ตอนที่ 66 วิกฤตล้มละลายของอวิ๋นเกอ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 66 วิกฤตล้มละลายของอวิ๋นเกอ

“เจ้าปรนนิบัติคนเป็นหรือไม่ ไป ออกไปให้พ้น!”

หลิงฉางเฟิงเจ็บจนตัวสั่น ทำได้เพียงระบายความโกรธกับสาวรับใช้และบ่าวรับใช้

เขาโยนหมอนกระเบื้อง โยนชามยา โยนสิ่งที่อยู่ที่สามารถคว้าได้ทิ้ง

ภายในห้องนอน ระเกะระกะไปด้วยข้าวของ

เยียนอวิ๋นเพ่ยยืนขมวดคิ้วอยู่ที่หน้าประตู

นางไม่พอใจอย่างมาก

หลิงฉางเฟิงทำได้เพียงตะโกนดุด่าบ่าวรับใช้ หากมีความสามารถจริงก็ลองต่อกรกับหลิงฉางจื้อเสียสิ

นางลังเลที่จะเดินเข้าไป

เมื่อหลิงฉางเฟิงเห็นนาง เขาก็ตะโกนด้วยความโกรธ

“เหตุใดจึงยืนนิ่งอยู่ เจ้าเป็นท่อนไม้หรือ ยังไม่เข้ามาปรนนิบัติข้าดื่มน้ำอีก”

เยียนอวิ๋นเพ่ยเดินเข้าห้องนอนพร้อมสาวรับใช้ชุนซิ่ง

นางยกแก้วน้ำเพื่อปรนนิบัติหลิงฉางเฟิงดื่มน้ำ

น้ำไหลออกมาจากมุมปากทำให้ผ้าห่มและเสื้อผ้าเปียก

หลิงฉางเฟิงโกรธจัด

“แม้แต่ปรนนิบัติข้าดื่มน้ำยังทำไม่ได้ เจ้ามีประโยชน์ใดอีก!”

เขาผลักนางออกไป ไม่คิดว่าจะกระทบกระเทือนบาดแผลบนหลัง เจ็บจนเขาอยากจะตาย

หลังจากความเจ็บปวดอันรุนแรงผ่อนคลายลง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

เขายิ่งรู้สึกไม่พอใจเยียนอวิ๋นเพ่ย

เขาระบายความโกรธด้วยการด่า “นับแต่ข้าแต่งงานกับเจ้าก็ไม่มีเรื่องดีแม้แต่เรื่องเดียว เจ้าเป็นตัวหายนะ ตัวซวย ข้าถามเจ้า ตอนนั้นในตระกูลเยียน เจ้าตั้งใจเข้าใกล้ข้าใช่หรือไม่ เจ้าตั้งใจทำลายงานแต่งของข้า เจ้าหญิงชั่วช้า เหตุใดข้าจึงโชคร้ายต้องแต่งงานกับเจ้า เจ้าออกไป…ออกไป!”

เยียนอวิ๋นเพ่ยอดกลั้นมาหนึ่งปี

หนึ่งปีนี้ นางกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม นอบน้อมถ่อมตน ขอเพียงคนตระกูลหลิงยอมรับนาง

แต่เวลานี้ นางได้สิ่งใดกลับมา

ความไม่พอใจ!

การดูถูก!

การเสียดสี!

เสียงตำหนิ!

เสียงก่นด่า!

ตลอดทั้งปี ไม่มีผู้ใดในตระกูลหลิงยอมรับนางจากใจ

ทุกคนล้วนดูถูกนาง

ล้วนจ้องมองความอับอายของนาง

มีสิทธิใด

เมื่อได้ยินคำตำหนิอันรุนแรงของหลิงฉางเฟิง เยียนอวิ๋นเพ่ยก็ไม่อาจควบคุมนิสัยที่แท้จริงของตนเองได้อีกต่อไป

นางระเบิดอารมณ์ออกมา ตะหวาดเสียงดัง “เจ้าหุบปาก!”

