“…กำลังลังเลอยู่หรอจ๊ะเซซิเรีย?”
 

ในขณะที่เซซิเรียกำลังยืนมองเอริกะที่เดินออกไปนั่งกินข้าวปั้นกับพวกนากาในห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีสดใสอยู่ด้านบนกำแพงกั้นเขตเมืองทางด้านหลังบ้านของเอริกะนั้นก็ได้มีเสียงของนิลิมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับที่หญิงสาวผมชมพูเจ้าของเสียงได้เดินเข้ามาจับไหล่ของเธอเอาไว้และแนบหน้าผากเข้ากับแผ่นหลังของเธอ

 

“เธอรู้ใช่มั้ยเซซิเรีย… ว่าไม่มีใครคิดจะว่าอะไรเธอหรอกนะถ้าเธอคิดจะหยุดแล้วก็ไปใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไปเขาน่ะ…”

 

“….”

 

เซซิเรียยังคงยืนนิ่งเงียบมองดูเอริกะกับเด็กหนุ่มผมดำและน้องสาวของเขาที่กำลังนั่งทานข้าวปั้นกันอยู่ด้วยท่าทีสนิทสนมและสนุกนานอยู่อีกสักพักแล้วจึงพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“คงจะไม่ได้หรอก…”

 

“ทำไมล่ะ…? ต่อให้เธอจะพยายามสักแค่ไหนพวกเขาก็ไม่เคยจะยอมรับฟังอะไรเลยนี่…”

 

“….”

 

คำพูดของนิลิมนั้นเป็นเหมือนกับเข็มที่แทงเข้าไปกลางอกของเซซิเรียอย่างแม่นยำ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวผมเขียวก็ได้แต่กัดฟันตัวเองเพราะเธอเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดขึ้นมานั้นเป็นความจริง ซึ่งนิลิมนั้นก็เหมือนจะสังเกตเห็นท่าทางของเซซิเรียจึงได้รีบพูดขึ้นมาต่ออย่างรวดเร็ว

 

“อย่าเข้าใจฉันผิดนะ… ถ้าเกิดว่าเธอไม่คิดจะหยุดฉันเองก็พร้อมจะตามเธอไปทุกที่อยู่แล้วล่ะ… ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องมาเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้อีกต่อไปแล้วก็แค่นั้นเอง…”

 

“ถึงมันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ… แต่ว่าฉันจะไม่ยอมหยุดหรอกนะต่อให้มันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของฉันเองก็ตามที… เพราะฉันรู้ตัวดีว่าถ้าฉันปล่อยพวกเขาไปล่ะก็ฉันจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่อย่างแน่นอน…”

 

“ทำไมล่ะ…”

 

คำตอบของเซซิเรียนั้นทำให้นิลิมได้แต่ก้มหน้าลงอย่างไม่เข้าใจ เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วการที่เซซิเรียยังคงรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เป็นเพราะว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมคนนั้นจงใจไว้ชีวิตเธอมาตลอดซะด้วยซ้ำ

 

ซึ่งเซซิเรียที่เห็นท่าทางของนิลิมนั้นก็เผยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าออกมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองผืนฟ้ายามค่ำคืนที่ประดับด้วยดวงดาวระยิบระยับและพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“เพราะว่ามันเป็นคำสาปของฉันล่ะมั้ง… คำสาปที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในอดีตของฉัน…”

 

“แต่ว่าเรื่องนั้นมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอ… แล้วก็ไม่มีใครโทษว่าเรื่องนั้นมันเป็นความผิดของเธอสักหน่อย…”

 

“มีสิ…”

 

“……”

 

คำตอบสั้นๆ ของเซซิเรียนั้นทำให้นิลิมได้แต่เงียบลงไป เพราะเธอเองก็รู้ดีว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงนั้นหมายถึงใคร ซึ่งทั้งสองคนก็ได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แพรวพราวไปด้วยหมู่ดาวกันอย่างเงียบๆ อยู่อีกสักพักก่อนที่นิลิมจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“แต่ถึงเธอจะพยายามหยุดพวกเขาต่อไป เสียงของเธอก็ไม่เคยจะสื่อถึงพวกเขาได้เลยไม่ใช่หรอ…?”

