ตอนที่ 50 วาจาหลังเมาสุรา
สองคนจูงมือกันกลับบ้าน หลินซือเย่าดึงดันให้ซูสุ่ยเลี่ยนเข้าไปนอนพักยามบ่ายในห้องนอน เดิมคิดว่าจะไม่หลับ แต่พอตื่นมาก็ถึงกับตะวันตกดินแล้ว
นางนั่งพิงหัวเตียง ลูบหน้าผากตนเองอดพึมพำไม่ได้ว่า “นอนเก่งขึ้นทุกวันแล้วเนี่ย”
“ตื่นแล้ว?” หลินซือเย่าเพิ่งเข้ามาในโถงนั่งลงรินน้ำชาดื่ม ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องนอน จึงอมยิ้มถามขึ้น
“อืม อาเย่า เจ้ากำลังทำไรอยู่” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขาถอดเสื้อตัวนอกออก แขนเสื้อพับสูง เหมือนว่ากำลังทำงานอะไรสักอย่างมา
“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า พลางแย้มยกมุมปาก แต่ไม่ยอมบอกนางว่ากำลังทำอะไรกันแน่
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็รีบถามต่อทันที อยู่ร่วมกับเขามาสักพักแล้ว ย่อมเริ่มเข้าใจนิสัยเขาไม่น้อย ไม่ว่าเหตุอันใด ขอเพียงเขาไม่อยากพูดมาก ก็มักจะตอบแค่คำว่า “อืม”
ลุกขึ้นคลุมเสื้อตัวนอกเสร็จ อยู่ๆ ก็คิดถึงเสื้อตัวนอกหน้าหนาวที่กำลังจะเย็บขึ้นมา จึงถามออกไปว่า “อาเย่า ลายปักเสื้อตัวนอกนี่ เจ้ามีอะไรที่ชอบไหม”
นางไม่รู้ว่าเขาชอบลายอะไร ชุดใหม่ก่อนหน้าล้วนปักไปตามที่พี่ชายชาติก่อนของนางชอบ ตอนนี้สองคนเป็นสามีภรรยา ความชอบของกันและกันก็ควรจะค่อยๆ เรียนรู้และเก็บมาใส่ใจไม่ใช่หรือ
“ได้หมด” หลินซือเย่าดึงนางมานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดมวยผมที่ยุ่งๆ ให้นาง
“ได้หมด? ไม่มีชอบอะไรเป็นพิเศษหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนมองภาพเขาเลือนรางผ่านกระจกทองแดง
“ไม่มี” น่าจะหมายความว่าแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจลวดลายบนเสื้อผ้า ชุดที่เหมาะกับนักฆ่าที่สุดก็คือชุดรัดแนบกายสีดำเข้ม แม้ชุดที่ตัดพิเศษของหอเฟิงเหยาก็จะมีแค่ตราหอเฟิงเหยาบนหัวไหล่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เป็นรูปนกอินทรีทอง
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบหันกลับไปดึงมือหลินซือเย่ามากุมแน่น ความเยียบเย็นที่เปล่งรัศมีออกมาทำให้ใจนางสั่นไหวสับสน
“ข้าไม่เป็นไร” หลินซือเย่าโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดตน ค่อยๆ ลูบแผ่นหลังนางปลอบใจนางที่ต้องสั่นไหวเพราะตนเองอยู่ๆ รำลึกความหลังขึ้นมา
เรื่องพวกนี้ล้วนผ่านไปแล้ว เขาตอนนี้คือหลินซือเย่า เป็นอาเย่าของนาง ไม่ใช่เทพสังหารซือหลิงที่ทุกคนในยุทธภพต่างหวาดกลัวอีกแล้ว
แน่นอน เขาย่อมไม่ลืมหอเฟิงเหยา
อย่างไรที่นั่นก็เคยเป็นที่อาศัยเพียงแห่งเดียวของเขามาหลายสิบปี บุญคุณที่อดีตประมุขช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจดจำไม่ลืม การไล่ล่าสังหารของประมุขคนใหม่ เขาก็จดจำไม่ลืมเช่นกัน
หอเฟิงเหยาตอนนี้นับว่าหมดบุญคุณความแค้นกับเขาแล้ว เขาจะไม่กลับไปอีก แน่นอนหากเฟิงชิงหยายังไม่รับน้ำใจ ไม่ยอมปล่อยเขาไป เขาย่อมไม่ทนนิ่งเฉยอีก
ชีวิต ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว นับประสาอันใดกับการที่ชีวิตเขาตอนนี้เป็นของนาง
…..
