ตอนที่ 49 ไหว้พระจันทร์

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“เป็นอะไรไปหรือ” หลินซือเย่ากลับมาที่ห้องครัวก็เห็นซูสุ่ยเลี่ยนราวกับกำลังจัดตู้กับข้าว บนโต๊ะอาหารมีขนมต่างๆ ที่ซื้อมาจากตลาดเป็นห่อๆ วางอยู่

“อ้อ อาเย่า ป้าเถียนบอกว่าตอนเที่ยงให้พวกเราไปกินข้าวบ้านนาง ฉลองเทศกาลด้วยกัน อยากจะขอบคุณเจ้าที่รับต้าเป่าเป็นศิษย์ด้วย” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเป็นหลินซือเย่าก็ยิ้มพลางกล่าวอธิบาย “ข้าคิดว่าหากพวกเราไม่ไป นางย่อมจะมาเชิญอีก ก็เลยเลือกขนมพวกนี้ ไว้เอาไปด้วย ไปร่วมฉลองกันให้ครื้นเครงสักหน่อย”

หลินซือเย่าเลิกคิ้วจ้องมองนางครู่หนึ่ง ไม่กล่าวว่าตกลงหรือไม่ตกลง เพียงแต่หันกลับไปที่กะละมังล้างชามต่อ ยกกะละมังออกจากครัวไป

“อาเย่า?” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่เข้าใจ วางขนมในมือลง ตามหลินซือเย่าออกจากครัวไป เห็นเขาล้างชามอย่างคล่องแคล่ว ก็กลืนน้ำลายทำใจกล้าเดินไปข้างกายเขา ถามเบาๆ ว่า “อาเย่า เจ้าไม่อยากไปหรือ หากไม่อยากไป อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ไป ให้ต้าเป่าเอาขนมไปก็พอ”

“เปล่า” หลินซือเย่าส่ายหน้า ตอบนางง่ายๆ คำหนึ่ง

“อย่างนั้น…” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ ไม่เข้าใจความหมายของเขา เห็นแขนเสื้อที่เขาพับเหมือนจะโดนน้ำ นางจึงรีบเข้าไปม้วนขึ้นให้เขา

หลินซือเย่าหยุดล้างชาม จากนั้นหันมากล่าวว่าเบาๆ ว่า “เจ้ารับปากว่าจะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับข้า” น้ำเสียงแฝงความรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มีแต่นางอย่างที่นางไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวหาว่านางพูดไม่เป็นคำพูด

เป็นนางเองที่เอ่ยรับคำเขาเองว่าจะร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับเขา เทศกาลไหว้พระจันทร์วันหน้าก็จะร่วมฉลองกันทุกปี เขาหวังเพียงว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งแรกของเขาจะได้ฉลองเงียบๆ กับนางเพียงสองคนโดยไม่มีคนอื่นมารบกวน ไม่คิดว่าต้องร่วมฉลองกับคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้นางจะอยู่ด้วยแต่เขาก็รู้สึกอึดอัด

“เอ๋? ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ฉลองกับเจ้านี่” ซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆ ทำไมเขาจึงได้หันหลังไม่สนใจนาง

“เทศกาลไหว้พระจันทร์จริงๆ คือกลางคืน ใต้แสงจันทร์ ชิมขนมจิบสุรา ดู แม้แต่สุราดอกกุ้ยข้าก็ซื้อมาแล้วนะ เพียงแตสุราดอกกุ้ยที่นี่หอมหวาน…สู้ไม่ได้ ครั้งหน้าพวกเราหมักกันเองมาชิมดู ดีไหม”

เมื่อวานนางฝากป้าเหลาเข้าเมืองไปตลาดซื้อสุราดอกกุ้ยไหเล็กๆ มาให้นางไหหนึ่ง ตอนหลินซือเย่าไปทำงานในแปลงผักที่ลานหน้าบ้าน นางก็อดแอบเปิดออกดมไม่ได้ แม้ว่าเป็นกลิ่นสุราดอกกุ้ยจริง แต่ความหอมหวานของสุราสู้สุราดอกกุ้ยเมื่อก่อนตอนที่อยู่ตระกูลซูไม่ได้ ก็เลยลองคิดถึงกระบวนการหมักสุราที่อ่านมา ตนเองไว้ลองหมักสุรารสเลิศดูบ้าง

นางพับแขนเสื้อเสร็จก็เก็บจานชามสะอาดที่ตากไว้บนตะแกรงไม้ไผ่ใต้นั่งร้านเถาต้นองุ่น ตากแห้งแล้วค่อยเก็บเข้าตู้วางชามในห้องครัว จะได้ไม่เกิดเชื้อรา