 

“อื้ม…มันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้…”

 

“ถ้างั้นทำไม—”

 

นิลิมที่กำลังจะพูดถามขึ้นมานั้นได้ชะงักไปเมื่อเธอสังเกตเห็นสีหน้าของเซซิเรียที่ยังคงเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในสิ่งที่เธอทำตลอดมา

 

“เพราะต่อให้มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรือต่อให้มันจะไร้ความหมายสักแค่ไหนฉันก็จะยังต้องทำมันต่อไป… เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันสัญญากับเธอคนนั้นเอาไว้ยังไงล่ะ”

 

“ต่อให้โลกใบนี้มันจะเน่าเฟะเกินกว่าที่จะช่วยได้แล้ว หรือต่อให้เธอคนนั้นจะถูกความแค้นบดบังจนลืมเลือนเรื่องสมัยก่อนไปแล้วคำตอบของเธอก็ยังจะเป็นเหมือนเดิมงั้นหรอเซซิเรีย…?”

 

“ใช่… ต่อให้เธอคนนั้นจะไม่ได้ยินเสียงของฉันหรือว่าต่อให้โลกนี้มันจะพังเละเทะขนาดไหนฉันก็จะยังทำมันต่อไป เพราะว่านี่คือโลกที่เพื่อนของฉันเคยเชื่อยังไงล่ะ…”

 

สิ่งที่เซซิเรียพูดออกมานั้นทำให้นิลิมถึงกับก้มหน้าลงไปอีกครั้งและนิ่งเงียบอยู่อีกสักพักใหญ่ จนทำให้เซซิเรียที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาตรงๆ

 

“ถ้าเธออยากจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติล่ะก็รีบไปซะตั้งแต่ตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้นะนิลิม… แล้วถ้าเป็นไปได้ฉันขอฝากเธอพาพวกทีเอร่านั่นไปกับเธอด้วยก็ดี… เด็กคนนั้นไม่จำเป็นต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องเก่าๆ ของพวกเราหรอก…”

 

“…..”

 

นิลิมที่ได้ยินแบบนั้นได้เหลือบมองเซซิเรียเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและเดินออกห่างจากหญิงสาวผมสีเขียวจนไปหยุดอยู่ที่ขอบกำแพงทางฝั่งตัวเมืองชั้นนอกและทอดสายตามองเมืองรีมินัสในยามค่ำคืนที่มีบ้านเรือนเรียงรายกันไปไกลจนแทบจะลับสายตาพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“…เป้าหมายของพวกเรายังเหลืออีกกี่คนล่ะ”

 

“อ–อ่า ที่ยืนยันได้แล้วว่ายังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ก็สอง… ส่วนอีกสามคนที่เหลือพวกเขาปกปิดร่องรอยตัวเองได้ดีมากจนแม้แต่เอริกะก็ยังสืบหาตัวไม่เจอน่ะ ถ้าเกิดว่าพวกเขาโชคดีก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ล่ะมั้ง…”

 

“รวมแล้วก็ห้าคนงั้นหรอ… ไม่ค่อยจะเหลือโอกาสให้พลาดสักเท่าไหร่เลยนะ ยิ่งคนของที่นี่ชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่องกันอยู่บ่อยๆ แบบนี้แล้วด้วยเนี่ย…”

 

“เธอแน่ใจแล้วหรอนิลิม…? ฉันไม่ว่าอะไรจริงๆ นะถ้าเกิดว่าพวกเธอคิดจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกันน่ะ แล้วยิ่งดูจากเรื่องที่กราวิทัสฉันเองก็ไม่มั่นใจแล้วซะด้วยซ้ำว่าเธอคนนั้นจะยังจำคำสัญญานั่นได้หรือเปล่าน่ะ…ถ้าเกิดว่าเธอไม่ไปตั้งแต่ตอนนี้เธออาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติอีกแล้วก็ได้นะ…”

 

“แล้วคำว่าชีวิตปกติของเธอมันหมายถึงอะไรกันแน่ล่ะเซซิเรีย… สำหรับฉันแล้ว ฉันขอแค่ได้มีส่วนช่วยทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่สงบสุขให้เด็กๆ พวกนั้นได้ใช้ชีวิตตามแบบที่พวกเขาต้องการได้ก็พอแล้วล่ะ… แล้วเธอก็เคยสัญญาเรื่องนี้กับฉันเอาไว้แล้วด้วย… ไม่ใช่หรอ…?”

 

นิลิมพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปยังพรีมูล่า เด็กสาวที่มีเส้นผมสีชมพูและนัยน์ตาสีฟ้าสว่างเช่นเดียวกับเธอด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนที่เธอจะหันกลับมาและจ้องมองตรงไปยังเซซิเรียด้วยสีหน้าแน่วแน่พร้อมกับยื่นมือที่มีสีซีดขาวผิดกับสีผิวส่วนอื่นๆ ของเธอออกมาจากแขนเสื้อและยื่นมันตรงไปยังเซซิเรียราวกับว่าอยากจะให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้

 

ซึ่งเซซิเรียที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันกลับไปมองบรรยากาศแสนสุขของสองพี่น้องจากหมู่บ้านโมริโกะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับมาและเดินเข้าไปจับมือสีขาวซีดของนิลิมเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“เพื่อเด็กๆ พวกนั้นงั้นสินะ… ถ้าเธอตัดสินใจแบบนั้นแล้วฉันเองก็ไม่มีปัญหาหรอก…”

 

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปถามพวกทีเอร่าเขาดูอีกครั้งละกันนะว่าทั้งสองคนนั้นเขาจะไปกับพวกเราต่อหรือว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมกันน่ะ”

 

“อื้ม ฉันฝากเรื่องนั้นไว้กับเธอหน่อยก็ละกัน …ว่าแต่แขนของเธอหายดีแล้วหรือยังล่ะ? มีอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า?”

 

เซซิเรียที่จับมือของนิลิมเอาไว้นั้นได้เลื่อนมือของเธอไปเลิกแขนเสื้อของนิลิมขึ้นเพื่อสำรวจดูบาดแผลบนท่อนแขนสีขาวซีดของนิลิมที่ถูกอารอนเย็บปิดปากแผลเอาไว้พร้อมกับถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งนิลิมนั้นก็รีบพูดตอบเพื่อนของเธอกลับไปในทันที

 

“ก็ไม่เชิงว่าหายดีหรอก… แต่ว่าคุณอารอนเขาช่วยจัดการปากแผลให้แล้วเพราะงั้นก็น่าจะใช้งานมันได้ตามปกติแล้วล่ะ แล้วฉันก็บอกแล้วนี่ว่าถ้าเธอไม่คิดจะหยุดฉันเองก็จะไม่หยุดเหมือนกันน่ะ เพราะงั้นเรื่องแผลที่แขนนี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เธอบอกจุดหมายที่พวกเราต้องไปต่อออกมาเถอะ”

 

“อ่า… นั่นสินะ…

 

เมื่อเซซิเรียได้ยินคำพูดของนิลิมนั้นเธอก็ปล่อยมือออกจากแขนของอีกฝ่ายและก้าวออกไปยืนอยู่ข้างๆ นิลิมด้วยสีหน้ามุ่งมั่นแตกต่างจากตอนที่เธอเพิ่งจะขึ้นมานั่งมองพวกนากาบนกำแพงอย่างสิ้นเชิง

 

“ถ้างั้นอันดับแรกพวกเราก็ต้องระบุตัวเป้าหมายอีกสามคนที่เหลือให้ได้ก่อน… เพราะยิ่งเรามีข้อมูลมากเท่าไหร่โอกาสที่เราจะช่วยพวกเขาได้ก็มีเยอะขึ้นตามไปด้วย”

 

เซซิเรียพูดออกมาพร้อมกับอุ้มร่างของนิลิมขึ้นมา ก่อนที่พวกเธอจะกระโดดลงไปจากกำแพงและพุ่งตัวออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว

 

 

“ฮืมม…?”

 

ไม่นานหลังจากนั้นสักเท่าไหร่ นากาก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกในฟูกนอนของเขาบนพื้นของห้องนอนใหญ่บนชั้นสองหลังจากที่พรีมูล่าที่ตอนแรกก็ดีใจที่เธอได้จองเตียงขนาดใหญ่ในห้องชั้นบนไว้เพียงคนเดียวได้รู้สึกเหงาขึ้นมาจนต้องตามพี่ชายของเธอมานอนด้วยกัน

 

ซึ่งนากาก็นอนกะพริบตาตั้งสติอยู่ในฟูกบนพื้นของเขาอยู่สักพักก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาเพื่อมองดูบนเตียงว่าพรีมูล่าแอบเล่นซนอะไรหรือเปล่าจนทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังไม่เช้าแบบนี้

 

“พรีมูล่า… อ้าว?”

 

นากาที่หันไปมองทางเตียงนั้นได้พูดขึ้นมาอย่างแปลกใจเมื่อไม่พบร่างของน้องสาวตัวแสบของเขาแถมเครื่องนอนต่างๆ ทั้งหมอนและผ้าห่มก็ยังถูกพับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยซะอีกด้วยซ้ำ

 

“แปลกแฮะ… เดี๋ยวนี้ยัยนั่นจัดเตียงเองเป็นด้วยหรอเนี่ย…”

 

นากาที่เห็นแบบนั้นได้เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยแต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะว่าหลังจากที่พวกเขาออกมาจากหมู่บ้านกันพรีมูล่าก็ได้นอนห้องเดียวกับอลิซมาตลอดจนอาจจะเป็นไปได้ว่าน้องสาวของเขาโดนอลิซสั่งสอนจนรู้จักหัดจัดเตียงของตัวเองเป็นแล้วก็ได้

 

แต่ว่าเมื่อนากาได้มองออกไปทางด้านนอกหน้าต่างเขาก็ถึงกับชะงักไปเมื่อเขาพบว่าทางด้านหลังบ้านของเอริกะที่ควรจะเป็นกำแพงสูงใหญ่นั้นกลับกลายเป็นผืนน้ำที่สงบนิ่งราวกับผิวกระจกที่ทอดไกลไปสุดลูกหูลูกตา

 

“ท—ที่นี่มัน….”

 

“ตื่นแล้วหรอ…”

 

เสียงของหญิงสาวที่เขาไม่ได้ยินมาพักใหญ่ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องจนทำให้นากาต้องหันกลับไปดูและพบกับหญิงสาวผมสีขาวในชุดเสื้อกาวน์คล้ายๆ กับที่เอริกะใส่เป็นประจำที่เพิ่งจะเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงที่ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

“พาเทียซ์!? ถ้างั้นที่นี่ก็—”

 

“ใช่…ก็อย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะ ท่าทางของนายนี่เหมือนกับคราวที่แล้วเลยนะ… ยังไม่ชินอีกหรอ…? นี่มันก็ครั้งที่สามแล้วนะที่นายเข้ามาที่นี่น่ะ…”

 

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่นี่มันก็สักพักแล้วนะที่ฉันไม่ได้เข้ามาในนี้น่ะ… แล้วทำไมรอบนี้ฉันถึงหลุดเข้ามาที่นี่ได้ล่ะ?

 

พาเทียซ์ยังไม่ได้ตอบคำถามของนากากลับไปและเดินไปยืนอยู่ข้างๆ เขาก่อนที่เธอจะผลักบานหน้าต่างให้เปิดออกและทอดสายตามองไปยังผืนน้ำกว้างไกลเบื้องนอกอยู่สักพักแล้วจึงพูดขึ้นมา

 

“ฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกนายก็เลยดึงตัวนายเข้ามาในนี้ทั้งๆ ที่นายไม่ได้มีความต้องการที่จะเข้ามาเองน่ะ…”

 

“อ..อ่า…”

 

ถึงแม้ว่านากาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่พาเทียซ์มีความสามารถในการดึงเขาเข้ามาในโลกแห่งจิตใต้สำนึกโดยไม่จำเป็นต้องถามหาความสมัครใจจากเขาก่อน แต่ว่านากานั้นก็ยังคงรู้สึกสงบใจได้อย่างน่าประหลาดเหมือนกับว่าเขารู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่มีทางทำอันตรายอะไรให้กับเขาได้อย่างแน่นอน

 

“ดูเหมือนว่าวันนี้ที่นี่ก็จะยังคงอากาศดีอยู่นะ… ถ้างั้นพวกเราออกไปดูข้างนอกกันเถอะ…”

 

“หืม? ได้สิ ถ้างั้นเดี๋ยวขอฉันเตรียมตัวแป๊บนึง”

 

“เตรียมตัว…? พูดเรื่องอะไรของนายน่ะ…?”

 

เป๊าะ–

 

พาเทียซ์เหลือบมองชุดนอนของนากาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาดีดนิ้วจนเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวาน ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีละอองแสงสีขาวปรากฏขึ้นมาจากทุกทิศทางและพุ่งเข้ามาเกาะอยู่ตามตัวของนากาจนร่างของเขาแทบจะกลายเป็นดวงแสงสีขาวส่องสว่างไปทั่วทั้งตัว

 

“ว–เหวอ!?”

 

นากาหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจและพยายามที่จะปัดพวกมันออกแต่ว่าละอองแสงเหล่านั้นก็ติดแน่นอยู่กับตัวเขาอยู่สักพักก่อนที่มันจะกระจายตัวกันออกไปเอง และเมื่อละอองแสงเหล่านั้นกระจายหายไปหมดแล้วนากาก็พบว่าเสื้อผ้าของเขาที่เคยเป็นชุดนอนนั้นได้กลายเป็นชุดลำลองตัวโปรดของเขาไปซะแล้ว

 

“จะตกใจอะไรอีกล่ะ… นายน่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยแล้วไม่ใช่หรือไง…? คราวนี้ก็แค่เปลี่ยนจากดาบมาเป็นเสื้อผ้าเท่านั้นเอง…”

 

“ห—หะ? อ๋อจริงด้วยแฮะ…”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าละอองแสงเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่เขาใช้ความสามารถเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ หรือละอองแสงที่อลิซใช้ตอนเรียกดาบของเธอออกมาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะเผลอพูดออกมาด้วยความเคยชิน

 

“แล้วนี่เดี๋ยวเราจะไปข้างนอกกันใช่มั้ย? ถ้างั้นเดี๋ยวขอฉันไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อนละกัน”

 

“นี่นาย… คงจะไม่ได้คิดจะไปเข้าห้องน้ำในโลกที่เหมือนกับความฝันแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย…?”

 

“อ่า… คิดอีกทีมันก็จริงแฮะ…”

 

“เฮ้อ…ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ…”

 

พาเทียซ์ที่กำลังมองนากาอย่างหน่ายๆ นั้นได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างของนากาที่กำลังจะเดินไปทางประตูห้องเอาไว้ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีละอองแสงสีขาวแผ่ออกมาจากแผ่นหลังของพาเทียซ์และร้อยเรียงกันกลายเป็นทรงกลมรูปร่างคล้ายกับปีกผีเสื้อ

 

“หือ? เหวอ!?”

