ตอนที่ 10 ปีนี้มีเหตุเภทภัยมากมาย (rewrite)
ศีรษะของทั้งสองคนลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งจับด้ามพินิจเหมันต์ สองแขนลากแขนของเด็กสาว ตั้งพินิจเหมันต์ขวางไว้ข้างหน้า หลังต้านผิวน้ำ พยายามพาเด็กสาวว่ายไปริมลำธารหุบเขา
ข้างหลังผนึกของหลังภูเขาเป็นเส้นขอบฟ้าจริงๆ แต่เส้นขอบฟ้านี้ต่างกับที่ลอยอยู่หลังยันต์คำสั่งอย่างชัดเจน
เส้นขอบฟ้านี้ตัดจากบนลงล่าง ลึกไม่เห็นก้น หนิงอี้เงยหน้ามองไปรอบๆ แทบจะหาที่ที่ให้ตนขึ้นฝั่งไม่ได้เลย หินภูเขาเป็นตะปุ่มตะป่ำ
เขาหน้าซีดขาว ไร้เรี่ยวแรง ตอนต่อสู้กับเงานั้นขณะตกลงมาไม่รู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้รู้สึกกระดูกแตกละเอียด ลากเผยฝานว่ายทวนน้ำ รวมแสงดาราได้ยากมาก แทบจะถูกพัดไปอย่างหมดแรง
ขลุ่ยกระดูกที่ห้อยตรงหน้าอกหายไปแล้ว
พินิจเหมันต์ในมือหนิงอี้ พลังนั้นที่พลันเพิ่มขึ้นมาเมื่อครู่ เมื่อฟันกระบี่ออกไปก็เหมือนหายไปทั้งหมด กลับมาอยู่ในความว่างเปล่าอีกครั้ง…
เขารู้สึกปวดร้าวตรงระหว่างคิ้ว เหมือนใช้จิตวิญญาณมากเกินไป
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก นึกไปถึงภาพนั้น…เงาขอบเขตหลังที่ลอบโจมตีเจ้าลัทธิ ‘ผู้ครองกระบี่’ ไม่ได้บอกตนว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่วัดจากกำลังรบและการกัดกร่อนที่มาพร้อมกับเงานั้น สามารถบดขยี้ผู้บำเพ็ญขอบเขตเดียวกันส่วนใหญ่ได้
กลับถูกกระบี่ฟันสลายไปเช่นนี้…หนิงอี้ที่เห็นภาพพินิจเหมันต์ผ่าแม่น้ำกับตา ถึงขั้นไม่สงสัยเลยสักนิด ต่อให้เป็นการคงอยู่ขอบเขตที่สิบ หากกล้าขวางหน้ากระบี่เมื่อครู่ก็จะสลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเช่นกัน
‘กระบี่นั้นสุดยอดมาก แต่น่าเสียดายที่มีเพียงตัวกระบี่ ไม่มีแกนกระบี่’
เขานึกถึงคำพูดนั้นของผู้ครองกระบี่
ขลุ่ยกระดูกค่อยๆ หายไป ใบไม้กระดูกสีขาวที่มีระดับสูงยิ่งและทนทาน…หนิงอี้เห็นมันแตกสลายกับตา ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาว ไหลเข้าไปในพินิจเหมันต์เหมือนกับปลาเวียนว่าย นี่คือแกนกระบี่รึ
ที่ราบกระดูก…เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยื่นนิ้วมือขึ้นมากดตรงระหว่างคิ้วตัวเอง ในจิตวิญญาณ เหมือนจะเชื่อมต่อกับขลุ่ยกระดูกนั้นรางๆ แกนกระบี่นี้แนบกับพินิจเหมันต์ ขอแค่ตนคิดก็จะหลุดออกมาได้ กลับไปเป็นใบไม้สีขาวห้อยตรงหน้าอกตนอย่างสงบนิ่ง
หนิงอี้ลากเผยฝานอย่างยากลำบาก สองคนไหลไปตามคลื่นผิวน้ำ เขาพบว่าก้นภูเขาหุบเหวนี้ แสงดาราเบาบางมาก แทบจะรวมกันดูดซับพลังฟ้าดินไม่ได้เลย หากให้เขาฟื้นแสงดาราอีกเล็กน้อย อย่างน้อยก็ใช้วิชากระบี่บินดันตนขึ้นได้
จะขึ้นไปอย่างไร
หนิงอี้เงยหน้ามองเส้นยาวสีดำมืดบนฟ้า
