ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 9 แกนกระบี่ (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 9 แกนกระบี่ (rewrite)

ในสติพร่ามัว…

หนิงอี้เหมือนยืนอยู่บนสุดทางของโลก

เหมือนกลับมาตอนอยู่สุสานใต้ดินเมืองไร้มลทิน เขาเห็นภาพต่างๆ ที่หยุดนิ่งเหมือนภาพน้ำมัน…โลกมาถึงสุดปลายทางแล้ว เช่นนั้นไม่ว่ายืนอยู่ที่ใดล้วนเป็นสุดทางของโลก

ภาพที่สิ้นหวังและเงียบงัน

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

หนิงอี้ขยับได้อย่างอิสระ เขายกมือขึ้นได้หรือวางลงได้ กระทั่งลองเดินได้ ใต้ฝ่าเท้าเขาเป็นดินแข็งที่ปกคลุมด้วยหิมะ หน้าหลังซ้ายขวาเป็นฝุ่นทรายลอยฟ้า เศษหิน พวกนี้เกาะตัวอยู่ตรงหน้าเขา เขาฝ่าไปได้ อ้อมไปก็ได้

หนิงอี้เงยหน้าขึ้น เขาสูดอากาศเย็นอย่างยากลำบาก เงยหน้าขึ้นเพ่งมองเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลๆ ต้นไม้โบราณยักษ์ที่ขดรากอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ยักษ์เหี่ยวเฉาใกล้จะตายเหมือนกับตอนนั้นที่ตนทะลวงขอบเขตแรก

เปลี่ยนมุมมอง…เขาเห็นผืนฟ้าฉีกขาด น้ำทะเลพลิกกลับลงมา หายนะจะทำลายล้างโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นหายนะล้างโลก ตอนที่ภาพนี้ปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้หนิงอี้อยู่ในนั้นด้วยตัวเอง เขาไม่ใช่บุคคลที่สามอีก แต่เป็นผู้ประสบโดยตรง

เขาไม่เห็นผู้รอดชีวิต ธงใหญ่โบกสะบัด ด้ามธงปักลึกลงดิน เศษใบธงรวมถึงหยดเลือดที่แข็งตัวในอากาศ

ไม่มีใครรอด

หนิงอี้ลองนั่งย่อตัวลง เขาหยิบหมวกเกราะสีแดงฉานทำจากเหล็กกล้าขึ้นมา คราบเลือดบนนั้นแห้งแล้ว ศพนอนเป็นด่างพร้อยไกลๆ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นคนเนื้อแห้งผอมบาง พลิกตัวขึ้น พบว่าใบหน้าถูกพายุทรายกัดกร่อน มองเห็นใบหน้าไม่ชัด ริมฝีปากฉีก ใบหน้าอยู่ไม่ครบเลย

ศพเช่นนี้…มีอยู่เต็มไปหมด

หนิงอี้รู้สึกปากแห้งเล็กน้อย

เขาพลันรู้สึกถึงการสั่นไหวตรงหน้าอก

ขลุ่ยกระดูกที่ห้อยตรงคอเขาดิ้นเบาๆ เหมือนการหายใจอย่างหนึ่ง และเหมือนการชี้นำ…หนิงอี้ดิ้นไปตามเจตนารมณ์ ถูกขลุ่ยกระดูกลากไปอย่างสับสน เดินไปบนพื้นดินรกร้างทีละก้าว เขาอดมองทิวทัศน์สองข้างทางไม่ได้ ในที่สุดก็มาถึงหน้าริมแม่น้ำแช่แข็ง

ขลุ่ยกระดูกไม่สั่นอีก หนิงอี้มองผิวน้ำที่มันวาวราวกระจก ผิวน้ำเกาะตัวเป็นน้ำแข็งหนึ่งชั้น

เขาขมวดคิ้ว

ตอนนี้ เขาพลันนึกออกแล้วว่าตนน่าจะอยู่ที่ใด

เขาไม่ควรอยู่ที่นี่เลย

“โอ๊ย…”

ความเจ็บปวดทิ่มแทงในความคิด

หนิงอี้นึกออกแล้ว ผนึกหลังเขาสู่ซาน ยันต์แผดเผา ตกลงมาแล้วก็ร่วงลง จากนั้นตนถูกเงารัดคอ…จากนั้นเป็นอะไร ตายไปแล้วหรือ

“เจ้ายังไม่ตาย”