 

ร่างของนากาที่ถูกพาเทียซ์จับแขนเอาไว้นั้นได้ลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยก่อนที่หน้าต่างของห้องนอนจะขยายใหญ่ขึ้นราวกับว่ามันถูกเพิ่มขนาดให้พวกเขาสามารถลอดทะลุผ่านไปได้อย่างสบายๆ ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้หิ้วแขนของนากาบินออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่นั้นและขึ้นไปลอยอยู่นิ่งๆ เหนือหลังคาบ้านของเอริกะ

 

“นั่นมัน…โรงเรียนรีมินัสนี่… หือ?”

 

นากาที่ถูกหิ้วลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นได้สังเกตเห็นอาคารหลังใหญ่เหนือผืนน้ำตรงสุดปลายถนนที่ทอดยาวออกไปจากบ้านของเอริกะซึ่งมันก็คืออาคารเรียนของโรงเรียนรีมินัสนั่นเอง และในขณะที่นากากำลังไล่มองไปตามถนนนั้นก็ได้มีละอองแสงจำนวนหนึ่งลอยไปเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ริมถนนจุดหนึ่งก่อนที่มันจะก่อตัวกันเป็นถนนอีกเส้นที่ลากยาวไปไกลทางทิศเหนือจนไปสุดอยู่ที่สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่พอประมาณที่อยู่สุดปลายถนนเส้นนั้น

 

“ถนนเส้นนั้นก็คือทางไปคฤหาสน์ของเวก้าที่นายจำได้ไงล่ะ… ถ้าเกิดว่านายหลงทางในนี้แล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็มองหาถนนพวกนี้เอาไว้ละกัน… ถ้าเกิดว่านายยังจะหลงทางได้อีกน่ะนะ…”

 

“โห… ที่นี่มันเติบโตไปตามที่ฉันจำได้จริงๆ งั้นสินะเนี่ย?”

 

“มันก็อะไรทำนองนั้นนั่นแหล่ะ…”

 

พาเทียซ์พูดขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองดูรอบๆ อีกสักพักว่ายังจะมีสิ่งก่อสร้างอะไรผุดขึ้นมาอีกหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อพาเทียซ์ไม่เห็นว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาอีกแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาและพานากาบินไปยังยอดอาคารเรียนของโรงเรียนรีมินัสที่สูงที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายที่นากาจำได้

 

“เฮ้อ… ถึงโล่งๆ แบบนี้มันจะไม่แย่ไปสักทีเดียวก็เถอะแต่วันหลังนายก็ควรจะใส่ใจรอบๆ เอาไว้บ้างก็ดีนะ…”

 

“แฮะๆ … ขอโทษทีก็ละกัน”

 

“ให้ตายสิ… ว่าแต่ตัวนายนี่มันหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ…”

 

“อันนี้ไม่ใช่เพราะว่าเธอตัวเล็กก็เลยแรงน้อยเองหรอพาเทียซ์?”

 

“นายรู้หรือเปล่าว่าผลไม้มันรู้สึกยังไงเวลาร่วงลงมาจากต้นน่ะ…?”

 

“ขอโทษครับ… —เหวอ!!”

 

พาเทียซ์ที่พูดขึ้นมาด้วยแววตาน่ากลัวนั้นได้ปล่อยมือออกจากแขนของนากาในทันทีจนทำให้เขาร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ว่าเท้าของนากานั้นก็ลงไปสัมผัสกับหลังคาของอาคารเรียนแทบในจะทันที ก่อนที่เขาจะแอบชะโงกหน้าไปมองพื้นถนนเบื้องล่างที่อยู่ห่างออกไปไกล

 

“โห สูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”

 

“นี่ฉันอุตส่าห์พานายขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดที่นายจะจำได้แล้วนายก็ยังจะมองย้อนกลับลงไปข้างล่างนั่นอีกนะ…”

 