หลิงฉางเฟิงผงะด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เจ้าพูดอะไร เจ้าบังอาจสั่งให้ข้าหุบปากหรือ เยียนอวิ๋นเพ่ย ผู้ใดให้ความกล้าแก่เจ้า เจ้าอยากตายหรือ”

ความกล้าที่เพิ่งระดมขึ้นมาของเยียนอวิ๋นเพ่ยสลายหายไปกว่าครึ่งในทันทีหลังจากตะโกนคำว่า ‘เจ้าหุบปาก’ ออกมา

บนใบหน้าของนางเผยสีหน้าหวาดกลัวเหมือนเคย

นางพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านพี่ ท่านเจ็บมากหรือ”

หลิงฉางเฟิงยิ้มเย็น “ก่อนหน้านี้เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ กล้าตะโกนใส่ข้าไม่ใช่หรือ”

“ท่านพี่เข้าใจผิดแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้ากังวลท่านพี่จะเจ็บตัว คนโบราณว่าไว้ ความโกรธทำลายตับ…”

“หุบปากเถิด! เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบที่จะถูกหลอกด้วยคำพูดไม่กี่คำหรือ เจ้าไม่ถือกระจกส่องดูตนเองว่าเป็นอย่างไร ผอมแห้งอย่างเจ้า ในหอนางโลมเจ้าก็เป็นได้แค่สาวรับใช้ต่ำต้อยยกน้ำรินชา แม้แต่เข้าใกล้ข้ายังไม่มีสิทธิ”

คำพูดนี้ช่างเหยียดหยามคนยิ่งนัก

เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดอย่างโต้แย้งอย่างขาดความมั่นใจ “อย่างน้อยข้าก็กำเนิดในตระกูลชั้นสูง ได้รับการอบรมจากแม่นมแต่เด็ก ท่านพี่ดูถูกเหยียดหยามข้า ถึงแม้จะทำให้ข้าจะอับอาย แต่สามีภรรยาเปรียบเหมือนคนเดียวกัน ข้าอับอายย่อมเท่ากับท่านพี่อับอาย คำพูดของท่านพี่ก่อนหน้านี้ ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

หลิงฉางเฟิงส่งเสียงไม่พอใจ เหยียดหยาม “อย่าพูดเรื่องสามีภรรยาเปรียบเสมือนคนเดียวกัน นับแต่สมรสกันมา พวกเราไม่เคยร่วมหอกันแม้แต่ครั้งเดียว ผู้อื่นอาจไม่รู้ เจ้าเองก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”

สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยซีดเผือด ยิ่งขาดความมั่นใจ นางพูดขึ้นมาด้วยความน้อยใจ “ระยะนี้ข้ากำลังกินยา ร่างกายข้าดีขึ้นไม่น้อยแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ ไต้ฟูบอกว่าเพียงแค่รักษาอีกเดือนกว่า โรคของข้าก็หายดีแล้ว เมื่อถึงเวลา…”

“อย่าแม้แต่จะคิด!” หลิงฉางเฟิงพูดขัดเขา “ข้าบอกเจ้า ข้าไม่ได้ยินดีแต่งงานกับเจ้า ข้าไม่เคยชอบเจ้าแต่แรก พวกเรารักษาเพียงชื่อของสามีภรรยาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเป็นสามีภรรยากันจริง”

เยียนอวิ๋นเพ่ยได้ยิน ร่างของนางสั่นเทาเล็กน้อย นางไม่อยากเชื่อ “อย่างนั้นข้าจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร ข้าจะมีบุตรชายให้ท่านได้อย่างไร”

หลิงฉางเฟิงหัวเราะเยาะออกมา “เยียนอวิ๋นเพ่ย ข้าบอกความจิงอีกอย่างกับเข้า ข้ายอมให้นางโลมมีบุตรของข้าก็ไม่ยอมให้เจ้ามีบุตรของข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ข้าไม่เข้าใจ!”

เยียนอวิ๋นเพ่ยระเบิดออกมาในที่สุด “หลิงฉางเฟิง เหตุใดเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้ เจ้าอย่าลืม ข้าเป็นภรรยาที่เจ้าสมรสอย่างถูกต้องตามประเพณี”

“เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าเป็นภรรยาที่ข้าสมรสอย่างถูกต้องตามประเพณีหรือ” หลิงฉางเฟิงยิ้ม

“ต้องให้ข้าเตือนเจ้าหรือไม่ บนหนังสือสมรสไม่ได้เขียนชื่อของเจ้าแต่แรก หากแต่เปลี่ยนเป็นชื่อของเจ้าก่อนงามสมรสเพียงสามวัน เรื่องนี้เจ้าคงไม่ได้ลืม”

เยียนอวิ๋นเพ่ยหายใจระรัวด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นข่มความคิดที่จะข่วนหน้าของอีกฝ่าย

นางพูดเสียงแหลม “ข้าก็ต้องเตือนเจ้า ตระกูลหลิงกับตระกูลเยียนปรองดองเป็นมิตรกัน ไม่ใช่การสร้างศัตรู เพียงแค่ตระกูลหลิงกับตระกูลเยียนไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อกัน เจ้าก็ต้องทำตามหน้าที่ของสามี ทำให้ข้าตั้งครรภ์ เรื่องนี้หากเจ้าไม่รับปาก ข้าจะไปรายงานนายน้อยใหญ่ เขาย่อมมีวิธีทำให้เจ้ายินยอม”

หลิงฉางเฟิงโกรธจัด “เยียนอวิ๋นเพ่ย เจ้าบังอาจใช้พี่ใหญ่ข่มขู่ข้า คิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรือ”

เวลานี้เยียนอวิ๋นเพ่ยก็ใจกล้าอย่างมาก “เจ้าลองดูสิ อย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองหลวง คนของตระกูลข้าอยู่ในเมืองหลวง เจ้าลองดูว่านายน้อยใหญ่จะเห็นแก่ตระกูลข้าทวงความเป็นธรรมให้ข้าหรือไม่ เจ้าลองดูว่านายน้อยใหญ่จะบังคับให้เจ้ายินยอมเพื่อประคองความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเยียนหรือไม่”

หลิงฉางเฟิงโกรธจนพูดไม่ออก

เยียนอวิ๋นเพ่ยที่ทำตัวอ่อนแอต่อหน้าเขาเสมอกลายเป็นคนแข็งกร้าว มันช่างเหนือความคาดหมาย

ทันใดนั้นเขาหมดหนทาง

หากเยียนอวิ๋นเพ่ยมีชาติกำเนิดจากตระกูลเล็ก เขาอยากทำสิ่งใดย่อมทำได้

แต่การปรองดองของตระกูลหลิงกับตระกูลเยียนมีความเกี่ยวข้องกับด้านอื่นด้วย

หากเขากล้าทำลาย ไม่ต้องสนใจว่าตระกูลเยียนจะทำอย่างไร แต่พี่ใหญ่ของย่อมไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน

อีกทั้งดูจากท่าทางของเยียนอวิ๋นเพ่ย นางไม่ใช่สตรีที่ยอมทนรับอารมณ์ของผู้อื่น

หนึ่งปีผ่านไป ความอ่อนน้อมถ่อมตนของนางเป็นแค่การแสดง

เข้าเมืองหลวงมาไม่ทันไร นางก็เปิดเผยธาตุแท้ออกมาเสียแล้ว

เขาเชื่อว่าหากทำให้นางจนตรอก เยียนอวิ๋นเพ่ยจะกล้าเป็นปรปักษ์กับเขา

ตระกูลเยียนเป็นตระกูลแม่ทัพ คุณหนูตระกูลเยียนมีชื่อเสียงโด่งดังด้านความดุร้าย

ตัวแทนก็คือเยียนอวิ๋นเกอ

ส่วนเยียนอวิ๋นเพ่ยย่อมไม่ใช่คนที่มีนิสัยดีนัก

อย่างน้อยนางก็ไม่ใช่สตรีที่อ่อนโยนเหมือนสตรีทั่วไป

ทันใดนั้นหลิงฉางเฟิงมีแผนการหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ

เขาไม่อาจบังคับเยียนอวิ๋นเพ่ยจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้นางแว้งกัด

แต่เขาก็เป็นคนที่มีความคิดของตนเอง

เขาชี้อีกฝ่าย “ออกไป! เวลานี้ บัดนี้ ออกไป เจ้าจะฟ้องก็รีบไป ข้าไม่รั้งเจ้า ข้าจะคอยดู สตรีที่ไม่อาจให้กำเนิดอย่างเจ้า ผู้ใดจะทวงความยุติธรรมให้”

เยียนอวิ๋นเพ่ยตำหนิด้วยความโกรธ “ผู้ใดบอกข้าให้กำเนิดไม่ได้ เจ้าอย่าใส่ร้ายข้า”

หลิงฉางเฟิงหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าไม่อยากเห็นเจ้า ออกไป!”

