหลิงฉางเฟิงในคราวนี้ย่อมต้องถูกคนใช้เป็นประโยชน์ หากหลิงฉางจื้อไม่อาจแก้ไขวิกฤตครานี้ได้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจเข้ารับราชการได้อย่างราบรื่น”

อ่อ!

เยียนอวิ๋นเกอรู้เรื่องเหล่านี้

หลิงฉางจื้อเดินทางมาเมืองหลวง แต่ละวันใช้เงินจำนวนมากในการสานสัมพันธ์ อีกทั้งยังเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งกลอนกวีต่างๆ

เพราะสาเหตุใด

ย่อมเพราะเขาต้องการสร้างชื่อเสียง

เหตุใดจึงต้องสร้างชื่อเสียง

ย่อมเพราะเขาต้องการรับราชการ

เขากำลังจะสมดังปรารถนาเพราะมีอาจารย์หยูชื่นชมความสามารถของเขาจนถวายฎีกาแนะนำเขาเข้ารับราชการ

ทุกเรื่องล้วนราบรื่น หากไม่มีเรื่องของหลิงฉางเฟิง หลิงฉางจื้ออาจได้เป็นขุนนางระดับห้าในราชสำนักในเดือนหน้าแล้วก็ย่อมได้

หากหลิงฉางจื้อใช้ความสามารถของตนเองในราชสำนัก เบื้องหลังมีตระกูลหลิงสนับสนุนกำลังคน เพียงไม่กี่ปีราชสำนักย่อมต้องมีดาวดวงใหม่ลอยขึ้น

ออกโรงเป็นแม่ทัพ หวนกลับเป็นเสนา ย่อมไม่ใช่ปัญหา

น่าเสียดาย หลิงฉางจื้ออถูกเยียนอวิ๋นเกอจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว

แน่นอนว่าการโจมตีเพียงเท่านี้ นางเชื่อว่าหลิงฉางจื้อมีความสามารถในการจัดการ

หากเขาไม่สามารถจัดการวิกฤตเพียงแค่นี้ได้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นดาวดวงใหม่ในราชสำนัก

เยียนอวิ๋นเกอรู้ข้อนี้ดี

เป้าหมายของนางก็คือหลิงฉางเฟิงตั้งแต่แรก

หากต้องการจัดการหลิงฉางจื้อ วิธีการของเยียนอวิ๋นเกอไม่มีทางอ่อนโยนเพียงนี้

สิ่งสำคัญคือ เวลานี้นางไม่มีความขัดแย้งกับหลิงฉางจื้อ ไม่มีความจำเป็นต้องพุ่งเป้าไปที่เขา

ชายชั่วอย่างหลิงฉางเฟิง ชอบสตรีมากเพียงนั้นก็ต้องให้เขาพ่ายแพ้อยู่บนตัวของสตรี

ได้ยินว่ากฎของตระกูลหลิงเข้มงวดมาก ไม่รู้หลิงฉางเฟิงจะถูกกฎของตระกูลลงโทษในเวลานี้แล้วหรือไม่

ลงโทษจนเขาลงจากเตียงไม่ได้ครึ่งปีจะดีที่สุด

เซียวฮูหยินจ้องมองเยียนอวิ๋นเกอ กล่าวตักเตือน “เรื่องในครานี้ ดูจากภายนอกอาจมีผลกระทบต่อเส้นทางการรับราชการของหลิงฉางจื้อ แต่จากรากฐานของตระกูลหลิง รวมถึงฝีมือของหลิงฉางจื้อแล้ว อย่างมากก็ทำได้เพียงถ่วงเวลาการเข้ารับราชการของเขาเท่านั้น สุดท้ายเขายังคงสามารถเข้ารับราชการได้”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา ‘ท่านแม่พูดได้มีเหตุผล’

เซียวฮูหยินยิ้ม “เรื่องเหล่านี้เจ้าคงคำนึงไว้ก่อนอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น เมื่อหลิงฉางเฟิงได้รับบทเรียนแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนี้ตระกูลหลิงย่อมต้องมีการระวังมากขึ้น ไม่ว่าเจ้ามีแผนการใดต่อไปล้วนล้มเลิกเสีย อย่าให้ตระกูลหลิงสืบมาถึงตัวเจ้า เวลานี้ตระกูลเยียนกับตระกูลหลิงยังปรองดองกันอยู่ ไม่เหมาะสมที่จะเกิดความขัดแย้ง ทำลายความสัมพันธ์”

เยียนอวิ๋นเกอตอบรับ ‘ข้าเชื่อฟังท่านแม่’