เขาฝืนยิ้ม หยิกๆ ใบหน้ารูปไข่ของเด็กสาว “นี่ เจ้า เส้นขอบฟ้า…ตอนแรกคิดว่างดงามมาก แต่กลับไม่น่ามองเลยสักนิด”
แน่นอนว่าไม่มีการโต้ตอบ
เด็กสาวหลับตา หันหน้าไปทางเส้นขอบฟ้าด้านบน หลับอย่างสงบและน่ามอง
นางยังหมดสติ หลังถูกเงานั้นกระแทก สีหน้าของเด็กสาวก็ดูป่วยมาก ตรงหน้าผากที่ขาวเนียนดั่งดอกบัว ‘กระบี่ซ่อน’ เหมือนดอกพุทราแดงนั้นหมุนวนช้าๆ หนิงอี้กอดเผยฝานเหมือนกอดเตาหลอมเล็ก เขาไม่กล้าปล่อยมือ ลอยอยู่บนผิวน้ำเช่นนี้ อาภรณ์เปียกชุ่ม หนักเหมือนเหล็ก แม่น้ำเย็นจนทะลุกระดูก สองคนลอยขึ้นๆ ลงๆ กอดกัน ดูให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวร่อนเร่พเนจรเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าท่าทีของเด็กสาวที่เงยหน้าหลับตาเหมือนคนงามหลับใหล หนิงอี้เหมือนเสาไม้ที่ใช้เสริมให้โดดเด่นมากกว่า ดูเหม่อลอยและเฉยชา
เด็กสาวป่วยใบหน้าแดงเรื่อ หนิงอี้หน้าซีดขาว แขนขาถูกน้ำพัด แผ่นหลังชาไร้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งเกาะ กอดเด็กสาวไว้ ชุดคลุมดำส่วนที่แนบชิดกับเด็กสาวถูกอบจนแห้งไปเล็กน้อย
ชุดคลุมเปียกแนบติดผิวยิ่ง ความอุ่นถูกพรากไปไม่หยุด…
หนิงอี้สติพร่าเลือนเล็กน้อย ทั้งตัวทุกข์ระทม เขาตะโกนไปหลายสิบครั้ง ผู้ครองกระบี่ในความคิดไม่ตอบกลับอีก มีโอกาสสูงที่ความเป็นเทพหมดลง หลังจากตนคว้ากระบี่นั้น เสียงที่ดูอบอุ่นและใกล้ชิดก็เงียบหายไป
สมควรตาย…ที่นี่ไม่มีแสงดาราเลยสักนิด…
หนิงอี้ยืนหยัดไม่ไหว อยากจะหลับตาลง…
เขาไม่รู้ว่าตนจะยืนหยัดได้นานเท่าไร จะยื้อไว้จนพวกศิษย์พี่หญิงพบที่นี่หรือไม่…
เจ้าลัทธิหนุ่มแห่งเทือกเขาประจิมคนนั้น…ไม่นานจะถูกสาวกของเขาพบ ถึงตอนนั้นท่านพันกรจะรู้ว่าตนตกลงในผนึกหลังภูเขา
แต่หลังจากนั้นล่ะ
ยันต์คำสั่งของลู่เซิ่งยังอยู่ ต่อให้เป็นพันกรก็ทำลายผนึกไม่ได้
หนิงอี้นึกถึงขลุ่ยกระดูกที่ทำลายผนึกได้
เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก กำพินิจเหมันต์ ตะโกนออกไปเสียงต่ำ “เฮ้ย ช่วยหน่อยได้หรือไม่”
ไม่มีการตอบรับ
“ข้าเชื่อว่าเจ้ารับรู้…” หนิงอี้ยิ้มด้วยความโกรธ กัดฟันพูด “ฟังให้ดี ข้าจะตายแล้ว เจ้าจะให้ข้าไปช่วยโลกไม่ใช่รึ ช่วยพาข้าไปที่ที่อบอุ่นได้หรือไม่”
ก็ยังไม่มีการตอบรับ
หนิงอี้หลับตาลงยอมรับชะตาชีวิต ถอนหายใจ
ตายก็ตาย
นี่เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่หนิงอี้จะหลับตาลง
……
สถานการณ์หลังภูเขาวุ่นวายมาก
ท่านเจ้าลัทธินั่งบนหินใหญ่ อาภรณ์กระเซอะกระเซิง หน้าผากกับหลังศีรษะแตกเป็นคราบเลือด มุมปากยังมีสีแดงที่เช็ดไม่สะอาดเหลืออยู่ เจ้าลัทธิเทือกเขาประจิมทุกรุ่นมีฐานะสูงส่ง แต่ราคาต้องจ่ายคือฝึกบำเพ็ญไม่ได้ การลอบสังหารนี้ทำให้เจ้าลัทธิหนุ่มที่รับตำแหน่งไม่ถึงปีคนนี้บาดเจ็บไม่น้อย นักพรตชุดคลุมหยาบรีบมาถึงที่เกิดเหตุ เห็นบาดแผลของเจ้าลัทธิแล้วก็คุกเข่ากันหมด ผู้มีอิทธิพลในสำนักเต๋าหลายคนรีบมารักษาแผลให้เฉินอี้
