ตอนที่ 58 ตื้นตันใจเมื่ออิ่งซากลับมา

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 58 ตื้นตันใจเมื่ออิ่งซากลับมา

ที่ด้านนอกบัดนี้เงียบราวกับไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ตรงด้านหน้าเป็นประธาน คล้ายกับกำลังสนทนาบางสิ่งอยู่

ส่วนบรรดาสตรีก็พากันจัดแจงโต๊ะเก้าอี้ที่ด้านลานด้านหลัง อาหารกับน้ำจัดเตรียมไว้พร้อม รอเพียงแค่สองสามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าภาพในวันนี้มานั่งที่โต๊ะเท่านั้น

“พี่น้องทุกท่าน วันนี้ข้ามีเรื่องจะประกาศ”

เขาปล่อยมือมั่วเชียนเสวี่ยออก จากนั้นหนิงเซ่าชิงก็ก้าวเข้าไปยืนท่ามกลางทุกคน เสียงเพราะราวเครื่องสายส่งเสียงก้องไปทั่วทิศ

“ข้าและภรรยาได้รับการช่วยเหลือจากทุกท่านมาเสมอ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ตอบแทน ทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายใจยิ่ง เราสองสามีภรรยาจึงขอให้โอกาสที่เรือนหลังใหม่สร้างแล้วเสร็จนี้ นำเงินจำนวนยี่สิบตำลึงมอบให้แก่หมู่บ้าน ใช้ในการบูรณะหอบรรพชน”

นี่มัน?

เพื่อเอาอกเอาใจคนในตระกูลหวังอย่างนั้นหรือ เพื่อไม่ให้มีผู้ใดเอาเรื่องนี้ไปติฉินนินทาหรือ

ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยยืนตะลึงนั้น คนอื่นๆ ในหมู่บ้านต่างพากันโห่ร้องด้วยความยินดี

เนื่องจากหอบรรพชนนี้ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของตระกูลหวังเท่านั้น แต่ผู้คนที่นั่งอยู่ในนี้ทุกคนเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปกป้องคุ้มครองเพียงแต่คนในตระกูลหวังเท่านั้น แต่ได้ปกป้องคุ้มครองทุกคนในหมู่บ้านด้วย

สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านเปลี่ยนไปมากมายทีเดียว เผยถึงรอยยิ้มออกมาในท้ายที่สุด

บอกตามตรงว่าเมื่อสักครู่เขายังรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าอาจารย์หนิงผู้นี้ช่างตระหนี่เสียจริง เงินจำนวนสิบห้าตำลึงไม่ได้มากมายยังไม่ยินยอมจ่ายเพื่อซื้อเรือนนี้ แต่ก็เป็นเพราะชายแซ่หวังผู้นั้นเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมามากมาย

เพียงแค่รู้สึกสะอึกเล็กน้อยและเป็นกังวล ท่านอาจารย์ตระหนี่ขี้เหนียวเช่นนี้ ต่อไปหากก่อสร้างโรงงานขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าหมู่บ้านหวังจยาก็คงไม่ได้รับผลประโยชน์

ทว่าบัดนี้เขาได้นำเงินจำนวนยี่สิบตำลึงออกมามอบให้ ซึ่งมากกว่าเดิมถึงห้าตำลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนตระหนี่ คงเป็นนิสัยของบัณฑิต ที่ให้ความสำคัญต่อวงศ์ตระกูล และยึดมั่นในความถูกต้อง ลึกๆ ในใจบัดนี้เต็มไปด้วยความชื่นชมเขา

“ข้าขอเป็นตัวแทนของหมู่บ้านหวังจยา ขอบคุณอาจารย์หนิงที่กรุณา นับแต่นี้หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง พวกเราในหมู่บ้านหวังจยาจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง”

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง!”

“อาจารย์หนิงก็เป็นผู้รู้ความ…”

“หากมีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้ ขอให้…”

ผู้คน ณ ที่นั้นต่างพากันสรรเสริญเยินยอ

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่บูรณะหอบรรพชน พวกเขาต้องออกเงินและออกแรงเอง แต่ครั้งนี้มีผู้อุทิศเงินช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่ต้องหยิบควักเงินตนเอง แต่ยังคงสามารถซ่อมแซมหอบรรพชนได้ดังเดิม ทุกคนล้วนพากันซาบซึ้งใจสองสามีภรรยายิ่งนัก

ภาพตรงหน้านี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยน้ำตาคลอเบ้า

เยี่ยม! ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! การนำเงินมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ เพียงแค่เพิ่มเงินไปห้าตำลึง กลับได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีเยี่ยงนี้