เสียงเบาดังขึ้นเหนือศีรษะหนิงอี้ เขาเงยหน้าขึ้น หรี่ตาลง ไม่เจอต้นตอของเสียง

เสียงนั้นเรียบนิ่งและเฉยชา “ที่ราบกระดูกไม่รับจิตวิญญาณของคนตาย…พูดอีกอย่างคือหากเจ้าตายแล้ว เจ้าจะมาที่นี่ไม่ได้”

“เจ้าเป็นใคร” หนิงอี้ปวดศีรษะ ในลานบ้านเมืองสันติ เขาได้ยินว่ามีคนตะโกน ‘ที่ราบกระดูก’…ดูท่านี่คงเป็นนามของขลุ่ยกระดูกจริงๆ

เสียงนั้นมีเจตนารมณ์ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ เอ่ยนิ่งๆ “ข้าคือเจ้าของคนก่อนของ ‘ที่ราบกระดูก’…เจ้าเรียกข้าว่า…ผู้ครองกระบี่ก็ได้”

ตอนที่เอ่ยคำสุดท้าย น้ำเสียงดูครุ่นคิดนานมาก

สุดท้ายเขาพูดคำว่าผู้ครองกระบี่ หนิงอี้ได้ยินความเศร้ารางๆ จากเสียงของเขา

“เจ้าไม่ได้ตาย แต่นางจะตายแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียงของผู้ครองกระบี่ ผิวทะเลสาบตรงหน้าหนิงอี้เริ่มละลาย หนิงอี้มองผ่านน้ำแข็งละลาย เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนเขาหมดสติ

เขาตกลงมาเรื่อยๆ กอดรัดกับเงา จากนั้นกัดไปคำหนึ่ง สุดท้ายกระแทกลงกลางแม่น้ำ เสียความเป็นตัวเองไป ผลักเด็กสาวออก พุ่งเข้าใส่เงานั้น เงาพยายามจะหนี แต่ก็ถูกตนไล่กัดกินไปทีละชิ้น

หนิงอี้หน้าซีดขาว

“เงานี่เป็นตัวอะไร”

ผู้ครองกระบี่เงียบไปชั่วครู่ “ความเป็นเทพสี่สิบสี่หยดที่สะสมในที่ราบกระดูกใช้ได้ไม่นานนัก ตอนนี้ใช้ไปสามสิบเอ็ดหยดแล้ว ยังเหลืออีกสิบสามหยด เวลาที่เหลือโดยประมาณไม่พอจะไขความสงสัยของเจ้า”

ผู้ครองกระบี่ชะงักไป ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ดังนั้น ข้าพูด เจ้าฟัง”

การต่อสู้บนผิวน้ำดำเนินมาถึงช่วงสำคัญที่สุดแล้ว จุดที่เงาถูกฉีกมีหมอกมากมายรวมเข้ามาใหม่ โครงกระดูกงอกใหม่ มันแทบจะเป็นอมตะ รับความเจ็บปวดจากการถูกหนิงอี้กัดกินทุกครั้งจนในที่สุดก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มเป็นบ้า ไม่ปล่อยตนไปเลย

ดังนั้นมันเลยสละกระดูกขาตนอีกครั้งเป็นราคาที่ต้องจ่าย พุ่งไปยังเด็กสาวที่จมลงก้นแม่น้ำไปเรื่อยๆ

เผยฝานกำลังหมดสติหลับลึก เส้นผมสยาย ใบหน้าซีดขาวและไร้ที่พึ่ง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หนิงอี้ดวงตาแดงคนนั้นเสียสติไปแล้ว เหลือแต่สัญชาตญาณการล่าสังหารเงา กัดกินกระดูกขาไปแล้วก็ไม่รีบร้อนตามเงาไป

ในที่สุดหนิงอี้ในที่ราบกระดูกก็เข้าใจความหมายของผู้ครองกระบี่

จิตตนหลุดมาที่นี่

และตอนนี้ เผยฝานในความเป็นจริง…เจอกับอันตรายถึงชีวิต

เงานั้นรวดเร็วมากเหมือนกับปลาว่ายน้ำ จะตามถึงตัวเด็กสาวที่จมลงแล้ว

“เงื่อนไขในการปลุกตื่นที่ราบกระดูก…ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสัมผัสพวกมันได้จริงๆ หรือไม่ ทั้งยังมีอันตราย” เสียงของผู้ครองกระบี่มีความชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง “เพื่อกันให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องโดนลูกหลงไปด้วย รวมถึงการคงอยู่ของผู้ครองกระบี่ถูกพวกมันพบ ที่ราบกระดูกจึงดูไม่ต่างอะไรกับขลุ่ยกระดูกธรรมดา หากทำตามเงื่อนไขไม่ครบ เช่นนั้นร่างภาชนะจะคิดว่านี่เป็นความฝัน เป็นภาพมายาที่ตนสร้างขึ้น ข้าจะรอร่างภาชนะคนต่อไปปรากฏตัว”

