ตอนที่ 57 คำตอบคือการชดใช้ที่สมบูร

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

หวังเสี่ยงไฉบุตรชายของเขาจึงได้สติกลับคืนมา จากนั้นตระหนักดีว่าเรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นร้ายแรงเพียงใด จึงได้คุกเข่าลงที่พื้นแล้วกล่าวว่า “ใช่ขอรับท่านหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเราทั้งบ้านได้จุดธูปให้แก่ท่านปู่ท่านย่า”

หัวหน้าหมู่บ้านทำสีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แท้จริงแล้วเขาวางแผนเอาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย เพียงแค่หวังอวี๋ซานยอมแพ้และปล่อยวางเรื่องบ้านหลังนี้ลง เขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะปล่อยหวังอวี๋ซานไปเช่นกัน การทำเช่นนี้เขาก็ไม่ต้องทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองใจ ทั้งยังรักษาหน้าตนเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันก็สามารถเอาใจท่านอาจารย์หนิงด้วย

หวังอวี๋ซานเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง เขามีความสามารถในการอ่านสีหน้าของคนเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงได้วางใจลงไม่น้อย

บัดนี้เมื่อเขาพบว่าหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงขึ้นมาก ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วกล่าวว่า “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่…ทุกคนล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน เมื่อครู่ข้าเพียงแค่หลงผิด ถูกภูตผีครอบงำจิตใจจึงได้กล่าวเรื่องไร้สาระออกไปมากมาย ทั้งเรื่องสูตรเต้าหู้และเรื่องการยึดที่อยู่อาศัยอะไรนั่น ล้วนแต่กล่าวไปด้วยความโง่เง่า เพื่อเห็นแก่หน้าของท่านหัวหน้าตระกูลและหน้าของบิดาข้า ข้าจะขายที่ดินของบิดาผืนนี้ในราคาสามสิบตำลึงให้แก่คนแซ่หนิง ไม่กลับคำอย่างแน่นอน!”

ในเมื่อการเดินทางมาครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่จะขาดทุนยับเยิน อีกทั้งยังเกือบถูกขับไล่ออกจากตระกูล อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีอะไรติดไม่ติดมือกลับไปบ้าง ไม่เช่นนั้นหากกลับไปมือเปล่าคงจะถูกภรรยาตำหนิติเตียนเอาไม่รู้จบ

หัวหน้าตระกูลได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ อีกทั้งเขาเองก็ต้องการไกล่เกลี่ยเรื่องราวให้จบลง “เอาอย่างนี้แล้วกัน เมื่อตอนที่สร้างเรือนหลังนี้ขึ้น ข้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วย คาดว่าใช้เงินไปยี่สิบตำลึงโดยประมาณ บัดนี้ขายต่อให้ตระกูลหนิงเป็นจำนวนเงินสิบห้าตำลึง อาจารย์หนิงท่านเห็นว่าอย่างไร”

เมื่อกล่าวจบเขาก็หันไปมองทางหนิงเซ่าชิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง แม้แต่หางตาก็ไม่เหล่มองหวังอวี๋ซานเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะฟังความคิดเห็นของเขาหรือไม่

เมื่อหวังอวี๋ซานต้องเผชิญหน้ากับความอัปยศเช่นนี้ จึงพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้งด้วยความเกรงว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะกลับคำ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สิบห้าตำลึงไม่มีปัญหา” เงินจำนวนสิบห้าตำลึงแม้จะไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูล

มั่วเชียนเสวี่ยรีบหยิบเงินออกมาจากถุงเงินอย่างไม่ลังเล แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะถูกจัดการออกมาอย่างไม่ค่อยยุติธรรม แต่หากเงินจำนวนสิบห้าตำลึงสามารถซื้อที่ดินผืนนี้และบ้านอีกหนึ่งหลังได้ นับจากนี้นางจะมีชีวิตการเป็นอยู่อย่างสงบสุขก็นับว่าคุ้มค่า

ประกอบกับนางไม่อยากให้ผู้อื่นคิดไปว่านางเป็นคนจิตใจโหดร้าย เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนเพิ่งจะขับไล่ครอบครัวหนึ่งออกไปจากหมู่บ้านเนื่องจากนาง บัดนี้หากจะมีใครถูกขับไล่ออกจากตระกูลเพราะนางอีกคงไม่ดี ผู้ที่รู้เรื่องราวดีคงจะเห็นอกเห็นใจนางเป็นแน่ แต่ส่วนใหญ่คงจะเกรงกลัวนางเสียมากกว่า ส่วนผู้ไม่รู้ คงคิดว่านางน่ากลัวดุจสัตว์ร้ายที่พบเห็นเป็นต้องหลีกหนี

ชื่อเสียงของนางในละแวกนี้จะเป็นอย่างไร! นางยังต้องรับซื้อถั่ว รับสมัครแรงงาน เปิดร้านอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดล้วนจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น นางก็ได้หยิบเงินออกมากำลังจะโยนไปให้ไอ้คนอันธพาลนั่น เพื่อที่เขาจะได้รีบรับเงินแล้วไสหัวไปเสีย