“แหะๆ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้ขึ้นมาแล้วทั้งทีฉันก็อยากจะรู้นี่นาว่าที่นี่มันสูงขนาดไหนกันแน่น่ะ”

 

“เฮ้อ…เอาเถอะ… แต่ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ น่ะมันทางทิศตะวันตกนั่นต่างหาก…”

 

พาเทียซ์ได้แต่ถอนหายใจกับท่าทีสบายๆ ของนากาและพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเมื่อนากาหันไปมองเขาก็พบกับกลุ่มควันสีดำขมุกขมัวที่มีสายรยางค์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขยับไปมาอย่างเชื่องช้าเหมือนกับกลุ่มก้อนมือสีดำที่เขาเคยเห็นในโลกแห่งจิตใต้สำนึกในคืนที่กำลังนั่งรถมายังเมืองรีมินัสไม่มีผิด

 

“น—นั่นมันอะไรน่ะ—”

 

ซู่มมมมมม—!

 

“เหวอ—!?”

 

ในขณะที่นากากำลังเหม่อมองกลุ่มก้อนสีดำที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบทางตะวันตกนั้นอยู่ๆ ก็ได้มีสายลมกรรโชกพุ่งเข้ามาจากทางนั้นอย่างรุนแรงจนทำให้นากาต้องรีบยื่นมือไปคว้ายอดเสาของหลังคาเรียนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ตัวเองพลัดตกลงไป

 

“ขนาดอยู่ห่างออกไปตั้งหลายพันกิโลแล้วยังส่งผลได้ขนาดนี้เลยหรอ…”

 

พาเทียซ์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปนกังวลเหมือนกับว่าเธอสัมผัสได้ถึงสายลมที่กำลังพัดมาอยู่อย่างรุนแรงทั้งๆ ที่เสื้อผ้าและเส้นผมของเธอไม่ได้พริ้วไหวไปตามแรงลมเลยแม้แต่น้อยจนดูราวกับว่าจริงๆ แล้วตัวเธอเองไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเขา

 

“น—นั่นมันคืออะไรกันแน่น่ะพาเทียซ์!! ใช่ไอตัวเดียวกับที่อยู่ในรีมินัสตอนที่ฉันเจอเธอเป็นครั้งแรกหรือเปล่าน่ะ!?”

 

“ไม่รู้สิ…แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นลางร้ายหรือไม่ก็เป็นสัญญาณเตือนถึงเรื่องอะไรสักอย่างจากใครบางคนล่ะมั้ง…”

 

เสียงของพาเทียซ์ดังก้องกังวานขึ้นมาให้นากาได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงของสายลมที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรงราวกับพายุที่กำลังพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ขาของนากาเริ่มจะลอยขึ้นเหนือพื้นพร้อมๆ กับที่มือทั้งสองข้างของเขาที่จับยอดอาคารเรียนเอาไว้นั้นเริ่มที่จะด้านชา

 

“ฉันคงจะบอกได้แค่ว่าถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้นายอย่าไปทางทิศตะวันตกนั่นน่าจะดีกว่านะ… เพื่อตัวนายเองแล้วก็คนรอบตัวที่นายรักน่ะ…”

 

“ห—หา หมายความว่าไงน่ะ!?”

 

พรืด—

 

“เหวอออออออ”

 

ในขณะที่นากากำลังตะโกนถามพาเทียซ์กลับไปเสียงดังเพื่อสู้แรงลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่เขาก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองนั้นมือของนากาก็ได้ลื่นหลุดออกจากยอดเสาที่เขาเกาะอยู่จนทำให้ร่างของเขาถูกสายลมพัดกระเด็นไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนทางด้านพาเทียซ์ก็ทำได้เพียงแค่มองตามร่างของนากาไปด้วยแววตาที่แฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ราวกับว่าเธอรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกกับเขาได้ ก่อนที่ทันใดนั้นเองทุกอย่างจะค่อยๆ มืดลงจนเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่ง