ก้นแม้น้ำใหญ่ เงานั้นจะกระโจนใส่ตัวเผยฝานแล้ว นิ้วมือโครงกระดูกจะคว้าข้อเท้าสีขาวหิมะของเด็กสาว การกัดกร่อนรุนแรงจะแทรกซึมผ่านผิวหนัง

ผู้ครองกระบี่พูดเสียงเบา

“หยุด”

ทุกอย่างจึงหยุดลงตรงนี้

เวลาเหมือนหยุดนิ่ง กระแสลับในแม่น้ำยังคงไหลเชี่ยวกราก เวลาไม่ได้หยุดจริงๆ เพียงแค่หนิงอี้ เงารวมถึงเผยฝานตรงก้นแม่น้ำที่ถูกพลังมหาศาลปกคลุมยังคงหยุดนิ่ง

หนิงอี้รู้สึกได้ว่าในคลื่นน้ำเหมือนมีคนใช้พลังเทพมหาศาลหยุดนาฬิกาทรายที่กำลังไหลไว้

เขาโล่งอกเงียบๆ บนผิวน้ำ สายน้ำไหลย้อนกลับ รวมเป็นคนที่ไม่สูงใหญ่

“หนิงอี้ ความเป็นเทพของเจ้ามีน้อยมากจริงๆ…ที่ราบกระดูกกินผลึกความเป็นเทพไปสิบก้อนที่สั่งสมในกาย สร้างเป็นห้วงจิตสำนึกตอนนี้ขึ้น” ผู้ครองกระบี่รวมร่างว่างเปล่าขึ้น เสียงเขายังคงลอยล่อง ดังมาจากแปดทิศ “ทุกอย่างเหมือนที่เจ้าเห็น วงโคจรทุกอย่างต้องอาศัยความเป็นเทพ…จากนี้เราจะมีเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ เจ้าเลือกที่จะเมินคำพูดข้าได้ เช่นนั้นจิตสำนึกของเจ้าจะดำดิ่งไปตลอดกาล…เจ้าอาจจะไม่ตายแต่จะถูกพวกมันพัวพัน เจ้าจะอยู่ไม่สู้ตาย ส่วนเด็กสาวที่เจ้าห่วงใยคนนั้นต้องตายแน่นอน”

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก มองผู้ครองกระบี่

“ภาพที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้…”

“เจ้าเองก็ผ่านภาพนั้นมาแล้ว…”

ผู้ครองกระบี่พูดเสียงเบา “เจ้าแค่ต้องรู้ว่าทุกอย่างนี้…สร้างโดยพวกมัน”

หนิงอี้รู้ว่าผู้ครองกระบี่พูดถึงอะไร ม่านฟ้าถล่ม น้ำทะเลพลิกกลับ โลกจะดับสูญ แต่เขาท่องคัมภีร์เต๋าบนเขาสู่ซาน ไม่เคยอ่านเจอบันทึกเกี่ยวกับต้นไม้ยักษ์นั้นเลย…ก็เหมือนที่ผู้ครองกระบี่พูดในตอนแรก เขาเพียงแค่คิดว่าเป็นภาพหลอนของตน

เขาถามอีกครั้ง “พวกมัน…เป็นใคร”

ผู้ครองกระบี่ตอบกระชับมาก “พวกมัน…คือแสงสว่างและไม่ใช่แสงสว่าง”

หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย

“กระบี่นั้นสุดยอดมาก แต่น่าเสียดายที่มีเพียงตัวกระบี่ ไม่มีแกนกระบี่” เสียงของผู้ครองกระบี่ปลงอนิจจัง

หนิงอี้รู้ว่าสิ่งนั้นที่เขาพูดถึงคืออะไร…ในคลื่นน้ำ ใบร่มฉีกขาด เหลือเพียงด้ามยาว คมกระบี่ซ่อนในนั้น ลอยขึ้นๆ ลงๆ ความเป็นเทพไม่ปกคลุมของตาย