โจวโหยวมาถึง เขาขมวดคิ้ว หลังภูเขามีร่องรอยเละเทะ มีคนประมือกันที่นี่ เกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้น เขารู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นเคยของหนิงอี้ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ฝ่ายที่ได้เปรียบ
มีคนเคยทะลวงพลังที่นี่ ทะลวงไปขอบเขตหลัง ไม่ได้ชักช้ายืดยาดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าวางแผนมานาน
โจวโหยวเจอหนิงอี้เมื่อหนึ่งปีก่อน เด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ แม้จะเป็นผู้เป็นอมตะกลับชาติมาเกิด หรือเทพเจ้าคืนชีพก็ไม่มีทางทะลวงขอบเขตหลังในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้
คนที่ทะลวงขอบเขตหลังนั้นไม่รู้เป็นใคร ไม่ได้ไปจากที่นี่ กลิ่นอายของพันธนาการปลดผนึกออก ตอนนี้มีราชันดาราแห่งเขาสู่ซานมารวมกันหลายท่าน ไม่ว่าต้นไม้ใบหญ้าต้องลมใดๆ ก็ไม่สามารถหลุดรอดหูตาของผู้มีอิทธิพลพวกนี้ไปได้
กลิ่นอายของหนิงอี้หายไปเช่นกัน…
ราชันดาราหลายคนที่มาถึงพบความผิดปกติของที่นี่เหมือนโจวโหยว นอกจากเจ้าลัทธิที่อยู่หลังภูเขาแล้ว กลิ่นอายที่เหลือหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกเขามองหน้ากัน ก่อนจะมองไปที่ยันต์คำสั่งนอกเส้นขอบฟ้าหลังภูเขา
ยันต์ที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานวางไว้ ลอยอยู่หน้าเส้นขอบฟ้า ไม่ได้เปล่งแสงสว่างอะไร ทั้งนอกและในธรรมดาเก่าแก่ ขยับไปตามลมเบาๆ ดูไม่มีอานุภาพอะไรมากนัก
แต่ผู้มีอิทธิพลหลายท่านที่บรรลุถึงราชันดารา ตอนที่มองยันต์นั้นล้วนมีสีหน้าจริงจัง หวาดหวั่นและยังเกรงกลัวอยู่บ้าง
นักพรตชุดคลุมหยาบหลังภูเขาเริ่มทำงาน มีคนนั่งย่อตัวลง ใช้ตำราลับของสำนักเต๋าเก็บคราบเลือดบนพื้นมา มีของท่านเจ้าลัทธิ และมีของมือสังหารนั้น
นกกระจอกแดงสยายปีกบินบนฟ้าสูง ถึงรู้ว่าฝนที่โหมกระหน่ำลงมาเหมือนถูกหลังภูเขาบังไว้นั้น ความจริงแล้วถูกยันต์คำสั่งของบรรพจารย์ลู่เซิ่งนั้นขวางไว้ ยันต์เก่าแก่ที่ลอยห่างจากพื้นสามฉื่อแผ่อานุภาพบางๆ ออกมา ปกคลุมทั้งหลังภูเขา ราวกระโจมคลุมไว้ ราวชามใหญ่พลิกคว่ำ ฝนเข้ามาไม่ได้แม้แต่นิด
เฉินอี้พูดเสียงเบา
“ข้าถูกลอบสังหารที่หลังภูเขา…มือสังหารไม่มีใครรู้จัก เขาไม่ได้เผยหน้า แต่ศักยภาพดูถูกไม่ได้เลย”
เจ้าลัทธิเงียบไปเหมือนนึกอะไรได้ ใบหน้าขาวซีด หลังตัดสินใจได้ก็กัดฟันพูด “มือสังหารนั้นมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา…เขาใช้ตราปราชญ์เล็กของสำนักเต๋าเราผนึกมิติ”
เมื่อสิ้นคำพูด โดยรอบต่างตื่นตกใจ
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบบางคนได้ยินคำพูดนี้เหมือนถูกค้อนทุบแรงๆ ที่ก้นบึ้งหัวใจ ตื่นตกใจอย่างยิ่ง เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่นั่งบนหินใหญ่หลังภูเขา
เฉินอี้ถอนหายใจ ก่อนพูดเสียงเบา “ข้ามั่นใจ ยืนยัน อีกทั้งจากนี้จะไม่ปฏิเสธด้วย…เพราะนี่คือความจริงที่เกิดขึ้น แม้จะเสียหน้าสำนักเต๋า แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับภายในของพวกเรา”
โจวโหยวหรี่ตาลง เขายกแขนขึ้นข้างหนึ่ง นกกระจอกแดงที่ทะยานลงมาจากฟ้าสูงเกาะบนแขนอย่างมั่นคง กระโดดไปบนบ่าก่อนพูดกระซิบ
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบที่เพิ่งลุกขึ้นคุกเข่าลงอีกครั้ง
สำนักเต๋าวุ่นจนมือเท้าพันกันไปหมด
ราชันดาราแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์หลายคนไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลาย พวกเขาเพ่งมองคนหนึ่ง
สตรีที่มาด้วยร่างจริงคนนั้นมีใบหน้าเรียบนิ่ง กลิ่นอายชั่วร้ายตรงระหว่างคิ้วกลับควบแน่นเหมือนของจริง
ราชันดาราพันกรยื่นมือบางขาวเนียนนุ่มออกมาข้างหนึ่ง ปัดๆ ละอองฝนปรอยบนบ่าของเสื้อคลุมใหญ่สีขาวดำ นางมองเฉินอี้พลางพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
“หนิงอี้ล่ะ”
เฉินอี้ได้ยินดังนั้นแล้วก็หน้าซีดขาวกว่าเดิม เขาถอนหายใจเบาในใจ จากนั้นพูดอย่างยากลำบาก
“หากไม่ได้หนิงอี้ออกมือ ข้าคงตายไปแล้ว”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มองยันต์หลังภูเขา ใบหน้าขาวซีด พูดพึมพำ “สุดท้าย…หนิงอี้กับแม่นางเผยตกไปข้างหลังยันต์นั่น และยังมีมือสังหารนั่น…ก็ตกลงไปพร้อมกัน”
ภายในใจเฉินอี้มีคำว่ามีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดีขึ้นมา
เขาพลันได้ยินคำว่า ‘ดี’ เบาๆ
คำว่าดีนี้มีกลิ่นอายชั่วร้ายแหบแห้งเสี้ยวหนึ่ง
“ปีนี้มีเหตุเภทภัยมากมาย โลกไม่ยุติธรรม”
พันกรเลิกคิ้วขึ้น นางเดินมายังยันต์หลังภูเขา ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง แสงดาราวนเวียน ฝ่ามือขาวดั่งหยกยื่นเข้าไปหนึ่งฉื่อ สายฟ้ามากมายพุ่งมาจากหลังภูเขา พันรอบเหมือนโซ่ เข้าไปไม่ได้อีก
นางดึงมือกลับมาช้าๆ มองสายฟ้าที่ไหลเวียนในมือตนอย่างเฉยชา พลังบำเพ็ญของบรรพจารย์สูงเกินไป ต่อให้เป็นตนในตอนนี้ก็ทำลายผนึกหลังภูเขาไม่ได้
“หนิงอี้กับเด็กตระกูลเผยตกลงไปในหลังภูเขาพร้อมกับมือสังหารขอบเขตหลังนั่น” พันกรหมุนตัวกลับมา นางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ “ยังไม่รู้ตัวมือสังหารแน่ชัด หากหนิงอี้กับเจ้าเด็กนั่นเป็นอะไรไป พวกเจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด…วันนี้ก็อยู่ที่นี่เถอะ”
………………………..