บทที่ 10 นางจะไม่เบื่อตายก่อนเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 10 นางจะไม่เบื่อตายก่อนเหรอ?

อาซือมองไปที่น้องชาย พลันได้ยินน้ำเสียงกังวลของพี่ชายดังขึ้น “น้องสาว เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน ท่านแม่ ข้าเองก็ต้องการดูน้องชายด้วยเช่นกัน!”

เมื่อเห็นลูกชายคนโตวิ่งเข้ามา นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางช้อนที่กำลังป้อนนมลงและอุ้มเด็กทารกให้พวกเขาดู

“ทำไมน้องชายอัปลักษณ์จัง…”

อาจื้อพยายามอดทนไม่บ่นออกมาแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้

เหยาซูอดหัวเราะไม่ได้ “ซานเป่ายังเด็กอยู่ รอน้องโตอีกหน่อยเขาก็จะหล่อเหลาเช่นเดียวกับเจ้า”

อาซือพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “น้องชายน่ารักมาก”

อาซือขยับเข้ามาใกล้ข้างเตียง มองน้องชายแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมน้องถึงชื่อซานเป่าละ?”

เหยาซูตกตะลึงชั่วครู่ก่อนจะอธิบายต่อว่า “ซานเป่าเป็นชื่อเล่นหมายถึงสมบัติล้ำค่าของแม่”

อาซือพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “ใช่แล้ว น้องชายเป็นสมบัติล้ำค่า ต่อไปอาซือจะตั้งใจทำงานเลี้ยงดูน้องชายให้ดี”

อาจื้อสายหน้า “ไม่ใช่สิ น้องสาว ข้าต่างหากที่ควรตั้งใจทำงานเลี้ยงดูเจ้าและน้องชาย”

เมื่อมองไปที่เด็กทั้งสอง จิตใจของเหยาซูพลันอ่อนยวบ เด็กสองคนนี้ทำงานหนักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

หญิงสาวคิดว่าในเมื่อตนตั้งชื่อให้กับตัวร้ายคนที่สามนี้แล้ว ก็ควรตั้งชื่อให้กับเด็กทั้งสองคนนี้ด้วย

“อาจื้อกับอาซือก็เป็นสมบัติล้ำค่าของแม่เช่นกัน ต่อไปแม่จะเรียกพวกเจ้าว่า ต้าเป่ากับเอ้อเป่า ดีหรือไม่?”

อาซือยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจได้ นางรู้เพียงว่าในสายตาของท่านแม่นางเองก็เป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน เด็กน้อยจึงพยักหน้าอย่างมีความสุข

อาจื้อรู้สึกถึงความอบอุ่นและความห่วงใยในคำพูดของมารดา

“ดี! ต่อไปข้าจะเรียกตัวเองว่าต้าเป่า และอาซือจะเป็นเอ้อเป่า!”

เขาหันศีรษะไปพูดกับน้องสาวของตนว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นสมบัติของท่านแม่”

เหยาซูยิ้มแล้วเอ่ยเรียกลูกสาวว่า “เอ้อเป่า”

สาวน้อยยิ้มเขินอายจนก้มหน้าลง

เหยาซูเปลี่ยนท่าทางอุ้มซานเป่าและกล่อมให้เขานอนหลับ พลางถามลูกทั้งสองอย่างแผ่วเบา “เจ้าสองคน ไหนเล่าให้แม่มาฟังหน่อยว่าวันนี้พวกเจ้าไปเที่ยวเล่นที่ใดมา?”

หลินซือยืดคอเพื่อมองน้องชายที่กำลังนอนหลับ พลางกระซิบบอกว่า “ไปจับตั๊กแตนกับพวกพี่ ๆ แล้วเอามาทอดกินเจ้าค่ะ…”

ในขณะที่แม่ลูกกำลังคุยกัน แม่เฒ่าเหยาก็เดินเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหาร นางได้เห็นลูกสาวและหลานสาวกำลังคุยกันอย่างอ่อนโยน ส่วนหลานชายก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง ใบหน้าของหลินจื้อเผยรอยยิ้มออกมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขและพึงพอใจ

หญิงชราสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อครั้งก่อนหลานสาวของนางนั้นมีความเหินห่างจากลูกสาวของตน แต่ตอนนี้พวกนางเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น…

แม่เฒ่าเหยากระแอมเบา ๆ แล้วพูดหยอกล้อว่า “อาซือกับอาจื้อรีบไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ญาติผู้พี่ของเจ้าจะแย่งกินจนหมด”

พูดจบนางก็วางอาหารลงบนโต๊ะเล็ก ๆ และจัดวางทีละจาน

เด็กทั้งสองเห็นแม่ตัวเองวางน้องชายลงและเตรียมตัวจะกินข้าว จึงตอบรับท่านยายอย่างว่าง่ายและหันหลังวิ่งออกไปด้วยกัน

เหยาซูมองไปที่เงาของเด็กน้อยและเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าได้ตั้งชื่อให้อาจื้อและอาซือว่า ต้าเป่า เอ้อเป่า”

แม่เฒ่าเหยาพยักหน้าเบา ๆ พลางทอดถอนใจ “ต้าเป่า เอ้อเป่าล้วนรู้ความ ตอนที่แม่เห็นเอ้อเป่าทำให้นึกถึงลูกตอนยังเป็นเด็ก…ในอนาคตเจ้าควรดูแลนางให้มากขึ้น ความผูกพันระหว่างแม่และลูกสาวควรจะใกล้ชิดกันมากที่สุด”

คำพูดในวันนี้ของนางแฝงไว้ด้วยความคิดที่จะเตือนสติบุตรสาวของตนเอง

เหยาซูเข้าใจถึงความหมายในคำพูดของมารดาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ท่านแม่พูดถูก ระหว่างแม่และบุตรสาวไม่ควรห่างเหินกัน”

ในที่สุดแม่เฒ่าเหยาก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา

หญิงชรากลัวว่าลูกสาวจะเหงา จึงจัดสำรับมาสองที่และคิดที่จะนั่งกินข้าวกับลูกสาว

เหยาซูมองเห็นน้ำแกงปลาและไข่ต้ม นางจึงพูดติดตลกว่า “ตลอดทั้งวันได้กินทั้งเนื้อ ไก่ และไข่ อย่าปล่อยให้ครอบครัวของเราต้องยากจนเพราะข้าเลยท่านแม่”

แม่เฒ่าเหยาจ้องมองลูกสาวอย่างโกรธเคือง “จะจนได้อย่างไร? กิจการผ้าของครอบครัวเรายังทำอยู่ และต่อให้แม่ต้องทำไก่และตุ๋นปลาให้เจ้ากินทุกวัน ข้าก็สามารถทำให้ได้ตราบใดที่เจ้าพอใจ” พูดจบนางก็มองไปที่ลูกสาวอย่างแปลกใจ

“เจ้าลืมไปแล้วหรือ? เมื่อก่อนบรรพบุรุษของเราเคยรับราชการในราชสำนัก แม้ภายหลังจะลาออกกลับมายังบ้านเกิด แต่ยังคงมีการติดต่อและรับข่าวสารบางอย่าง หลังจากฟังคำแนะนำสุดท้ายก็ได้ตั้งร้านผ้าขึ้น”

เหยาซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในหนังสือนิยายได้อธิบายเกี่ยวกับตระกูลเหยาไว้น้อยมากและนางอ่านมันผ่าน ๆ เท่านั้น

หลังจากที่นางเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ นางได้ใส่ใจตระกูลเหยามากขึ้น ไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลเหยาจะทำการค้าขาย ให้เช่าที่ดินในหมู่บ้าน และบรรพบุรุษยังเคยเป็นข้าราชการอีกด้วย

เหยาซูได้สติขึ้นมาและพูดออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ใช่ว่าข้าจะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วซะที่ไหน?”

เหยาซูเห็นดวงตาของมารดาหม่นลงอีกครั้ง จึงเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วตอนนี้กิจการผ้าของบ้านเราเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินลูกสาวถาม แม่เฒ่าเหยาจึงพูด “พี่ชายใหญ่ของเจ้ารับช่วงต่อเมื่อ 2 ปีก่อน ส่วนพ่อเจ้ายังคงทำงานในหมู่บ้าน เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่ชายของเจ้าเพิ่งสั่งผ้าจากเจียงหนานมา บอกว่าผ้านี้ได้รับความนิยมจากทางทิศใต้ ตอนนี้วางขายที่ร้านในเมือง รายได้ค่อนข้างดีทีเดียว”

“ท่านแม่ ข้าอยากไปดูที่ร้านเหมือนกัน…”

ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ แม่เฒ่าเหยาก็รีบกล่าวตัดบท “ท่านหมอเพิ่งบอกว่าเจ้าจะต้องพักฟื้น! ตอนนี้ต้องดูแลสุขภาพให้ดี วันหน้าค่อยว่ากัน!”

เหยาซูมองมารดาของตัวเองด้วยความน้อยใจ เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่”

หญิงชราตกตะลึง ลูกสาวที่นางตามใจมาตั้งแต่เด็กหากอยากได้อะไรก็จะต้องเอาให้ได้ หากไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมเลิกรา คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเชื่อฟังขนาดนี้ พอได้สติจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ที่แม่ทำก็เพื่อลูกเช่นกัน…สตรีที่คลอดบุตร แต่ละครั้งล้วนผ่านประตูผีมาแล้ว”

เหยาซูรีบเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ได้โปรดวางใจเถอะ!”

สองแม่ลูกกินข้าวไปพลางพูดคุยไปพลางถึงสถานการณ์ของครอบครัวหลังจากที่เหยาซูได้แต่งงานออกไป

“เมื่อ 2 ปีก่อนพี่รองของเจ้าสามารถสอบผ่านการทดสอบได้ ท่านผู้ตรวจการเมืองชื่นชมเขามาก จึงให้เขาทำงานอยู่ข้างกาย…”

หลังจากกินข้าวเสร็จเหยาซูก็อยากจะช่วยเก็บจานและตะเกียบ แต่ถูกแม่เฒ่าเหยาห้ามเอาไว้เสียก่อน

แม่เฒ่าเหยาเอ่ยขึ้นมาว่า “นอนได้แล้ว! พึ่งจะพูดไปเองว่าดูแลตัวเองให้ดี วันหน้าแม่จะยกอาหารมาให้เจ้ากินเองไม่ต้องเดินไปไหน”

เหยาซูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกราวกับหัวพองโต

จะไม่ให้ลงจากเตียงเลยเหรอ? ถ้าเช่นนั้นนางจะไม่เบื่อตายก่อนเหรอ?

แม้ว่านางจะคิดเช่นนั้น แต่นางก็ยังคงทำตามที่มารดาสั่ง ถ้าทำอะไรอย่างระมัดระวังก็คงไม่น่าเบื่อเท่าใดหรอก

เด็ก ๆ ต้องนอนให้เต็มที่ กินให้อิ่มท้อง ดังนั้นเหยาซูจึงนอนและกินเหมือนกับพวกเขาเช่นกัน มิฉะนั้นนางจะไม่มีเวลานอนเพียงพออย่างแน่นอน

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พักฟื้นร่างกายก่อนนะ จะได้มีแรงวางแผนอะไรต่อไป

ไหหม่า(海馬)