“หนิงอี้”

ผู้ครองกระบี่พูดอย่างนุ่มนวล “หากให้โชควาสนาเจ้าสักครั้ง เจ้าจะมีโอกาสคว้ากระบี่ที่หนักที่สุดในโลก…เจ้ายินดีหรือไม่ หากยินดีก็เชิญคว้ากระบี่นั้น”

หนิงอี้รู้สึกถึงความอบอุ่นปกคลุมตัวเอง

เวลาในห้วงจิตสำนึกเหมือนพายุทราย เริ่มแตกสลาย

ร่างของผู้ครองกระบี่เริ่มแตกสลายไปอย่างรวดเร็วเพราะความเป็นเทพหมดลง

หนิงอี้ลนลานเล็กน้อย เขารู้สึกว่าดินใต้ฝ่าเท้าเหมือนกับแผ่นดินแยก ตัวเขาเริ่มตกลงไป ทุกอย่างเริ่มพังทลาย

เวลากลับมาดังเดิม

เด็กหนุ่มที่เคี้ยวเศษกระดูกอยู่ตรงก้นแม่น้ำพลันได้สติกลับมา พินิจเหมันต์ที่ใบร่มฉีกขาดลอยอยู่ข้างมือเขา

เงานั้นกระโจนใส่ร่างของเผยฝานแล้ว หมอกดำสลายไป เผยใบหน้าดุร้าย แยกเขี้ยวยักษ์จะกัดที่ใบหน้ารูปไข่ของเผยฝาน

หนิงอี้กำพินิจเหมันต์

คำพูดของผู้ครองกระบี่นั้นที่บอกว่ากระบี่ร่มมีเพียงตัวกระบี่ ไม่มีแกนกระบี่ ตอนนี้เริ่มสั่นไหวถี่ขึ้น

ขลุ่ยกระดูกสีขาวที่ลอยอยู่ตรงคอหนิงอี้หลุดออกมา กลายเป็นลำแสงสีขาวนับไม่ถ้วนระเบิดกระจายออก ใช้ตัวกระบี่เป็นจุดสำคัญ ก่อนจะไหลเข้าในตัวกระบี่เหมือนปลาว่ายน้ำ

ดังนั้น…พินิจเหมันต์จึงมีแกนกระบี่แล้ว

“เชิญออกกระบี่เถอะ”

เสียงลอยล่องนั้นในทะเลวิญญาณเหมือนพูดออกมา

หนิงอี้กำพินิจเหมันต์ เขารู้สึกว่ากระบี่นี้หนักขึ้นมาก

แต่เขาเงื้อกระบี่ได้ ฟันได้

ดังนั้นเขาจึงเงื้อพินิจเหมันต์ ฟันลงไปหนึ่งกระบี่

แม่น้ำไหลหลากถูกกระบี่ฟันเป็นสองส่วน น้ำในแม่น้ำลอยขึ้น กระแทกใส่สองข้างภูเขา เสียงดังสนั่นหูกึกก้องไม่ขาดสาย เหมือนกระดูกมังกรแตกหัก

หนิงอี้หน้าซีดขาว

กระบี่นั้นผ่านไปที่ใด หินภูเขาจะพังทลาย น้ำในแม่น้ำถูกฟันเป็นร่องแคบยาวสายหนึ่ง ปราณกระบี่กระจายออกไป และยังหมุนม้วนไปเรื่อยๆ น้ำในแม่น้ำที่พลิกกลับลงมากระแทกใส่ความว่างเปล่า ถูกปราณกระบี่เผา จากนั้นกลายเป็นอากาศธาตุ

เงานั้นยื้อไว้ได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ก็ถูกปราณกระบี่ฟันสลายเป็นความว่างเปล่า

หลังจบหนึ่งกระบี่ ฟ้าดินเงียบสงัด

หนิงอี้หายใจกระชั้นขึ้น

เขารู้สึกว่าน้ำหนักพวกนั้นที่เพิ่มขึ้นในพินิจเหมันต์กลับมาเป็นปกติแล้ว

แม่น้ำไหลลงมาอีกครั้ง จมเด็กหนุ่มกับเด็กสาว หนิงอี้คว้าพินิจเหมันต์ไว้ ว่ายเข้าไปกอดเด็กสาว จากนั้นว่ายลอยขึ้นผิวน้ำอย่างยากลำบาก

………………………