“อาเย่า นี่คือ…” ซูสุ่ยเลี่ยนมองโต๊ะหินกลมที่เพิ่มมาใหม่ใต้ต้นอิงเถาทางทิศเหนือของลานบ้านอย่างตกตะลึง แผ่นโต๊ะสกัดมาจากศิลาชิงสือขนาดใหญ่มากชิ้นหนึ่งอย่างเรียบร้อย บนโต๊ะสลักเป็นกระดานหมากรุก รอบโต๊ะยังวางเก้าอี้หินกลมขนาดเท่ากันดูไม่เลวไว้อีกสี่ตัว
“นี่คือสาเหตุที่เจ้ายุ่งตลอดบ่ายวันนี้?” นางหรี่ตามมองเขาแอบเม้มปาก ถึงกับไม่ยอมบอกนาง!
“อยากให้เจ้าแปลกใจ” หลินซือเย่าเลิกคิ้ว ทำไมนางไม่แปลกใจ แต่กลับใส่อารมณ์ตนแทนเสียด้วย
“อ้อ ดูเจ้าสิ ฝ่ามือเสียดสีจนมีแต่ตุ่มน้ำพองขนาดนี้” เมื่อครู่ตอนเขาเข้ามาในห้อง นางกุมมือใหญ่ของเขาจึงได้พบ เพียงแต่กลิ่นไอเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาของเขาทำเอานางลืมเรื่องนี้ไป ตอนนี้มาเห็นโต๊ะหินกลมกับม้านั่งหินก็เลยนึกขึ้นมาได้
“ไม่เป็นอะไร” หลินซือเย่าชักมือกลับ โอบไหล่นางให้นั่งลงบนม้าหินที่ตนเองปูเสื่อสานไว้แล้ว “พวกเราคืนนี้ชมจันทร์ร่ำสุรากันตรงนี้”
“เพราะเหตุนี้จึงได้เร่งทำให้เสร็จในวันนี้หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงมือเขามาดูอย่างปวดใจ
“ย่อมไม่ใช่ วันที่ย้ายมาก็คิดไว้แล้ว เพียงแต่หาก้อนหินที่เหมาะๆ ไม่ได้สักที” หลินซือเย่าอมยิ้มมองนาง รู้สึกไม่อยากผละสายตาไปจากการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติของนางในตอนนี้
“มาขัดเจียรกันที่นี่หรือ” นางบ่นอย่างไม่พึงใจเบาๆ ตนเองนอนหลับเป็นตายหรือ? เขาทำเก้าอี้และโต๊ะหินนี่เสียงดังตึงตังในลานบ้าน นางถึงกับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“ไม่ใช่” หลินซือเย่าส่ายหน้า เห็นท่าทางนางก็รู้ว่านางคิดอะไร อธิบายว่า “เช้าเมื่อวาน พบที่ยอดเขาซิ่วเฟิง ย่อมต้องทำที่นั่น เพิ่งจะขนมาตั้งเท่านั้น” สองเช้าตอนออกไปฝึก กับบ่ายวันหนึ่งเต็มๆ ก็เพียงพอจะทำให้เขาทำโต๊ะศิลาชิงสือแข็งแรงชุดนี้เสร็จ
“ครั้งหน้าห้ามทำอย่างนี้อีกนะ มีของพวกนี้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่ว่าเจ้า…สรุป ห้ามทำอย่างนี้อีก…” นางสะอื้นลูบตุ่มน้ำพองบนฝ่ามือเขา ในใจก็ปวดปลาบแทบหลั่งน้ำตาออกมา
หลินซือเย่าถอนหายใจโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด หญิงโง่งม ถึงกับหลั่งน้ำตาให้กับตุ่มน้ำพองไม่กี่ตุ่มบนฝ่ามือเขาเช่นนี้ ดูท่าวันหน้าตนเองทำงานเสร็จ ยังต้องตรวจดูร่างกายตนเอง จะได้ไม่ทำให้นางต้องจับได้และหลั่งน้ำตาปวดใจเช่นนี้อีก
เขาอดเอี้ยวตัวไปจุมพิตซับน้ำตาที่หางตาของนางไม่ได้ ปลอบใจเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ สุ่ยเลี่ยน ของพวกนี้สำหรับข้าแล้วไม่เท่าไร” บาดเจ็บถึงชีวิตที่ยิ่งกว่านี้ก็เคยมาแล้ว แค่นี้จะสักเท่าไรกัน