แต่จู่ๆ ก็มีมือใหญ่เรียวงามเข้ามาจับมือของนางเอาไว้

มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้ามองดูด้วยความประหลาดใจ

หนิงเซ่าชิงไม่ได้มองไปยังนาง สายตาเขาคงจับจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้านด้วยแววตาอันเข้มงวด “นี่คือเรื่องภายในตระกูล ข้าเป็นเพียงคนนอกไม่สมควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ในเมื่อท่านหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม เช่นนั้นข้าก็ขอกล่าวสักสองสามประโยค”

กว่าภรรยาของเขาจะหาเงินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะนำมาให้คนสารเลวเช่นนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร หากจะนำเงินออกไปใช้ ก็ควรจะใช้ในเรื่องที่จำเป็นจริงๆ

จู่ๆ วันนี้ก็มีใครบางคนกล่าวออกมากล่าวว่าตนเป็นบุตรบุญธรรมของหวังเหล่าเตียและต้องการเงินชดเชยจำนวนสิบห้าตำลึง หากวันพรุ่งนี้มีคนก้าวออกมากล่าวว่าเป็นหลานของหวังเหล่าเตียและจะเอาอีกสิบตำลึง วันมะรืน… หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นหมูหมาข้างถนนที่ใดก็คงพากันมาแออัดอยู่หน้าประตูบ้านเขาและต้องการเงินจากมั่วเชียนเสวี่ย

“การที่บุตรจะสืบทอดจากบิดานั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันและยอมรับ แต่จากโบราณมา ก็มีอีกหนึ่งประโยคที่จำกันได้แพร่หลายว่าหนี้สินของบิดาผู้เป็นบุตรต้องชดใช้”

“เมื่อตอนที่สร้างเรือนจำเป็นต้องใช้เงินค่าแรงงาน ยามเจ็บป่วยจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษา กระทั่งงานศพก็จำเป็นต้องใช้เงิน… ผู้คนในหมู่บ้านสิ้นเปลืองเงินไปกับหวังเหล่าเตียทั้งก่อนและหลังมีชีวิตอยู่อย่างน้อยคาดว่าประมาณสี่ห้าสิบตำลึง ด้วยเหตุนี้เอง เรือนนี้มีราคามูลค่าเพียงสิบห้าตำลึง อีกทั้งแท้จริงแล้วควรจะกลับคืนไปเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นนับว่าบัดนี้เขายังคงติดหนี้คนในตระกูลอยู่สามสิบห้าตำลึง ส่วนจะใช้คืนเมื่อไรนั้นเป็นเรื่องของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน และสมาชิกในตระกูลทั้งหลายปรึกษาและตัดสินใจกันเอง”

ทุกคนในที่นั้นล้วนพากันตกตะลึง!

จากนั้นก็พยักหน้าไปตามๆ กัน

ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นประกาย ประโยคของหนิงเซ่าชิงเมื่อครู่นี้ช่างเต็มไปด้วยเหตุและผล ต่อให้หัวหน้าหมู่บ้านต้องการโอนเอียงไปทางหวังอวี๋ซาน แต่คนอื่นในตระกูลอาจไม่ต้องการเช่นนั้น บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า นอกจากไอ้อกตัญญูผู้นั้นจะไม่ได้ที่ดินและเรือนนี้กลับคืนไป ยังจะต้องชดใช้เพิ่มด้วย?!

นี่มันช่างน่าสะใจเสียจริง!

สามีของนางผู้นี้แม้แต่นางเองยังต้องคอยระวัง เขาผู้นี้มองไปเหมือนกับสวมเสื้อคลุมหนังแกะอันอบอุ่นอยู่ แต่แท้จริงแล้วดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่าเสียอีก

“ว่าอย่างไรนะ ยังต้องชดใช้อีกสามสิบห้าตำลึงงั้นรึ”

หวังอวี๋ซานขาไร้เรี่ยวแรงล้มลงสู่พื้น ดวงตาของเขาเหม่อลอย

ณ เวลานี้เขาไม่อาจหาคำมาหักล้างได้เลย หากเขากล้ากล่าวว่าไม่ชดใช้หนี้สินให้บิดา ก็นับว่าอกตัญญูยิ่ง และหากเขากล้าเอ่ยคำสบถออกมา ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ไร้ซึ่งความเคารพผู้อื่น

หนิงเซ่าชิงไม่ได้มองไปทางเขา ราวกับเกรงว่าจะทำให้ดวงตาเขาแปดเปื้อนอย่างไรอย่างนั้น เขาสะบัดแขนเสื้อและเดินตรงเข้าไปในเรือน “ที่นี่คือบ้านของตระกูลหนิง ส่วนเรื่องในตระกูลหวังต้องรบกวนท่านหัวหน้าหมู่บ้านกับผู้อาวุโสปรึกษากันโดยเร็ว อย่าได้เสียเวลามงคลของเราเลย”

