บทที่ 69 – ปฏิบัติการ..เร็วเหนือแสง
“อ้ะ.. แย่แล้วเอริเนีย”
“อะไรอีกคะ?”
“ฉันจะไปตามหาวิธีออกจากที่นี่ยังไงดีล่ะ ก็อยู่กลางอวกาศนี่น่า”
“…..”
จู่ๆ มิวก็พูดขึ้นอีกรอบหลังจากนึกขึ้นมาได้ แน่นอนว่าผู้กล้าเอริเนียที่ฟังอยู่ด้านนอกก็ได้แต่สูดหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ปานนั้นยังมีหน้ามาบอกว่าจะตามหาวิธีเอาเอง ขนาดวิธีเคลื่อนไหวยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำเนี่ย
“นายท่านก็แค่ใช้พลังในการบินเอาก็พอปะ.. อัตลักษณ์ของมังกรน่ะ”
“แต่ที่นี่ไม่มีแรงโน้มถ่วงนี่น่า จะบินในที่ที่ไม่มีแรงดึงให้ตกลงไปได้ไงอ่ะ”
“แต่มีทิศทางค่ะ”
ผู้กล้าเอริเนียพูดแบบนั้น มิวก็ลังเลนิดหน่อยแต่ก็ทำตามที่เอริเนียบอกแล้วก็อย่างที่ผู้กล้าเอริเนียบอกมันทำได้
เธอสามารถมุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการได้แล้ว.. ซึ่งผู้กล้าเอริเนียก้ได้แต่ทำสีหน้าแบบว่า ‘ก็แน่สิคะ’
แต่มิวไม่ได้เห็นสีหน้าของเธอแต่อย่างใด
“แล้วนายท่านรู้หรือยังว่าต้องทำยังไง?”
“ก็.. น่าจะรู้แหละนะ เพราะว่าที่นี่คือจักรวาลสี่มิติจำลอง ฉันก็แค่หาขอบสุดของมันแล้วก็ใช้ลมหายใจมังกรเป่ามันออกมาจนทะลุก็พอแล้วใช่ไหม”
ผู้กล้าเอริเนียไม่ได้พูดอะไรเพื่อแสดงถึงความนับถือต่อความคิดอันด้อยปัญญาของนายท่านที่ตนเองนับถือ
แน่นอนว่าเธอนับถือจริงๆ ไม่ใช่การดูถูก.. นับถือจริงๆ
“คือว่านายท่าน.. สำหรับนายท่านที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิต 3 มิติในจักรวาลนั้นไปแล้ว จักรวาลนั้นกว้างขวางไร้จุดสิ้นสุดอย่างแท้จริง ต่อให้นายท่านใช้เวลาทั้งอนันต์ก็คงไม่สามารถตามหาขอบจักรวาลนั้นเจอหรอก”
“แถมก่อนจะพูดถึงว่าไปขอบจักรวาลที่ไม่มีอยู่จริงนั้น นายท่านรู้ไหมว่าอวกาศวัดระยะทางด้วยความเร็งแสงเป็นปี”
“พูดอีกแบบก็คือขนาดหนึ่งปีที่แสงเดินทางในอวกาศมันยังนับเป็นแค่ระยะทางอันน้อยนิดเกินจะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ในจักรวาลเลยนะ”
“นายท่านที่มีความเร็วไม่ถึงความเร็วแสงแน่ๆ จะทำไงละคะ?”
เมื่อมิวฟังถึงจุดนี้เธอก็พยักหน้าพูดขึ้น
“นั่นแหละปัญหา ฉันกำลังจะถามเธอเรื่องนี้พอดี”
“ค่ะ”
ผู้กล้าเอริเนียได้แต่ภูมิใจที่นายท่านตัวเองตามเรื่องราวของจักรวาลนี้ทันแล้ว.. ผู้กล้าเอริเนียหลับตาแล้วก็ส่งความคิดหนึ่งไปให้มิวที่อยู่ในนั้น
มันเป็นความรู้เกี่ยวกับอวกาศที่เธอเคยรู้จักมาผ่านเสียงดังกล่าว ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักรวาล เพราะถ้าให้ไปกว่าที่มิวจะทำความเข้าใจได้เธอก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะผ่านไปอีกกี่ปี
เพราะเธอยังใช้เวลานานมากๆ เลย.. แม้มิวอาจจะสามารถเข้าใจได้เร็วกว่าเพราะมีสมองระดับมังกร แต่ว่าก็คงผ่านไปหลายปีอยู่ดี
ซึ่งมิวไม่ได้มีเวลานานขนาดนั้น.. ดังนั้นเธอจึงให้ข้อมูลที่น่าจะเป็นทางออกให้มิวได้.. หนึ่งในข้อมูลเหล่านั้นคือสิ่งที่มิวรู้จักดี
นั่นก็คือ ‘หลุมดำ’ เทหวัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมากแม้แต่แสงที่ว่ากันว่าเป็นความเร็วที่สูงที่สุดในจักรวาลก็ไม่อาจหนีออกมาจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้
ซึ่งภายในหลุมดำนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าภาวะเอกฐานหรือซิงกูลาริตี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่กาลอวกาศนั้นมีค่าเป็นอนันต์
พูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือภายในหลุมดำที่นั่นจะมีภาวะเอกฐานที่ทุกอย่างจะถูกบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นอนันต์ และมีความหนาแน่นเป็นอนันต์
ซึ่งภายในหลุมดำนั้นจะมีความกว้าง ยาว ลึก เป็นศูนย์ นั่นหมายความว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจะไม่สามารถอธิบายได้..