เยียนอวิ๋นเพ่ยโกรธจนตัวสั่น หากอยู่ต่อไปก็คงจะได้รับแต่ความเหยียดหยาม

นางปิดหน้าวิ่งออกไป

สาวรับใช้ ชุนซิ่งร้อนใจจนกระทืบเท้า นางเอ่ยกับหลิงฉางเฟิง

“นายน้อย นายหญิงน้อยนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงท่าน ท่านพูดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร”

“สาวรับใช้อย่างเจ้าบังอาจสั่งสอนข้าหรือ ผู้ใดให้ความกล้าแก่เจ้ากัน หากยังไม่ออกไปอีก ข้าจะเรียกคนมาโบยเจ้าให้ตาย”

ถึงแม้เขาจะจัดการเยียนอวิ๋นเพ่ยไม่ได้ แต่เขาสามารถจัดการกับสาวรับใช้อย่างง่ายดาย

ชุนซิ่งตกใจจนไม่กล้าออกหน้าแทนเยียนอวิ๋นเพ่ย ทำได้เพียงเดินจากไป

เรื่องของสามีภรรยา ไม่ว่าจะโกลาหลเพียงใดก็ไร้ผู้คนสนใจ

หลายวันนี้ หลิงฉางจื้อวุ่นวายกับการสานสัมพันธ์ จัดการกับข้อครหาที่มีอยุ่ทุกหนทุกแห่ง

เขากับหลิงฉางเฟิงเป็นพี่น้องร่วมมารดากัน เหล่าบัณฑิตใช้ประเด็นนี้โจมตีหลิงฉางจื้อไร้จริยธรรม ตระกูลไม่เที่ยงธรรม

หากว่ากันอย่างจริงจัง การกระทำและวาจาของหลิงฉางเฟิงก็สามารถถือว่าตระกูลไม่เที่ยงธรรมได้

ในฐานะพี่ชาย หลิงฉางจื้อไม่อาจสั่งสอนน้องชายให้ดี อย่างไรเขาก็มีความผิด

เขาหมดหนทางเมื่อผู้อื่นต้องการหาเรื่อง

ทำได้เพียงรับมือ สานสัมพันธ์ อาศัยผู้คน สุดท้ายเขาก็สามารถโน้มน้าวอาจารย์หยูคนหนึ่งออกหน้าแทน ทำให้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นไม่น้อย

เมื่อรอจนเรื่องเงียบไปก็เป็นเวลากลางเดือนห้าแล้ว

เรื่องการรับราชการของเขาพอจะมีเค้าโครงแล้ว

เพียงแค่ระมัดระวังและรอคอยอย่างอดทนเท่านั้น

อากาศร้อน!

ดวงอาทิตย์ลอยสูงลิ่วทุกวัน ทำให้คนบนท้องถนนน้อยลงไปอย่างมาก

กิจการน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยได้รับผลกระทบ เพราะลูกค้าหายไปกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับฤดูหนาว

เด็กในร้านต่างร้อนใจ

กิจการไม่ดีมีผลกระทบต่อรายได้

พวกเขาล้วนมีเงินเดือนกับเงินรางวัล กิจการไม่ดีช่างน่ากลุ้มยิ่งนัก

แต่ฤดูร้อนไม่ใช่ฤดูกาลที่ดีของการกินน้ำแกงเครื่องใน

ในฐานะเถ้าแก่ เยียนอวิ๋นเกอไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกำไรที่ลดลง

นางคาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดร้านแล้ว

รออีกสองสามเดือน เมื่ออากาศเย็นลง กิจการย่อมกลับมาดีขึ้น

สิ่งที่นางสนใจคือ แคว้นชีและแคว้นหยวนที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองร้อยลี้