“นั่นก็ไม่ได้” นางสำทับเขาอีกครั้งด้วยท่าทางโมโห “เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว” ตอนนี้เขาเป็นสามีนาง เป็นสวรรค์ที่พึ่งพิงในชีวิตนี้ของนาง นางไม่อนุญาตให้เขาไม่ใส่ใจร่างกายตนเองเช่นนี้
“ไม่เหมือนตรงไหน” เขายิ้มก้มลงถาม คิดอยากฟังจากปากนาง
“ไม่เหมือนแน่นอน…” นางคิดจะทุ่มเทความกล้าทั้งหมดพูดคำพูดก่อนหน้าออกมา แต่พอกวาดตามองเห็นสองตาเขามีแววยิ้มกริ่ม วาจาที่ยังไม่กล่าวก็เปลี่ยนเป็นกำปั้นทุบเข้าที่หน้าอกเข้าเต็มแรง
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าแอบขำพลางดึงมือนางมากุมไว้ แอบขโมยจุมพิตที่ริมฝีปากนาง เอ่ยเสนออย่างอ่อนโยนว่า “เด็กดี พวกเราควรเตรียมของสำหรับค่ำคืนนี้แล้วไหม”
พอเขากล่าวเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้รู้สึกตัวว่าพระอาทิตย์ลับหลังเขาไปทางตะวันตกแล้ว ตอนนี้ยามโพล้เพล้แล้ว ขอบฟ้าทางตะวันออกเริ่มมีพระจันทร์ดวงกลมเลือนรางออกมาแล้ว ท่ามกลางเมฆขาวกับแสงแดงของอาทิตย์ตก เหมือนจะมืดแต่ก็ไม่มืด เหมือนจะสว่างก็ไม่สว่าง
……
บนโต๊ะหินตัวใหม่มีเชิงเทียน กระถางธูป ขนมไหว้พระจันทร์ และผลไม้แห้งแต่ละอย่างวางไว้เตรียมบูชา
จุดธูปและเทียนแล้วก็เข้าสู่ค่ำคืนอันงดงามสงบเงียบ เห็นได้ชัดว่ายิ่งเงียบลงกว่าเดิม
หลินซือเย่านำที่ครอบเชิงเทียนทำจากไม้ไผ่สานปิดกระดาษบางคู่หนึ่งที่ซูสุ่ยเลี่ยนวางไว้ในห้องหนังสือออกมาเตรียมไว้แล้ว ยามนี้ค่อยๆ บรรจงครอบลงบนเชิงเทียนที่น้ำตาเทียนไหลหยดหลังต้องสายลม ให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก
“อาเย่า บัวลอยเสร็จแล้ว กินที่ไหนดี” ซูสุ่ยเลี่ยนในชุดกระโปรงบานรัดเอวสีม่วง ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว ส่งเสียงเรียกเขา
บัวลอยใส่พุทราแดงบดลูกกลมๆ เป็นสิ่งที่หลายวันก่อนซูสุ่ยเลี่ยนกลับมาจากในเมืองก็คิดไว้แล้วว่าจะทำให้เขากิน
เดิมคิดจะทำไส้งาดำ แต่น่าเสียดายที่หาซื้องาดำไม่ทัน ได้แต่หาเอาพุทราแดงสุกในครัวมาบดเป็นไส้แทน ผสมกับถั่วแดงบดที่ป้าเหลาให้มาวันก่อน ใส่น้ำตาลลงไปอีกนิด ไส้พุทราแดงบดหอมหวานก็ทำเสร็จ แป้งข้าวเหนียวก็เติมน้ำเย็นนวดให้กลายเป็นแป้งเหนียว ก่อนจะปั้นเป็นลูกบัวลอยก้อนกลม นางไม่เป็น แต่เคยเห็นพวกสาวใช้ปั้นกัน
หลินซือเย่าทำตามที่นางบอก ปั้นออกมาได้สามสี่ลูกก็เข้าใจในเคล็ดลับอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ปั้นแป้งบัวลอยทั้งหมดกับไส้ออกมาได้ห้าสิบแปดลูก ก้อนกลมไม่เบี้ยว รูปลักษณ์ภายนอกเป็นแบบบัวลอยสวยงามลูกเล็กเท่าๆ กัน
แสดงให้เห็นถึงอะไร? พรสวรรค์? ซูสุ่ยเลี่ยนรีบสะกดความตื่นตกใจและความเขินเอาไว้ พยายามตั้งสติแบ่งขนมถั่วแดงอีกครึ่งให้ป้าเหลาเพื่อแสดงความขอบคุณในความมีน้ำใจช่วยเหลือ จากนั้นในมุมที่หลินซือเย่ามองไม่เห็น ก็แอบหัวเราะว่า ดูท่านักฆ่าทำงานครัวขึ้นมาก็ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย
……
“ในเมื่อดื่มไม่เป็น ก็ดื่มน้อยหน่อย” หลินซือเย่าประคองซูสุ่ยเลี่ยนที่เริ่มเมาอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี แสดงท่าทางบอกให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ยาว
สองคนกินบัวลอยหมดก็นั่งลงที่โต๊ะหิน ดื่มสุราชมจันทร์กันต่อ ตามคาด สุราดอกกุ้ยสามจอกลงท้อง นางก็เริ่มมีแววตางุนงง
“อาเย่า เจ้าเชื่อว่าโลกนี้มีวิญญาณไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองจันทร์กลมกระจ่างบนท้องฟ้า ถามขึ้นเบาๆ
“วิญญาณ? อาจจะเป็นได้” หลินซือเย่าเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ในท่วงท่าสบาย ยกสองแขนโอบกอดนางเข้าสู่อ้อมกอด
“เหอะๆ…ที่แท้เจ้าเองก็เชื่อ…ดีจริง…” ซูสุ่ยเลี่ยนเรอออกมา ได้กลิ่นสุราออกมาจากปากนาง นางอดงึมงำไม่ได้ “สุราดอกกุ้ยที่นี่ไม่อร่อย…”
“เมื่อก่อนเคยดื่ม?” หลินซือเย่าก้มหน้าลงมองถามนางอย่างตกใจ ดูท่านางไม่น่าใช่คนที่ดื่มสุราเป็น
“อืม…พี่ใหญ่ชอบลิ้มรสสุรา…พี่ใหญ่…ไปที่ไหนมาทุกครั้งก็จะนำสุราเลิศที่นั่นกลับมาด้วย…พอบรรยากาศดีๆ…พวกเราก็จะร่วมดื่มกันสองสามจอก…” ซูสุ่ยเลี่ยนหรี่ตาลง ในห้วงความคิดอดนึกถึงภาพร่ำสุรากับพี่ใหญ่เมื่อก่อนไม่ได้ นางเมาแล้ว แต่ไม่ได้เมาพับ เพียงแต่แค่อาศัยอาการเมากรึ่มนี้เผยความในใจลึกๆ ออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
“สุ่ยเลี่ยน…เมื่อก่อนครอบครัวเจ้า…” หลินซือเย่ากดคางลงบนศีรษะนาง หลับตาถามเบาๆ เขาไม่ได้คิดสืบเสาะหาตระกูลนาง เขาเพียงแค่นึกกลัวว่าอยู่ๆ วันหนึ่งนางจะกลับไปเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ นั่นเป็นที่ที่เขาไม่อาจเอื้อมถึง และไม่เคยคิดเอื้อม
“เมื่อก่อน? ไม่ใช่นกในกรง ก็กบก้นบ่อ…หากไม่ใช่คุณแม่กับพี่ใหญ่…ข้าว่า…เกรงว่าแม้แต่ความทรงจำก็คงไม่มีแล้ว…” ซูสุ่ยเลี่ยนสะอื้นเผยความเจ็บปวดในใจออกมา
แต่ไรมานางไม่รู้ว่าการมีอยู่ของนางถึงกับสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้กับแม่รองและสุ่ยเยี่ยนมากขนาดนั้น เกลียดจนต้องแย่งงานปักนางไป ถึงกับแม้แต่ชีวิตนางก็ไม่ละเว้น
“สุ่ยเยี่ยน…ข้ามีน้องสาวชื่อสุ่ยเยี่ยน…ร่วมบิดาต่างมารดา…แต่ไรมาข้าคิดว่าอย่างมากนางก็แค่เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ไปบ้าง…คิดไม่ถึงว่า…” นางสะอื้นไม่อาจบอกเล่าต่อไปได้
คิดถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาในเขาต้าซื่ออย่างหวาดกลัวไร้ที่พึ่ง คิดถึงว่าหากสองหมาป่ากับเสือขาวไม่ได้ต่อสู้กันจนตายไปทั้งสามตัว คิดถึงว่าหากไม่มีเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ย คิดถึงว่าหากไม่ได้ช่วยหลินซือเย่าไว้…อย่างนั้น ก็อาจหมายความว่านางเองอาจจะตายในป่าไปร้อยรอบแล้วใช่ไหม