ตอนที่ 59 โน้มน้าวเพื่อวางรากฐานเผื่ออนาคต

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 59 โน้มน้าวเพื่อวางรากฐานเผื่ออนาคต

เมื่อสายลมสิ้นสุดลง ก็พบร่างน่าสงสัยของใครบางคนปรากฏขึ้นตรงหน้า

เงาดำนั้นเมื่อพบเข้ากับหนิงเซ่าชิงจึงได้คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “อิ่งซาคารวะเจ้านาย”

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ” น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงสั่นคลอนเล็กน้อย

อิ่งซาเงยหน้าขึ้นมอง “หากเจ้านายยังอยู่ อิ่งซาก็ไม่กล้าตาย”

แม้เสียงจะสั่นแต่สีหน้ายังคงนิ่งเรียบ ดวงตาของเขาดูเหมือนมีน้ำตาคลอ

เมื่ออิ่งซาเงยหน้าขึ้นมอง หนิงเซ่าชิงจึงเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนซึ่งดูดุร้าย บัดนี้หนิงเซ่าชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานาที่ยากบรรยาย

ณ เวลานี้เขาโกรธแค้นยิ่งนัก!

สตรีนางนั้นกับน้องชายผู้ไร้คุณธรรมร่วมมือกันทำร้ายเขา เขาสามารถให้อภัยและไม่ติดใจเอาความได้

แต่ว่าเมื่อเขานึกถึงผู้คุ้มกันทั้งแปดของเขา ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงอาซานกับอาอู่แค่สองคน ซึ่งกว่าจะตามตัวมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเมื่อมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาของอิ่งซา ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอบแผลเป็นเต็มไปทั่ว ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก

อิ่งซานับว่าเติบโตมากับเขาตั้งแต่เล็ก ทั้งคอยอารักขาตนอย่างลับๆ ตลอดเวลา เปรียบเสมือนเป็นเงาตามตัวก็ว่าได้ เขาให้ความสำคัญกับชีวิตของหนิงเซ่าชิงมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้

การที่เขายังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะออกมาตามหาตน นั่นหมายความว่าในตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส…

เขายกมืออันสั่นเทาขึ้นมาตั้งใจจะสัมผัสบริเวณรอยแผลเป็นนั้น แต่จู่ๆ ก็ชะงักลง

คำมากมายที่อัดอั้นอยู่ในทรวง หลอมรวมกันเป็นประโยคเพียงสั้นๆ ว่า “เจ้าคงลำบากมากทีเดียว”

“ชีวิตของข้าน้อยเป็นของเจ้านาย ไม่ลำบากขอรับ รักษาชีวิตนี้กลับมารับใช้เจ้านายได้ นับว่าเป็นบุญของข้าน้อยยิ่งขอรับ”

“ก็ดี เช่นนั้นเจ้าตามข้ากลับไปเถอะ หากแต่อย่าได้เผยโฉมให้ฮูหยินตกใจ” เขาอาจจะทิ้งอาซานกับอาอู่ไว้ได้ แต่เขาไม่อาจทิ้งอิ่งซาได้จริงๆ

“ฮูหยิน?”

อิ่งซาตกตะลึงเล็กน้อย

เจ้านายของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นสตรีใดเข้าตามาก่อนเลย จู่ๆ กลับมีฮูหยินแล้วงั้นหรือ เขาพลาดอะไรไปหรือไม่ หวังว่านางจะเป็นกุลสตรีงดงามคู่ควรกับเจ้านาย…

เมื่อกล่าวถึงมั่วเชียนเสวี่ย ใบหน้าอันเยือกเย็นของหนิงเซ่าชิงก็ปรากฏถึงความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

……

หลังจากส่งหนิงเซ่าชิงไปแล้ว ในใจลึกๆ ของมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ

ที่ดินผืนนี้นางเป็นคนออกเงินซื้อเอง เรือนนี้นางเป็นคนหาเงินมาสร้างเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดกลับกลายไปเป็นสมบัติของผู้อื่น มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก

ที่สำคัญคือ เขาผู้นั้นยังทำท่าทางเฉยเมยดุจว่านี่คือเรื่องที่ถูกต้องแล้วอย่างไรอย่างนั้น

แม้จะกล่าวว่าระหว่างนั้นหนิงเซ่าชิงได้ออกแรงบ้าง ในช่วงเวลาสำคัญเขามักจะออกหน้าเข้ามาช่วยไว้ แต่ว่า…สตรีในสมัยโบราณเห็นว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้ของตนควรจะระบุในนามของสามีเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร

แต่นางได้รับอิทธิพลจากความคิดสมัยใหม่ ไม่ใช่ว่านางเสียดาย แต่เป็นความรู้สึกสูญเสียอย่างยากที่จะอธิบาย

หลังจัดการกับอารมณ์ของตนเรียบร้อยแล้ว จึงได้จัดการกับของมากมายในเรือน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น นางจึงเดินทางไปยังบ้านคนแซ่ฟาง สองสามวันนี้นางจัดการเรื่องในบ้านได้พอควรแล้ว นับจากนี้ไป เรื่องเกี่ยวกับการทำเต้าหู้ก็จะโยกย้ายไปยังโรงงานแห่งใหม่ นางไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาแล้ว

ที่ลานของบ้านอาซ้อฟางมีคนสิบกว่าคนรุมล้อมไว้ มีทั้งผู้ที่ดูคุ้นตาและไม่คุ้นตา แต่เมื่อหันมาพบนางต่างก็หันมาพยักหน้าให้นางอย่างเก้ๆ กังๆ เป็นการทักทาย

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกงงงวยเล็กน้อย ฟางต้าถังเดินตรงเข้ามาอย่างเขินอาย กล่าวด้วยใบหน้าแดงว่า “หนิงเหนียงจื่อ คนเหล่านี้คือช่างไม้และช่างก่ออิฐในหมู่บ้านเรา พวกเขาเหล่านี้เห็นว่าหนิงเหนียงจื่อจะสร้างร้านอาหารที่ท่าเรือไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่างานก่อสร้างนี้จะเหมาให้พวกเราทำได้หรือไม่”

เดิมทีด้วยนิสัยขี้อายของเขาจึงไม่อยากกล่าวออกมา แต่ถูกคนกลุ่มนี้รบเร้าร้องขอ กล่าวว่าภรรยาของเขาสนิทสนมกับหนิงเหนียงจื่อ เรื่องนี้หากว่าเขาเป็นคนเปิดปากกล่าวก่อนคงจะสำเร็จเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรีบเร่งลองดู

ฟางต้าถังกล่าวออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ค่าตอบแทนยังคงเป็นวันละยี่สิบอีแปะตามเดิม หากวันพรุ่งนี้จัดหาซื้อไม้ทันก็สามารถลงมือได้ทันที ที่ดินแห่งนั้นปรับหน้าดินไว้เรียบร้อยแล้ว หากทุกคนขยันขันแข็งสักหน่อย คาดว่าประมาณครึ่งเดือนก็คงแล้วเสร็จ”

แท้จริงแล้วในวันนี้ที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินทางก็เพื่อต้องการดูว่าการทำเต้าหู้ก้าวหน้าไปเท่าไร อีกทั้งต้องการให้ฟางต้าถังช่วยหาคนมาช่วยนางสร้างร้านที่ท่าเรือนั้นสักหน่อย

เพียงแต่ว่าเมื่อเดินเข้าประตูมาก็พบกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

เมื่อพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยนิ่งเงียบไป ฟางตาถังจึงนำมือขึ้นถูไถไปมาก่อนจะส่งสายตาไปยังหวังเทียนซง

หวังเทียนซงบัดนี้ก็แววตามืดมนกล่าวว่า “หนิงเหนียงจื่อ หากรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็ถือว่าพวกเราไม่เคยได้กล่าวเรื่องนี้ก็แล้วกันนะ”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้หัวเราะออกมาพร้อมอธิบายว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแค่กระชั้นชิดเกินไปหน่อย ข้าจึงทำตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง พี่เทียนซง การที่ทุกคนอาสาเข้ามาช่วยข้า ข้าดีใจมาก จะขัดข้องได้อย่างไรเล่า”

เมื่อพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยยิ้มขึ้น หวังเทียนซงจึงวางใจลงไม่น้อย เขาชี้ไปยังชายหนุ่มที่ดูผอมโซด้านข้างกล่าวว่า “นี่คือหลี่ซานเกอจากหมู่บ้านตะวันออก เขาเชี่ยวชาญในการก่อเตาไฟ เตาที่เขาก่อนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง เผาไหม้ง่าย โรงงานใหม่ที่เพิ่งสร้างเขาก็เป็นคนก่อเตาให้”

“ผู้นี้คือ…”