นับแต่การบุกเบิกในเดือนสาม เกณฑ์ผู้อพยพนับพันคนเพื่อบุกเบิกที่ดินเริ่มแรกกว่าหนึ่งหมื่นไร่ หลังจากการหว่านเมล็ดพันธุ์ก็มีต้นกล้างอกออกมาแล้ว รอเพียงแค่การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง

บุกเบิกที่ดินต้องการปุ๋ยและดิน

เยียนอวิ๋นเกอใช้วิธีสร้างห้องน้ำในพื้นที่บุกเบิก บังคับให้เหล่าผู้อพยพเข้าห้องน้ำตามบริเวณที่กำหนด

ในเวลาเดียวกันยังมีการเลี้ยงหมู แพะ เป็ด ไก่ แล้วรวบรวมอุจจาระของสัตว์มาเป็นปุ๋ย

อีกทั้งนางยังให้คนขุดร่องแล้วใช้ตะกอนทับถมเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ทุกเรื่องย่อมยุ่งยากตอนเริ่มต้น

โดยเฉพาะการบุกเบิก ปีแรกย่อมยากเป็นพิเศษ

เยียนอวิ๋นเกอวิ่งไปคุมพื้นที่บุกเบิกด้วยตนเองอยู่กว่าครึ่งเดือน

นางติดหนี้องค์ชายสองและสำนักเซ่าฝู่เป็นเงินจำนวนมหาศาล ล้วนคาดหวังการเก็บเกี่ยวมาชดใข้หนี้

ทางองค์ชายสองยังพอมีหนทาง

แต่ทางสำนักเซ่าฝู่คงไม่อาจยืดเวลาได้

หากนางใช้หนี้งวดแรกไม่ได้ในปีหน้า สำนักเซ่าฝู่ย่อมกล้ามาเรียกคืนพื้นดินบุกเบิกอย่างแน่นอน

ข้ออ้าง…ชดใช้หนี้!

นางเดินไปรอบคันนาที่ก่อขึ้นมาใหม่

เยียนอวิ๋นเกอสั่งพ่อบ้าน เยียนสุย ‘เกณฑ์ผู้อพยพมาเพิ่ม เร่งความเร็วในการบุกเบิก พยายามบุกเบิกแปลงนาหนึ่งแสนไร่ให้ได้ในปีนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงและเมล็ดพันธุ์ ข้าจะหาวิธีจัดการเอง’

เยียนสุยกลุ้มใจมาก “คุณหนู เกณฑ์ผู้อพยพสำหรับการบุกเบิกมากขึ้นหนึ่งคนย่อมเท่ากับมีปากกินข้าวมากขึ้น เวลานี้พื้นดินนี้ยังไม่มีรายรับ พวกเรารอเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก่อนค่อยเร่งความเร็วในการบุกเบิกดีหรือไม่ขอรับ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า สองมือทำท่าอย่างรวดเร็ว

‘ไม่ได้! รอจนเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจะสายไป ฤดูหนาวในเมืองหลวงมาถึงเร็ว พื้นดินจะแข็ง มีหลายเดือนที่ไม่อาจทำการบุกเบิกได้ เราต้องใช้ฤดูกาลนี้เร่งความเร็วในการบุกเบิก เมื่อถึงฤดูหนาว ให้บรรดาผู้อพยพขึ้นไปตัดไม้บนภูเขา พวกเราจะขายถ่านไม้กัน อีกทั้งยังสามารถนำถ่านมาสร้างความอบอุ่นได้’

ขายถ่านไม้เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือเยียนอวิ๋นเกออยากจะลองทำเรือนอุ่นสำหรับปลูกผักนอกฤดูกาล

ฤดูหนาวของเมืองหลวงหนาวเป็นพิเศษ

สิ่งที่ผู้คนขาดแคลนไม่ใช่ถ่านสำหรับก่อไฟ หากแต่เป็นผักใบเขียว

สมัยนี้ แม้จะเป็นผู้มั่งคั่งหรือผู้มีอำนาจ บนโต๊ะอาหารในฤดูหนาวก็ยากที่จะเห็นอาหารที่มีสีเขียว