เห็นหลินซือเย่ายังคงอึ้งอยู่เล็กน้อย ก็ตบหลังมือเขาเบาๆ อย่างนึกขำ ผู้ชายคนนี้ถึงกับมีเวลาอึ้งกับเขาเหมือนกัน

“ทำไม ยังไม่อยากไปอีกหรือ เช่นนั้นก็ไม่ไป อย่างนั้นพวกเราตอนเที่ยงกินอะไรกัน” นางดึงแขนเขาโยกไปมา ท่าทางออดอ้อน ทำเอาหลินซือเย่าที่เพิ่งคืนสติ พื้นที่ใต้หน้าท้องเขาต้องขมวดตึงอีกครั้ง

“เจ้าว่า…” เขากระซิบเบาๆ “คืนนี้พวกเราสองคนฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ร่วมกัน? ยังเตรียมสุราดอกกุ้ยไว้ร่วมดื่มกับข้า?” เขายังคงนึกถึงคำพูดนางเมื่อครู่ ไม่อยากจะเชื่อว่านางบอกว่าจะร่วมดื่มใต้แสงจันทร์กับเขา นางคออ่อนมาก ไม่กลัวสามจอกล้มพับลุกไม่ขึ้นหรือ

อ้อ ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือนางไปซื้อสุราดอกกุ้ยมาตอนไหน น่าโมโห! เขาถึงกับไม่รู้

“ถูกต้อง ยังซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาด้วยนะ ยังมีบัวลอยที่พวกเราห่อไว้เมื่อวาน ล้วนเตรียมไว้คืนนี้”ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเบิกบานมองเขา

หลินซือเย่าผินหน้าหนีอย่างเก้กัง หน้าแดงๆ เมื่อครู่ที่เขาเพิ่งเคลื่อนพลังภายในขับทิ้งไปหยกๆ กลับมาอีกแล้ว

“อาเย่า?” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงเสื้อเขาไปมา ในใจนึกขำ ชายผู้นี้ถึงกับเขินอาย แม้หน้าแดงยังไม่ทันเห็นชัด พริบตาก็จางหายไป แต่นางรับรองได้ว่าเมื่อครู่เขากำลังเขินอาย

“ข้าไปดูต้าเป่าหน่อย” หลินซือเย่าหาข้ออ้างรีบเดินไปทางใต้ของบ้านทันที

“เช่นนั้น ตอนเที่ยง…” นางกลั้นหัวเราะไล่ถามต่อ

“ตามใจเจ้า” คำตอบน้ำเสียงประหลาดแปลกๆ ของเขาดังมาจากที่ไกลออกไป อารมณ์นึกขำที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็หลุดพรืดออกมาทันที เสียงหัวเราะใสดังขึ้นท่ามกลางแสงตะวันสาดส่อง

ที่แท้เขาเป็นคนน่ารักเช่นนี้เอง ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปที่ท่าน้ำทางใต้ของบ้านที่ไกลออกไปเห็นหลินซือเย่ากำลังคุมต้าเป่าตั้งท่าม้าก้าวให้ดี รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่จางหายไป

……

“มา มา มา น้องหลิน เต็มจอก พวกเราไม่ต้องพูดจามารยาทกันให้มากความละ ต้าเป่ามอบให้เจ้าแล้ว เราก็วางใจ” เถียนต้าฟู่หน้าแดงก่ำลากหลินซือเย่ามาประลองสุราอย่างเต็มที่

“เจ้าลากอาเย่ามามอมสุราทำไมกัน มา อาเย่า สุ่ยเลี่ยน ลองไก่ที่บ้านข้าเลี้ยงเองดู แม้ว่าไม่ถึงปี แต่เนื้อนุ่มๆ แบบไก่เนื้อนุ่มเลย รีบลองดู” นางเถียนเชื้อเชิญพลางคีบน่องไก่สองน่องวางลงในชามซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่า บอกให้พวกเขาลิ้มลอง

“ท่านแม่…” เถียนต้าเป่าเห็นน่องไก่ก็เสียดายมาก ได้แต่อดใจกลืนน้ำลายเอื๊อกแทน กล่าวกับหลินซือเย่าว่า “อาจารย์ อาจารย์หญิง รีบกินน่องไก่ ท่านแม่ข้าตุ๋นน่องไก่อร่อยมาก รีบกินๆ” กินหมดแล้วเขาก็จะได้ไม่หวังอีก ลูกไก่ที่เขาเลี้ยงมาเกือบครึ่งปี แม้ไม่ได้กินสักครึ่งตัว กัดแค่น่องไก่สักคำก็ยังดี เพราะเป็นแรงงานเขา แต่ว่าตอนนี้…อืม ไม่อาจคิดต่อๆ น่องไก่ให้อาจารย์กับอาจารย์หญิงกินไป เขาควรดีใจถึงจะถูก ทำไมจึงได้ใจแคบเช่นนี้นะ อาจารย์ถ่ายทอดวิชายุทธ์สูงส่งให้เขานะ