เงินสิบห้าตำลึงหากนำมาให้ในตอนแรกอาจดูอึดอัดใจ แต่เงินยี่สิบตำลึงนี้ช่างควักมาใช้ได้อย่างสบายใจเหลือเกิน

เมื่อเห็นว่าหนิงเซ่าชิงหันมายิ้มให้นางเบาๆ ดุจดั่งปุยเมฆลอยไปตามสายลม มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจทันว่าสูงส่งสง่างามคืออะไร

……

ณ เมืองเทียนเซียง สำนักกฎหมายฝ่ายเสมียน

“อาจารย์หนิง นี่คือสิ่งใดกัน? ข้าไม่อาจลงนามให้! ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสียใจภายหลัง แล้วจะโทษว่าเป็นเพราะข้าไม่…”

หัวหน้าหมู่บ้านมองไปทางหนิงเซ่าชิงด้วยความงุนงง

เมื่อสามวันก่อนที่เรือนหลังใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จ หนิงเซ่าชิงได้นัดหมายกับหัวหน้าหมู่บ้านไว้แล้วว่าจะพากันเดินทางมายังเมืองเทียนเซียง เพื่อจัดการเรื่องของโฉนดที่ดิน

แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้การตอบตกลงด้วยความยินดี เนื่องจากเรื่องของโฉนดที่ดินเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้แล้วเสร็จไวยิ่งดี โชคดีที่เป็นอาจารย์หนิง หากเป็นคนอื่นละก็คงจะร้องขอให้เขาเดินทางมาจัดการเสียแต่วันนั้น

แต่ทว่า เมื่อเขามองไปยังตรงนามของผู้เป็นเจ้าของที่ดินและเรือนนั้นกลับกลายเป็นมั่วเชียนเสวี่ย เขาในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านจะยินยอมลงนามให้ได้อย่างไร

เมื่อเขาพบว่าหัวหน้าหมู่บ้านสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นนั้น หนิงเซ่าชิงก็ยิ้มออกมา เนื่องจากภรรยาของเขาเป็นผู้หาเงินมาซื้อ ดังนั้นควรจะระบุให้เป็นชื่อนาง เป็นสมบัติส่วนตัวของนางถูกต้องแล้ว

ส่วนของเขานั้น แน่นอนว่าในอนาคตเขาจะหามาเอง

“ไร้สาระ! นางแต่งเข้ามาในเรือนแล้ว ก็เป็นคนของท่าน จะแบ่งแยกสมบัติส่วนตัวอะไร…”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเหล่านี้ หัวหน้าหมู่บ้านก็ดูโมโหผิดปกติ แต่ก็ไม่กล้าตะโกนออกมาเสียงดัง เพียงแค่ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” จากนั้นเขาก็หันหลังจะดินออกไปโดยไม่ยินยอมลงนาม

เขารู้สึกว่าหนิงเซ่าชิงถูกรูปลักษณ์ภายนอกอันงดงามของมั่วเชียนเสวี่ยบดบังตา และถูกมารยาของสตรีหลอกลวงอยู่เป็นแน่ ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อตาสว่างแล้วจะมากล่าวโทษโกรธแค้นเขาเอาได้ ไม่ได้การละ เขาจะต้องเดินทางกลับไปกำชับให้ภรรยาของเขาอบรมสั่งสอนหนิงเหนียงจื่อสักหน่อยว่าสิ่งใดคือข้อปฏิบัติของภรรยา สิ่งใดคือคุณธรรมของสตรี

ทว่าท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกประหลาดใจของหัวหน้าหมู่บ้านก็พ่ายแพ้ต่อความหนักแน่นของหนิงเซ่าชิง

หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้ถกเถียงกับเขาอีก เพียงยิ้มรับอย่างอ่อนโยนและประโยคขบขันอีกสองสามประโยคก็สามารถทำให้เขาหยุดคำกล่าวลงได้

หัวหน้าหมู่บ้านไม่รู้จะทำเยี่ยงไร เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ จึงทำได้เพียงตกลงยอมรับและลงนาม

หลังจากกำชับบิดาของเป่าจู้ให้ขับรถม้าส่งหัวหน้าหมู่บ้านกลับไปเรียบร้อยแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ได้เดินชมรอบเมืองแต่เพียงลำพัง ท่าทางดูผ่อนคลาย แต่ทุกอิริยาบทของเขากลับสง่างาม แม้จะสวมเพียงเสื้อคลุมสีครามธรรมดา แต่ผู้คนสัญจรก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทยิ่ง

เขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ก้าวเข้าไปยังโรงสุราซึ่งดูกว้างขวางแห่งหนึ่งนามว่าโรงสุราทิงเฟิงเฉวียน

เถ้าแก่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเก็บเงินของโรงสุราทิงเฟิงเฉวียนกำลังนับเงินอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นพบว่าเป็นหนิงเซ่าชิง มือซึ่งกำลังดีดลูกคิดอยู่นั้นก็หยุดลงทันใด เขาตกตะลึงเล็กน้อยจากนั้นรีบเดินหน้าเข้ามาทักทายด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน

“คารวะคุณชายขอรับ!”