เรือนนี้คำตัดสินของเจ้าบ้านถือเป็นเด็ดขาด ในเมื่อเจ้าบ้านมอบให้เขาดูแลต่อแล้ว มันก็ควรจะเป็นของเขา ดังนั้นที่แห่งนี้จึงเป็นพื้นที่ตระกูลหนิงของเขา

คนในตระกูลหวังถนัดเรื่องเหยียบย่ำคนที่กำลังล้มอยู่แล้ว หนิงเซ่าชิงไม่จำเป็นต้องกังวล

หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในเรือน แผ่นหลังของเขาช่างหนักแน่นดูแข็งแกร่งดุจหยก แสงจากดวงอาทิตย์อันอบอุ่นที่มาจากภายนอกดูเหมือนจะเพิ่มรัศมีสีทองให้แก่เขา รัศมีนั้นส่องแสงสว่างไปทั่วห้องโถงในทันที มันสว่างเข้าไปในหัวใจของมั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด

หนิงเซ่าชิงยืนมือไขว้หลังอยู่ใต้คานเรือนโดยไม่ได้หันหลังกลับมาอีก

ทั้งสองคนยืนเคียงข้างกัน ร่างหนึ่งเล็กร่างหนึ่งใหญ่ ร่างหนึ่งสง่างามอีกร่างหนึ่งอ่อนช้อย มองไปช่างเข้ากันอย่างหาที่ติไม่ได้

ผ่านไปชั่วครู่ หนิงเซ่าชิงจึงได้ยื่นมือออกมาจูงมือมั่วเชียนเสวี่ย นางจึงเดินกลับเข้าไปในเรือน ทั้งสองคนไม่ได้สบตากันแต่อย่างใด เพียงแค่มองดูคานที่ถูกเจิมไว้ด้วยสีแดง ดวงใจของทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงความสงบมั่นคง ราวกับว่าบนโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น

ส่วนด้านนอก ยังคงมีเสียงดังเอะอะ

“ข้าไม่มีเงินหรอก”

“เจ้าไม่มีหรือไม่อยากจ่ายกันแน่…หรือเจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นคนในตระกูลหวัง? ไม่ยอมรับว่าหวังเหล่าเตียเป็นบิดาของเจ้าใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่เช่นนั้น…”

หวังอวี๋ซานหยิบเงินที่มีติดตัวออกมาทั้งหมด แต่มีเพียงแค่สิบตำลึงเท่านั้น เขาจึงได้เขียนหนังสือรับรองหนี้สินติดค้างไว้อีกยี่สิบห้าตำลึง อีกทั้งสัญญาว่าจะนำเงินมาใช้ส่งคืนให้ยังหอบรรพชนของตระกูลภายในสามวัน เรื่องนี้จึงจะนับว่าสิ้นสุดลง

บรรดาผู้ที่ยึดมั่นในความกตัญญูต่างพากันเดินหน้าขึ้นมาเตะเขาอยู่หลายที ก่อนจะขับไล่ทั้งสองให้เดินทางออกจากหมู่บ้านหวังจยา

เมื่อออกมาจากหมู่บ้านแล้ว เสียงของบุตรชายหวังเสี่ยงไฉก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังเขาว่า “ไอ้แก่เอ้ย ไหนบอกว่าจะได้สูตรทำเต้าหู้อีกทั้งเงินทอง บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า สูตรก็ไม่ได้ทั้งยังต้องมานั่งชดใช้หนี้สิน…”

“ไอ้ลูกเวรนี่ แกกล้าดีอย่างไรมาด่าข้าว่าไอ้แก่…”

“เดิมทีก็เป็นเพียงไอ้แก่ที่ไร้ประโยชน์อยู่แล้วนี่ ข้าอุตส่าห์ไปบอกกับผู้จัดการเลี่ยวเอาไว้แล้วเชียวว่าสูตรเต้าหู้นั่นจะขายให้เขาจำนวนสองร้อยตำลึง มาบัดนี้สูตรก็เอามาไม่ได้ เงินสองร้อยตำลึงสลายไปต่อหน้าต่อตา…”

เมื่อเห็นสองพ่อลูกเดินออกไปพลางต่อว่ากันไปมาเช่นนั้น คนในหมู่บ้านก็ได้แต่ส่ายหน้า เวรกรรมเหลือเกิน เขาอกตัญญูต่อหวังเหล่าเตีย บุตรชายเขาก็อกตัญญูต่อเขาเช่นกัน

“เซียนเซิง พวกเราทำเช่นนี้โหดร้ายไปหน่อยหรือไม่”

“โหดร้ายหรือ”

หนิงเซ่าชิงเพียงเอ่ยออกมาสามคำเบาๆ จากนั้นจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้อง

การทะเลาะเบาะแว้งกันในตระกูล และความคิดของหัวหน้าหมู่บ้านผู้นำตระกูล จะมีผู้ใดรู้ดีไปยิ่งกว่าเขาอีก ในเมื่อเขาเข้ามาจัดการด้วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าต้องให้นางได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