มีทั้งผู้ที่รู้จักและไม่รู้จัก หวังเทียนซงก็ได้แนะนำให้แก่นางทีละคนจนครบ มั่วเชียนเสวี่ยจึงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนพี่เทียนซงและพี่ชายทุกท่านด้วย ข้าเป็นเพียงสตรีไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เท่าไรนัก ส่วนเซียนเซิงก็เป็นบัณฑิต ไม่มีกำลังวังชาใด ข้าคงต้องไหว้วานทุกท่านด้วยอีกครั้ง นอกจากค่าตอบแทนแล้ว ข้าจะจัดหาอาหารกลางวันให้แก่ทุกท่าน เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวันก็ไปกินได้ที่ท่าเรือ”

พวกเขาเหล่านั้นมองหน้ากันแล้วต่างส่ายหัว ที่นี่อยู่ห่างจากท่าเรือมากโข หากจะให้นางนำข้าวปลาอาหารไปให้ที่นั่นอีกคงจะลำบากไม่น้อย

เดิมทีลูกหลานของพวกเขาก็ได้ไปศึกษาตำรากับอาจารย์หนิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่จริงแล้วพวกเขาควรจะเข้ามาช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีเงินทองมากพอที่จะใช้ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้ จึงได้เอ่ยถึงเรื่องเงินทองก็เท่านั้น

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพบว่าพวกเขาช่างซื่อสัตย์เสียจริง นางจึงได้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงนี้ข้าว่างอยู่ จึงอยากจะทำอาหารอร่อยที่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ ไม่ใช่อาหารที่ต้องใช้เงินมากมาย เพื่อเห็นแก่หน้าข้า ทุกท่านช่วยชิมแล้วชี้แนะข้าด้วยแล้วกัน”

แม้นางจะพูดล้อเล่น แต่เรื่องใดที่ต้องกำชับ อย่างไรก็ต้องพูด จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “หากทุกท่านรู้สึกว่าได้รับมากเกินไปหรือเกรงใจข้า เช่นนั้นระหว่างการก่อสร้างต้องรบกวนทุกท่านเอาใจใส่มากกว่าเดิมสักหน่อย สร้างร้านที่มั่นคงขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเมื่อลมมรสุมพัดโบกจนร้านของข้าพังทลายเสียหาย ข้าจะไปร้องไห้กับผู้ใดเล่า”

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่นางกล่าวก็รู้สึกว่านางเป็นกันเองยิ่ง จู่ๆ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงมากทีเดียว ก่อนจะมีชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “หากไม่ใช่ขนมแป้งข้าวโพดที่กัดไปแล้วทำให้ฟันหักถึงสองซี่ได้ หนิงเหนียงจื่อจะทำอะไรให้พวกข้ากินก็ย่อมได้”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน หวังเทียนซงเอ่ยปากออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “หนิงเหนียงจื่อวางใจได้ พวกเราจะร่วมแรงสร้างร้านอาหารนี้ขึ้นมาสุดความสามารถ ให้มั่นคงและงดงามที่สุด”

ทุกคนได้ยินคำกล่าวนั้นก็ได้พยักหน้าตามกันไป

มั่วเชียนเสวี่ยจึงเอ่ยขอบคุณพวกเขาก่อนจะเดินเข้าไปด้านในกำชับกับอาซ้อฟางในด้านต่างๆ จากนั้นตรวจสอบดูว่าคุณภาพของเต้าหู้เป็นอย่างไร ก่อนจะนำทางชายหนุ่มทั้งหลายไปยังท่าเรือ

ที่ท่าเรือนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านดังเดิม

เพียงแต่ในครั้งที่แล้วหลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยให้คำแนะนำไป ที่นั่นก็ดูมีระเบียบเรียบร้อยกว่าเก่า นอกจากจะขนส่งได้สะดวกสบายกว่าเดิมแล้วยังประหยัดเวลาอีกด้วย

มั่วเชียนเสวี่ยชี้ไปยังตำแหน่งที่ต้องการก่อสร้างแล้วเอ่ยทักทายพวกเขาก่อนจะกำชับถึงรายละเอียดเล็กน้อย แล้วตรงไปยังสำนักงานจัดการดูแลท่าเรือ

ผู้จัดการถังมีอุปนิสัยดี บัดนี้ก็ใกล้จะเริ่มลงมือแล้ว นางควรจะเดินทางไปทักทายเขาสักหน่อยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี