“เหวอ—!!?”
 

นากาที่ถูกพัดปลิวไปตามแรงลมท่ามกลางความมืดมิดนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจหลังจากที่เขาสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างร่วงหล่นลงมาสัมผัสกับใบหน้าของตนจนทำให้เขาต้องรีบผุดลุกขึ้นมาจากฟูกนอนในทันที

 

“แฮะๆ …หนูกินไม่ไหวแล้วอ่ะ…”

 

สิ่งที่นากาเห็นเมื่อเขาลุกขึ้นมานั้นก็คือผ้าห่มของพรีมูล่าที่ดูเหมือนจะร่วงหล่นลงมาจากบนเตียงในตอนที่เธอได้ละเมอพลิกตัวมานอนน้ำลายยืดอยู่ใกล้ๆ กับขอบเตียง ซึ่งนากาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาและบ่นขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหยิบผ้าห่มผืนนั้นขึ้นมาห่มคืนให้พรีมูล่าที่ดูเหมือนว่าจะกำลังฝันถึงเรื่องขนมอะไรสักอย่างอยู่

 

“เฮ้อ…ให้ตายสิ…เธอเนี่ยน๊า…”

 

นากายกมือขึ้นมาลูบหัวน้องสาวของเขาที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสิ่งที่เธอเห็นในความฝันพลางนึกถึงกลุ่มก้อนควันสีดำที่เขาเห็นในความฝันของตัวเองด้วยความกังวล เพราะถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวผมสีขาวที่ชื่อว่าพาเทียซ์ที่เขาได้เจอในความฝันนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเปล่ากันแน่ แต่ว่าในเมื่อเขาเคยได้เจอกับเธอมาแล้วถึงสามครั้งด้วยกันมันก็ทำให้เขาอดที่จะสงสัยขึ้นมาบ้างเป็นไม่ได้

 

และยิ่งไปกว่านั้นในครั้งที่สองที่เขาได้เจอกับพาเทียซ์ เธอก็ได้เอ่ยปากเตือนเขาถึงพรีมูล่าที่กำลังพุ่งเข้ามาปลุกเขาถึงที่จนทำให้เขารอดมาจากวิธีปลุกด้วยเข่ามรณะของพรีมูล่าได้ทันท่วงที ซึ่งนั่นก็ทำให้นากายิ่งเป็นกังวลใจมากไปกว่าเดิมเกี่ยวกับคำเตือนเรื่องกลุ่มก้อนสีดำที่เคยโผล่มาให้เขาเห็นในความฝันมาแล้วถึงสองครั้งด้วยกันนั้น

 

“งืม~~…..”

 

เสียงงึมงำของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาให้นากาได้ยินนั้นทำให้เขาชะงักไปในทันทีและค่อยๆ ผละมือออกจากหัวของน้องสาวของเขาอย่างช้าๆ โดยระวังไม่ให้เธอตื่นขึ้นมา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ แอบย่องออกไปจากห้องนอนเพื่อไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

 

และหลังจากนั้นไม่นานนากาก็ได้นั่งลงบนเก้าอี้ของห้องนั่งเล่นเพื่อมองออกไปยังกำแพงกั้นเขตที่อยู่ทางด้านหลังบ้านพลางนึกสงสัยว่าทั้งๆ ที่เขาเองก็จำได้ว่าด้านหลังบ้านนี้เป็นกำแพงอย่างแน่นอนแต่ว่าทำไมสิ่งที่เขาเห็นในความฝันนั้นถึงเป็นเพียงแค่ผืนน้ำที่สงบนิ่งแบบนั้น ก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะจะโผล่พรวดออกมาจากห้องออฟฟิศของเธอและเอ่ยปากทักทายเขาขึ้นมา

 

“อ้าว… ตื่นแล้วหรอนากาคุง”

 

“อ–อ่า อรุณสวัสดิ์…นี่อย่าบอกนะว่าเธอนั่งทำงานทั้งคืนเลยน่ะ?”

 

“อื้ม… ก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะ… พอดีว่าทางโรงเรียนเขาอยากได้ยูนิตรุ่นต้นแบบกับแบบแปลนของมันเพื่อเอาไปผลิตกันเลยน่ะ แต่ดูเหมือนว่าแบบแปลนมันจะโดนระเบิดเละไปจนไม่เหลือซากซะแล้วนี่สิ ฉันก็เลยต้องรีบร่างมันขึ้นมาใหม่ให้พวกเขาทั้งคืนเลย…”

 

เอริกะที่เข้าใกล้ความเป็นหมีแพนด้าไปอีกขั้นนั้นได้พูดขึ้นมาพลางเดินโซเซเข้าไปในห้องครัวจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องเดินตามเธอเข้าไปด้วยความเป็นห่วง

 

“ต้นแบบ? เธอหมายถึงพาร์ทที่อลิซเขาเอาไปใช้นั่นน่ะหรอ?”

 

“ช่ายๆ ทางโรงเรียนเขาอยากได้แปลนของมันเพื่อเอาไปผลิตกันน่ะ… ว่าแต่นายกินกาแฟเป็นหรือเปล่าน่ะนากาคุง…? สนใจจะลองสักหน่อยมั้ย?”

 

“อ–อ่า– ก็ได้แหล่ะ”

 

สภาพของเอริกะที่เหมือนจะอดนอนจนเบลอไปหมดนั้นทำให้นากาได้แต่พูดตามน้ำไปกับเธอด้วย ก่อนที่เขาจะยืนมองดูเอริกะที่กำลังคุ้ยหาเหยือกกาแฟที่เธอเก็บเอาไว้ในตู้แช่เย็นอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจที่จะถามเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เขากังวลอยู่ขึ้นมา

 

“จะว่าไปเอริกะ… ฉันขอถามอะไ—-”

 

“อ่ะ เหมือนจะเหลืออยู่แค่แก้วเดียวแฮะ…. นายจะเอามันไปดื่มก่อนมั้ยนากาคุง?”

 

“ไม่เป็นไรๆ เธอดื่มไปก่อนเลยดีกว่า เพราะดูเหมือนถ้าเธอไม่ได้อะไรมาช่วยตอนนี้มีหวังจะได้สลบเหมือดคาห้องครัวนี่แน่ๆ แล้วล่ะ”

 

“แหม่~ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า~ แต่ถ้านายจะว่าแบบนั้นงั้นถ้วยนี้ฉันขอเลยละกันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะต้มใหม่ให้นายเลยละกัน”

 

เอริกะพูดตอบเขากลับมาพลางเทกาแฟที่เธอหยิบออกมาลงไปในถ้วย ก่อนที่เธอจะหยิบเอากาต้มน้ำออกมาจากตู้เก็บพร้อมจุดไฟบนเตาและหลังจากนั้นเธอก็เดินไปคุ้ยหากระปุกเก็บเมล็ดกาแฟที่ถูกบดจนเป็นผงละเอียดออกมาเพื่อนำมันมาผสมกับน้ำ และเมื่อเอริกะคนมันจนเข้ากันแล้วเธอก็เทมันใส่ลงกาต้มน้ำไปซะอย่างนั้นเลยจนทำให้นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองดูลีลาการชงกาแฟที่ไม่เหมือนใครของเธอ

 

และเมื่อเอริกะจัดการกับกาต้มน้ำเสร็จแล้ว เธอก็หันไปคว้าถ้วยกาแฟที่เธอวางทิ้งไว้ในทีแรกและยกมันขึ้นมาซดจนหมดถ้วยในอึกเดียว

 

“ฮ่าาา~ รสชาติไม่ได้เรื่อง!! ว่าแต่เมื่อกี้นายว่าไงนะนากาคุง? เห็นว่ามีอะไรจะถามฉันหรอ?”

 

“อ—เอ่อ…ก็แบบว่า…พอดีมีเรื่องอยากจะถามอะไรเธอสักหน่อยน่ะ”

 

“หืม~? ลองว่ามาสิ ถ้าไม่ใช่เรื่องอายุของฉันล่ะก็ฉันก็ตอบให้ได้หมดนั่นแหล่ะ~”

 

ท่าทางของเอริกะที่เหมือนจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่เธอได้ซดกาแฟค้างคืนถ้วยนั้นเข้าไปถึงกับทำให้นากาทำตัวไม่ถูกไปสักพักพร้อมกับแอบเหลือบมองดูน้ำผสมผงกาแฟที่กำลังถูกต้มอยู่ในกาต้มน้ำอันนั้นด้วยท่าทีหวาดระแวงเล็กน้อยพลางนึกสงสัยว่ามันเป็นแค่เมล็ดกาแฟที่ถูกบดเป็นผงอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ หรือเปล่า

 

“เอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก… ฉันแค่สงสัยว่าเธอพอจะได้ข่าวอะไรมาจากทางทิศตะวันตกบ้างหรือเปล่าน่ะ?”

 

“ทิศตะวันตก? จากแถวหมู่บ้านโมริโกะของพวกเธอน่ะหรอ?”

 

“อืม… ฉันหมายถึงจากที่นี่ไปทางตะวันตกสัก… เอ่อ… สักห้าร้อย ไม่ก็พันสองพันกิโลเมตรได้ล่ะมั้ง?”

 

ระยะทางที่นากาพูดขึ้นมานั้นถึงกับทำให้เอริกะชะงักไปชั่วขณะและเหลือบไปมองเขาด้วยสายตาแหลมคม แต่ว่าเมื่อเธอเห็นท่าทางของนากาที่เหมือนจะไม่มั่นใจในคำถามของตัวเองแล้วเธอก็ได้ละสายตาไปจากเขาและหันกลับไปจัดการกาต้มน้ำต่อแล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติของเธอ

 

“ถ้าเป็นทางทิศตะวันตกล่ะก็ไม่ค่อยจะมีข่าวอะไรหรอกนะ~ เพราะว่าทางทิศนั้นไม่เหลือเมืองใหญ่เลยสักเมืองน่ะ จะมีอย่างมากก็แค่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างหมู่บ้านโมริโกะของพวกเธอนั่นแหล่ะ~ แล้วจากระยะทางที่นายบอกมานั่นมันก็ลึกเข้าไปในเขตของทะเลมรกตแล้วด้วยเพราะงั้นมันก็เลยไม่ค่อยจะมีข่าวอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากเรื่องการค้นพบซากโบราณสถานหรืออะไรทำนองนั้นน่ะ~ แล้วเรื่องที่เธออยากรู้มันคือเรื่องอะไรกันล่ะ~

 

“อืม… ถ้างั้นก็เอาเป็นรวมๆ กันไปละกัน… แบบประมาณว่าเรื่องที่ต้องคอยระวังเอาไว้เวลาเดินทางไปแถวนั้นหรืออะไรจำพวกพวกนั้นน่ะ”

 

“อื้ม~”

 

ฟวี้~~~~~!!

 

“อ้ะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังก้มหน้าคิดอยู่อย่างเงียบๆ นั้น กาต้มน้ำของเธอก็ได้ส่งเสียงเสียดแหลมออกมาจนทำให้เอริกะถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรีบหันไปคว้าถ้วยเปล่ามาอีกใบเพื่อเทกาแฟออกมาและส่งมันไปให้นากา

 

“เอานมหรือน้ำตาลเพิ่มมั้ย? ฉันไม่ได้ชงกาแฟเก่งเหมือนกับอารอนเขาหรอกนะ เพราะงั้นถ้าอยากจะให้มันพอกินได้ก็คงจะต้องใส่เยอะหน่อยล่ะ”

 

“อ—อ่า งั้นฉันขอทั้งคู่เลยละกัน”

 

นากาตอบกลับไปพร้อมกับรับเอาเหยือกนมและกระปุกน้ำตาลมาจากเอริกะ ในขณะที่ตัวเอริกะเองก็หันกลับไปเทกาแฟที่เพิ่งจะต้มเสร็จใหม่ๆ ลงไปในถ้วยกาแฟของตัวเองและพูดตอบคำถามของนากาขึ้นมา

 

“ส่วนเรื่องที่นายถามว่ามีอะไรที่ต้องระวังเวลาไปแถวทิศตะวันตกมั้ยนั่น… ถ้าจะให้พูดกันจริงๆ ฉันเองก็คงจะบอกได้ไม่หมดหรอก”

 

“หมายความว่าไงล่ะนั่น? ระหว่างทางไปหมู่บ้านของฉันมันมีอะไรอันตรายขนาดเลยหรอ…?”

 

“จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอก เพราะถ้าจะให้ถามฉัน ฉันว่าจะอะไรมันก็อาจจะเป็นอันตรายได้ทั้งหมดนั่นล่ะ… ทั้งเรื่องอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ทั้งผู้คนที่จะได้พบเจอ… หรือแม้กระทั่งเตาไฟนี่ ถ้าอัดวิซใส่มันมากๆ เข้าแล้วเอามันไปใช้เป็นเครื่องพ่นไฟก็อาจจะใช้มันเผาทั้งเมืองให้วอดวายได้เลยนะ แบบนี้จะนับว่าเตาไฟนี่เป็นอัตรายหรือเปล่าล่ะ…?”

 

เอริกะพูดขึ้นมาพร้อมกับดับไฟบนเตาเบื้องหน้าลงก่อนจะหันไปตักน้ำตาลจากกระปุกมาใส่ลงในถ้วยกาแฟของเธอ ซึ่งถึงแม้ว่านากาจะนึกภาพไม่ออกว่าเตาไฟตรงหน้าของเขาจะถูกใช้เป็นอุปกรณ์ในการเผาเมืองได้ยังไงแต่ว่าในเมื่อเอริกะเป็นคนพูดขึ้นมาเองมันก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ก็ได้

 

“ที่เธอว่ามามันก็จริงแฮะ…”

 

“ใช่มั้ยล่ะ~ แล้วฉันขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ว่ายิ่งที่ไหนมีคนเยอะๆ ที่นั่นก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้นนั่นแหล่ะ อ้อใช่… แต่ว่าต่อให้จะมีคนน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าที่นั่นจะปลอดภัยหรอกนะ”

 

“หือ? หมายความว่ายังไงล่ะนั่น?”

 

“จะว่ายังไงดีล่ะ… ก็แบบว่าเดี๋ยวนี้เนี่ยอาวุธมันก็พัฒนาไปไกลกันจนเรื่องจำนวนคนแทบจะกลายเป็นเรื่องรองไปแล้วน่ะสิ ลองเทียบอย่างปืนสมัยเก่าของพรีมจังกับปืนรุ่นใหม่ของโมโกะจังที่เรียกว่าปืนกลเบานั่นสิ ปืนยาวของพรีมจังน่ะใช้งานได้ยากกว่าตั้งเยอะเลยใช่มั้ยล่ะ ทั้งความเร็วในการยิงทั้งขนาดที่พกพาไม่สะดวกนั่นน่ะ ถึงความรุนแรงของปืนกลเบาจะน้อยกว่าปืนยาวอยู่บ้างก็เถอะ แต่ฉันว่าสู้กับคนใช้ปืนยาวแบบพริมจังสักห้าคนพร้อมกันยังจะสบายกว่าสู้กับคนที่ใช้ปืนกลเบาแค่คนเดียวอีกนะ”

 

“อื้ม… ก็จริงนะ เพราะอย่างตอนที่ฝึกซ้อมกับพรีมูล่าอย่างมากยัยนั่นก็ยิงเข้าใส่ติดๆ กันได้แค่ห้านัดนั่นล่ะแถมยังป้องกันได้ง่ายอีก… แต่ตอนที่ฉันไปฝึกกับโมโกะฉันโดนโมโกะเขาสาดกระสุนเข้าใส่ตั้งกี่สิบนัดก็ไม่รู้จนโมโกะเขาพลาดท่าไปเองฉันถึงจะมีโอกาสเข้าประชิดตัวได้น่ะ…”

 

“ใช่มั้ยล่ะ~ สมัยนี้เนี่ยต่อให้จะเป็นทหารรับจ้างกลุ่มเล็กๆ แต่ถ้าพวกเขามีอุปกรณ์ดีๆ ก็แทบจะอันตรายกว่าพวกกลุ่มใหญ่ๆ ไปซะแล้วล่ะ~ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ นายถึงถามเรื่องเกี่ยวกับทิศตะวันตกขึ้นมาล่ะ~?”

 

“อ—เอ่อ…ก็…เปล่าหรอก ฉันแค่เกิดสงสัยขึ้นมาเฉยๆ แค่นั้นแหล่ะ”

 

นากาที่ถูกเอริกะถามขึ้นมานั้นได้ลังเลเล็กที่จะตอบอีกฝ่ายกลับไปและพยายามพูดตัดบทขึ้นมา เพราะถ้าจะให้เขาบอกเอริกะว่าเขารู้สึกกังวลขึ้นมาหลังจากที่ฝันเห็นอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ทางทิศตะวันตกก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าอายไปสักหน่อย ซึ่งเอริกะนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรมากนักเพราะว่าปกติแล้วนากาก็ชอบที่จะถามนู้นถามนี่กับเธออยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว

 

“งั้นหรอ…? ถ้านายว่างั้นก็เอาตามนั้นล่ะกัน~ ว่าแต่แล้วเดี๋ยววันนี้พวกเธอจะเก็บของย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์กันเลยหรือเปล่าล่ะเนี่ย?”

 

“อื้อ ก็กะไว้ว่าอย่างงั้นนั่นแหล่ะ แต่ยังไงก็คงจะต้องรอให้ยัยตัวแสบนั่นตื่นก่อนล่ะนะ… แล้วจะว่าไปพอเหลือกันอยู่แค่สามคนนี่บ้านของเธอก็ดูไม่ได้เล็กอะไรขนาดนั้นเหมือนกันนะเนี่ย”

 

“แหม่~ ก็ปกติฉันอยู่บ้านนี้แค่คนเดียวนี่นา ถึงเมื่อก่อนจะมีเอริซาเบธกับเดรคเขาอยู่ด้วยก็เถอะแต่นั่นรวมแล้วอย่างมากก็แค่สามคนเอง อ่ะจริงด้วยสิ— เดี๋ยวฉันมาแป๊บนึงนะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับมาพร้อมกับวางถ้วยกาแฟที่ว่างเปล่าลงไปบนเคาน์เตอร์ภายในห้องครัวก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในห้องออฟฟิศสักพักหนึ่งและกลับออกมาพร้อมกับยื่นกล่องกระดาษกล่องหนึ่งให้กับนากา

 

“อ่ะนี่ ถ้านายไปถึงคฤหาสน์แล้วก็ฝากเอาเจ้านี่ไปให้อลิซเขาหน่อยสิ”

 

“หือ? มันคืออะไรล่ะเนี่ย?”

 

“มันคือพาร์ทส่วนบนที่เข้าคู่กับพาร์ทที่อลิซเขาเอาไปใช้น่ะ ฉันเพิ่งจะซ่อมมันเสร็จเมื่อคืนนี้ก็เลยกะว่าจะฝากนายเอาไปให้อลิซเขาลองใช้งานดูน่ะ”

 

“พาร์ทที่อลิซเอาไปใช้… อ้อ โครงเหล็กที่ฉันเคยลองใส่เมื่อคราวก่อนน่ะนะ ได้สิ เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะขนไปให้เองละกัน”

 

นาการับกล่องกระดาษใบนั้นมาและเอามันไปวางไว้ตรงที่เขาจะสังเกตเห็นมันได้ง่ายๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาเอริกะและถามถึงเรื่องที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอลิซมาสักพักหนึ่งแล้วกับเธอไป

 

“จะว่าไป เอริกะ… เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่ากำแพงอากาศที่อลิซเขาใช้งานบ่อยๆ นั่นมันทำงานยังไงน่ะ? ฉันเห็นอลิซเขาเอาไปใช้ดีดคนอื่นจนกระเด็นได้อยู่ก็จริงแต่ว่าดูแล้วมันทำงานคนละแบบกับโล่ลมที่พวกเซซิลเขาใช้กันเลยนี่ แถมฉันเห็นว่าเวลาอลิซจะใช้งานมันเธอก็ชอบตะโกนว่า พีคิวอะไรสักอย่างนั่นตลอดเลยด้วย”

 

“กำแพงอากาศ…? หมายถึงอะไ—- อ้อ! หมายถึงเจ้านั่นสินะ”

 

เอริกะที่กำลังเขย่งเท้าเอื้อมไปหยิบไหคุกกี้ที่เธอแอบเอาไว้ด้านบนตู้เย็นนั้นได้พูดถามกลับมาเหมือนกับไม่เข้าใจในความหมายของคำว่ากำแพงอากาศที่นากาพูดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นมาได้ว่านากากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่และหันกลับมาหาเขาพร้อมกับหยิบคุกกี้ขึ้นมาแทะเล่น

 

“พวกเธอรู้จักกับอารอนมาสักพักใหญ่แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ? งั้นน่าจะเคยเห็นเขาใช้งานเจ้า ‘กำแพงอากาศ’ ที่เขาบอกว่าเป็นวิซธาตุลมนั่นอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ”

 

“เอ๋ะ? อ่า… ถึงมันจะดูคล้ายกันก็เถอะ แต่ว่ากำแพงอากาศที่อารอนเขาเคยใช้ให้ดูมันแข็งแกร่งสุดๆ เลยไม่ใช่หรอ ขนาดที่ว่าสมัยที่พรีมูล่ายังซนๆ อยู่ยัยนั่นก็ยังหาวิธีทำให้มันเป็นรอยไม่ได้เลยนะ… แต่ว่าของอลิซเขาโดนอะไรนิดหน่อยๆ ก็ร้าวแล้วนี่”

 

“อื้อ กำแพงอากาศที่อลิซเขาใช้มันก็แบบเดียวกับของอารอนนั่นล่ะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ก็เลยพังง่ายกว่ากันเยอะแลกกับการที่สามารถควบคุมได้ทีละหลายๆ อันพร้อมกันแทนน่ะ”

 

เอริกะพูดอธิบายขึ้นมาพร้อมกับนั่งแทะคุกกี้ไปด้วยจนทำให้นากาแทบจะดูไม่ออกว่าเธอกำลังพูดอธิบายอยู่อย่างจริงจังหรือเปล่ากันแน่ทำให้เขาต้องพูดถามเธอไปเพิ่มเติม

 

“แล้วที่อลิซเขาชอบตะโกนว่าพีคิวอะไรนั่นเวลาจะใช้มันล่ะ? ฉันไม่เห็นอารอนจะต้องทำแบบนั้นเลยนะ”

 

“อื้ม… ถ้าเรื่องนั้น นายรู้หรือเปล่าว่าอารอนเขาเรียกเจ้า ‘กำแพงอากาศ’ ของเขาว่าอะไรน่ะ?”

 

“เอ๋? เอ่อ… จะว่าไปฉันก็ไม่เคยได้ยินเขาเรียกชื่อท่านั้นออกมาเลยแฮะ… ไม่สิ ต้องบอกว่าที่จริงแล้วไม่ค่อยจะมีใครที่ไหนเขาตะโกนชื่อท่าออกมาแบบอลิซเขามากกว่าล่ะมั้ง…”

 

เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตอบนากากลับไปพลางฉกมือเข้าไปหยิบคุกกี้ออกมาแทะเล่นเพิ่มเติมซะจนแก้มของเธอตุ่ยออกมาเหมือนกับหนูแฮมเตอร์พร้อมกับพูดขึ้นมาต่อ

 

“สิ่งที่นายเรียกมันว่ากำแพงอากาศนั่นน่ะ ที่จริงแล้วมันมีชื่อเรียกว่า ควอรันทีน… สมัยก่อนเวลาที่อารอนเขาทำการรักษาคนไข้เขาจะกางมันออกมาทุกทิศรอบตัวเพื่อใช้ในการป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายกับคนไข้ได้น่ะ คำว่า คิว. ใน พี.คิว. ที่อลิซเขาตะโกนออกมาน่าจะหมายถึงคำนี้ล่ะมั้ง”

 

“เวลารักษาคนไข้หรอ…? ฟังดูเป็นอะไรที่ยุ่งยากเหมือนกันนะนั่น… แล้วนี่อลิซเขาเพิ่งจะเคยเจอกับอารอนก็เลียนแบบมาใช้ได้เลยเนี่ยนะ?”

 

“เอาจริงๆ ต้องบอกว่าเพราะเป็นอลิซเขาถึงทำได้ต่างหากล่ะ เพราะว่าอลิซเขาก็คล้ายๆ กับน้องสาวของนายที่มีพรสวรรค์ด้านการใช้วิซน่ะ… ถึงของน้องสาวนายจะเด่นไปที่ธาตุน้ำแข็งอย่างเดียวก็เถอะนะ… แต่เอาจริงๆ ฉันสงสัยว่าอลิซเขามาจากฝั่งไหนกันแน่มากกว่า… เพราะจากที่ฉันได้ยินมาดูเหมือนว่าอลิซเขาจะเปิดตัวได้อลังการกว่าคนอื่นซะด้วยสิ”

 

“เปิดตัว? อ้อ เธอหมายถึงดาวตกนั่นสินะ”

 

นากาพูดทวนคำของเอริกะขึ้นมาพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้พบเจอกับอลิซ หรือก็คือในตอนที่พรีมูล่าวิ่งหายเข้าไปในป่าหลังจากที่เธอบอกว่าเห็นดาวตกกำลังร่วงลงมานั่นเอง

 

“นั่นแหล่ะ นายพอจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอลิซหรือว่าดาวตกนั่นบ้างมั้ยล่ะ?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ… เพราะว่าตอนนั้นฉันก็แค่วิ่งตามพรีมูล่าที่บอกว่าเห็นดาวตกแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่าน่ะ พอฉันกับโมโกะตามเข้าไปก็เจออลิซเขานอนบาดเจ็บอยู่ตรงนั้นแล้วนั่นแหล่ะ”

 

“งั้นหรอ…? เอาเถอะ~ เดี๋ยวไว้ถ้าอลิซเขาอยากบอกเมื่อไหร่ก็คงจะเล่าออกมาเองล่ะมั้ง เอาเป็นว่าฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อก่อนละกัน ถ้ามีอะไรก็เข้าไปเรียกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ แล้วก็ตอนจะออกไปอย่าลืมเรื่องพาร์ทในกล่องนั่นล่ะ~”

 

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้พรีมูล่าตื่นแล้วพวกฉันจะเก็บของย้ายไปที่คฤหาสน์เลยละกันนะ”

 

นากาพูดไล่หลังเอริกะที่เดินหายเข้าไปในห้องออฟฟิศของเธอพลางมองดูกาแฟในถ้วยของเขาที่เริ่มจะเย็นชืดแล้วและตัดสินใจที่จะคว้ามันมากระดกให้หมดในทีเดียวทั้งแก้วก่อนที่เขาจะทำหน้าแหยงๆ และบ่นออกมา

 

“รสชาติไม่ได้เรื่องจริงๆ ด้วยแฮะ… เอาล่ะ งั้นก็คงจะเหลือแค่รอยัยตัวแสบนั่นตื่นสินะ”

 

“ฮื้มมม…. อ่าวพี่นากา… ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ…”

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของนากา พรีมูล่าในชุดนอนที่กำลังเดินขยี้ตาด้วยสภาพงัวเงียเต็มพิกัดก็ได้เดินลงมาจากชั้นสองและเอ่ยปากทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียไม่แพ้ท่าทางของเธอ จนทำให้เขาต้องรีบๆ ไล่น้องสาวของตนให้ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในทันที

 

“รีบๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวไป๊ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปจัดการเก็บข้าวของของเธอให้เรียบร้อยด้วยล่ะพวกเราจะได้ขนของไปที่คฤหาสน์กันได้เลย”

 

“ฮ๊าวววว~ ค่าาาาา…”