เมื่อกล่าวจบ เถ้าแก่ร้านก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แม้ในร้านจะไม่มีคนอื่นใดนอกนอกจากลูกน้องซึ่งไว้ใจได้อยู่สองคน แต่เขาก็ยังกังวลใจอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย เหตุใดท่าน…เหตุใดท่านจึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง…”

หนิงเซ่าชิงยิ้มขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นโบกช้าๆ เป็นความหมายว่าไม่ต้องประหม่าไป “ลุงอวี๋สบายดีหรือไม่”

“เชิญคุณชายด้านนี้ขอรับ” ลุงอวี๋ยิ้มขึ้นแล้วเชิญหนิงเซ่าชิงเดินไปทางลานด้านหลัง เขาหันหลังกลับมากำชับลูกน้องทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “อาเหวิน อาปิง พวกเจ้าทั้งสองดูแลร้านให้ดี เฝ้าไว้ที่ประตูหากว่ามีผู้ใดจะเข้ามาความวุ่นวายจงขับไล่ออกไปเสีย”

หนิงเซ่าชิงนั่งลงในห้องหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลัง ภายในห้องประดับตกแต่งงดงาม ลุงอวี๋จึงได้ทำความคารวะอีกครั้งอย่างเป็นทางการ กล่าวว่า “อาซานและอาอู่เพิ่งจะส่งจดหมายกลับมา บ่าวตั้งใจจะไปแจ้งข่าวให้คุณชายรับทราบในตอนกลางคืน คาดไม่ถึงว่าคุณชายจะเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้”

“อืม”

“อาซานและอาอู่ไปยังสถานที่ที่หมอประหลาดปรากฏตัวขึ้นในคราก่อน แต่กลับหาหมอผู้นั้นไม่พบ จึงตั้งใจจะเดินทางกลับมารับใช้คุณชายดังเดิม ส่วนบ่าวได้ทำตามคำสั่งของคุณชายที่กำชับไว้ ส่งคนเดินทางไปทางทิศตะวันออกเพื่อแพร่ข่าวลือของคุณชายออกไป”

“เมื่ออาซานกับอาอู่กลับมาแล้ว ให้พวกเขาอยู่ช่วยงานในโรงสุรานี้ไปก่อน บัดนี้ข้าไม่ต้องการคนมารับใช้ดูแล” หากจะหาคนไปคอยรับใช้ ก็คงจะเลือกสาวใช้สักสองสามคนเพื่อปรนนิบัติมั่วเชียนเสวี่ย บัดนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน

เจ้าสองคนนั่นสีหน้าท่าทางเยือกเย็น หากให้ทำงานอยู่ในโรงสุราคงจะทำให้แขกใจสั่นขวัญหายหนีไปจนสิ้น แม้ในใจของลุงอวี๋จะต้องการคัดค้าน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยขัดคำสั่งของเจ้านายเลยสักครั้ง

ในเมื่อเจ้านายสั่งการให้พวกเขาอยู่ที่นี่ เขาจึงทำได้เพียงรับคำทำตามก็พอ ส่วนบุรุษผู้เยือกเย็นทั้งสองคนนั้นจะยอมอยู่ที่โรงสุราตามคำสั่งหรือจะดื้อดึงกลับไปรับใช้คุณชาย นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนี้ หัวใจอันกระสับกระส่ายของลุงอวี๋ก็สงบลงเล็กน้อย ก่อนจะรายงานต่อไปว่า “ด้านของคุณชายหลูก็ไม่มีข่าวคราวของหมอประหลาดนั่นเช่นกัน ส่วนในที่อื่นบ่าวได้ส่งคนออกไปค้นหาแล้วแต่ไม่พบ หมอประหลาดผู้นั้นราวกับอันตรธานหายไปในอากาศก็ไม่ปาน”

เมื่อลุงอวี๋กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพบว่าเจ้านายของตนเลิกคิ้วขึ้น อากาศจากด้านนอกพัดพาความรู้สึกอันแสนประหลาดเข้ามาด้านใน

เขาหันหลังกลับไปมองด้วยความสงสัย!

เป็นดังที่คิด เขาคงจะชรามากแล้วจริงๆ เมื่อลมพัดโชยมาเบาๆ เขากลับสลบไสลไม่ได้สติลงทันที

ประตูนั้นถูกแง้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้เปิดออก…