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นต้าเป่ากลืนน้ำลายท่าทางอยากกินก็รู้สึกขำ กำลังคิดคีบน่องไก่ที่นางเถียนให้ตนมาน่องนั้นใส่ชามเขา ก็ถูกหลินซือเย่ารั้งตะเกียบไว้ “เจ้ากินเอง” เขาคีบน่องของเขาใส่ชามต้าเป่าแทน

“ทำอย่างนี้ได้อย่างไรกัน…ต้าเป่า…” นางเถียนรีบจะคีบกลับไป ก็เห็นต้าเป่าทนไม่ไหวกัดเข้าแล้วคำหนึ่ง ก็โมโหด่าเสียงดัง

“เอ๋? น่องนี้มาอยู่ในชามข้าได้อย่างไรเนี่ย?” เถียนต้าเป่าได้ยินมารดาตนด่า จึงได้สติคืนมา พบว่าในชามตนเองมีน่องไก่จริงๆ ตนเองยังกัดไปคำหนึ่งแล้วด้วย เขาอึ้งเงยหน้ามองไปฝั่งตรงข้าม แย่ละ! น่องไก่ในชามอาจารย์ถูกตนกัดไปแล้ว? โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว…ตนเองแย่งมาตอนไหนกัน

“ไม่เป็นไร ให้เขากินไป กำลังโต” หลินซือเย่ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หยุดนางเถียนที่กำลังจะด่าด้วยความโมโหออกมา ไอ้เด็กบ้า คนที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ก็เจ้า ฝากตัวเป็นศิษย์ไม่รู้จักแสดงความเคารพอาจารย์ให้ดีๆ ยังมามาแทะน่องไก่อาจารย์อีก เจ้าใกล้จะสิบสามแล้วนะ ยังทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ไปได้! ท่าทางแบบนี้ยังคิดจะแต่งภรรยางาม ยาก! อ้อ ไม่ใช่ยากสิ ไม่มีหวังเลยต่างหาก!

“อาจารย์…” เถียนต้าเป่าเรียกหลินซือเย่าเสียงอ่อน ในตามีน้ำใสเอ่อ ก่อนจะก้มหน้างุดลงชามข้าวกัดกินน่องไก่พุ้ยข้าวตามไม่หยุด พี่หลิน…อาจารย์…ข้ารู้ท่านเป็นผู้ชายที่ดีมีน้ำใจภายใต้สีหน้าเย็นชา ท่านวางใจ ข้าจะฟังคำสั่งท่าน ตั้งใจเรียนวิชา วันหน้าจะเหมือนท่าน เอ่อ…เลียนแบบอะไรอาจารย์ดี? แต่งภรรยาคนงาม?

หากหลินซือเย่าได้รับรู้เสียงในใจเถียนต้าเป่า ย่อมต้องร่วงจากเก้าอี้แน่ มีน้ำใจภายใต้สีหน้าเย็นชา? เขาหรือ? นักฆ่าเหรียญทองแห่งหอเฟิงเหยา? น่าจะเป็นการหลู่เกียรติเขา เขาน่าจะเพียงแค่ไม่อยากให้ศิษย์ที่รับไว้มีสุขภาพร่างกายไม่พร้อมทำให้การเรียนวิชาล่าช้ามากกว่า

“พี่สุ่ยเลี่ยน ต้าเป่าเรียกท่านว่าอาจารย์หญิง อย่างนั้นข้าเรียกพี่?” ลูกสาวนางเถียนกินข้าวไปได้สักพักอยู่ๆ ก็นึกลำดับรุ่นอายุขึ้นมาได้ ก็อดนึกขำไม่ได้ จะว่าไป หากตนเองเป็นพี่สาว ต้าเป่าเรียกอาจารย์หญิง ตนต้องเรียกพี่สุ่ยเลี่ยนเป็นรุ่นเดียวกับท่านแม่หรือ แต่ว่าพี่สุ่ยเลี่ยนยังเรียกท่านแม่ว่าท่านป้าอีก โอย สับสนแท้

“พรืด” ลูกสาวนางเถียนนิสัยร่าเริงก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เจ้า…นังลูกคนนี้พูดมั่วอะไร!” นางเถียนอึ้งไป เพิ่งเข้าใจว่าลูกสาวตนพูดอะไร คิดแล้วก็ขำอยู่บ้างเหมือนกัน

ซูสุ่ยเลี่ยนมองหลินซือเย่าที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ใช่แล้ว ผู้ชายข้างๆ อายุแค่ยี่สิบต้นๆ กระมัง อายุจริงๆ ของเขา นางและเขาถึงกับไม่เคยถามกันจริงๆ สักที

ดีที่ไม่ใช่ชาวเมืองซูโจว ก่อนแต่งไม่เพียงต้องรู้วันเดือนปีเกิดอีกฝ่าย ยังต้องลงประกาศข่าวแต่งงาน มีชื่อนามสกุล เพศ อายุ พยานงานแต่งเท่าไร สภาพครอบครัวคร่าวๆ…สรุป จะไม่ใช่สภาพไม่รู้อะไรเลยเช่นตอนนี้เด็ดขาด

คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้ สีหน้ายิ้มแย้ม หรี่ตามองหลินซือเย่าเหมือนคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะรีบเก็บอาการนึกขำนั่งนิ่งดังเดิม นางนับวันยิ่งไม่กลัวเขามากขึ้นทุกวันแล้ว

……

“อาเย่า ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร” ตอนขากลับจากบ้านนางเถียน สองคนค่อยๆ เดินทอดน่องไปตามเส้นทางที่ไร้ผู้คนในยามหลังเที่ยงของฤดูใบไม้ร่วง ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากถามอย่างเขินๆ

หลินซือเย่าหันมามองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า “วันแต่งงานไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือ”

“เอ๋?” มีด้วยหรือ? ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ พยายามนึกย้อนไปวันที่แปดเดือนแปด แต่ไม่ว่านางจะพยายามนึกภาพแต่ต้นจนจบอย่างไร ก็นึกไม่ออกว่าเขาบอกนางเกี่ยวกับอายุเขาตอนไหน

“คิดไม่ออก?” หลินซือเย่าแย้มยกมุมปาก เขยิบเข้าไปข้างหูนางกระซิบเบาๆ ว่า “ตอนข้าอยู่บนกายเจ้า…”

“อ๋า” นางตกใจเอื้อมมือออกไปปิดปากเขาไว้ทันทีอย่างไม่สนใจสองแก้มแดงระเรื่อของนาง แอบมองไปรอบๆ โชคดีตอนบ่ายชาวบ้านส่วนใหญ่พักผ่อนกันอยู่ในบ้าน เส้นทางเดินในหมู่บ้านถึงกับมีแค่นางกับหลินซือเย่าสองคน

พอคลายกังวลลงจึงได้ปล่อยมือ กำลังชักมือกลับก็ถูกหลินซือเย่าดึงไปกุมไว้ในฝ่ามือใหญ่ของเขา จูงนางเดินทอดน่องไปทางเส้นทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อกลับบ้าน

“อาเย่า…” ใจกล้าแล้วหรือ? ซูสุ่ยเลี่ยนแอบแวบนึกถึงคำว่า ‘กลางวันแสกๆ’ ขึ้นมาก็อายลามแดงไปถึงลำคอ พยายามสลัดมือออกจากฝ่ามือใหญ่ของเขา

“อย่าดิ้น” หลินซือเย่าคำรามเบาๆ สายตาจับจ้องไปยังบ้านหลังคาดำเสาแดงที่ไกลออกไปหลังนั้นไม่กะพริบ บ้านของเขาสองคน อยู่ๆ ก็อารมณ์ดีมาก “ปีนี้ข้ายี่สิบสาม เกิดวันที่สิบเดือนสิบ เจ้าล่ะ”

“ข้า…ข้า…สิบห้า…วันเกิด…วันที่หนึ่งเดือนสาม…” สิบห้าเป็นอายุที่นางอุปโลกน์ขึ้นมา แต่วันเกิดนี้เป็นวันเกิดเดิมของนาง

“กลัวอะไร” หลินซือเย่าดึงนางใกล้พลางก้มลงมองอย่างนึกขำ “สุ่ยเลี่ยน ข้าเคยบอกแล้วว่า พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว”

“ข้ารู้” นางรีบพยักหน้า แน่นอนว่านางรู้ นางยังจำที่มารดากำชับนางในฝันได้ ต้องรู้ใจกันและกัน อย่าได้เหมือนพ่อกับแม่ เหินห่างไม่เหมือนสามีภรรยา