“พูดอีกแบบก็คือในหลุมดำกฎทางกายภาพทั่วไปจะไม่สามารถรถอธิบายภายในภาวะเอกฐานได้”
“ซึ่งในอีกความหมายคือมันอาจจะเป็นช่องว่างหรือรอยแยกภายในของจักรวาลจำลองก็ได้”
“มันอาจจะพานายท่านหลุดออกมาจากจักรวาลนั้นได้ก็ได้ แถมแรงอัดของหลุมดำก็คงทำอะไรนายท่านไม่ได้ เพราะนายท่านมีอัตลักษณ์อมตะอยู่”
เพราะหลุมดำนั้นมีแต่ความลึกลับทั้งสิ้น ดังนั้นการที่จะเลือกไปยังหลุมดำจึงเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างถูก
แถมต่อให้เป็นมิวหากไม่สำเร็จก็คงไม่ตายเพราะโดนแรงโน้มถ่วงอนันต์ดูดและบีบอัดเข้าให้จนไม่เหลือมิติภายในตัวหรอก
เพราะอัตลักษณ์อมตะมิวนั้นต่อให้เป็นหลุมดำก็ไม่สามารถฉีกร่างของเธอได้นั่นเอง
“นี่เธอบอกให้ฉันไปโดดใส่หลุมดำเหรอ..?ต่อให้ไม่เป็นไรแล้วจะออกมาไงอะ”
“ก็วิ่งให้เร็วกว่าแสง”
“ปัญหาคือทำยังไงไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นแหละประเด็น นายท่านเรามาเจาะลึกกันเรื่องนี้ดีกว่า”
ผู้กล้าเอริเนียไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กลายเป็นคนช่างพูดขนาดนี้ อาจจะเพราะเก็บกดมานาน ไม่ได้คุยกับคนอื่นมานาน
พอได้อธิบายสิ่งที่ตัวเองรู้จักจึงรู้สึกสนุกขึ้นมา แน่นอนว่ามิวที่รับฟังเรื่องของเธอยิ่งทำให้เธอสนุกที่ได้เล่ากว่าเดิม
“คือนายท่านจำสิ่งที่เราพึ่งคุยกันไปได้ไหมว่าคนเราเวลาไม่เท่ากัน”
“อืม…?”
“แต่ว่าแสงเนี่ยมันไม่ใช่ไงนายท่าน คือคนเราเนี่ยจะเวลาไม่เท่ากันเมื่อมีความเร็วที่แตกต่างกันใช่ไหม แต่ทว่าแสงนี้จะเป็นความเร็วที่คงที่”
ผู้กล้าเอริเนียอธิบายค่อนข้างยาวแถมละเอียดและซับซ้อนพอสมควร เอาเท่าที่มิวพอเข้าใจและจับใจความได้เลยก็คือ
แสงมันคือความเร็ว MAX ของจักรวาล ประมาณสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที แต่สมมุติว่ามีคนคนหนึ่งที่เร็งสามแสนกิโลเมตรต่อวินาทีเหมือนกับแสง
นั่นหมายความว่าเขาก็ต้องมีเวลาที่ช้ากว่าคนที่อยู่เฉยๆ เพราะเวลาคนเราไม่เท่ากัน แต่แสงจะยังคงเร็วกว่าเขาสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที
เหมือนกับว่าเขาที่รู้สึกว่าตัวเองควรจะเร็วเท่าแสง แต่กลับพบว่าแสงกลับเร็วกว่าเขาสามแสนกิโลเมตรต่อวินาทีอยู่ดี
กล่าวคือการรับรู้ที่ว่าแสงเร็วสามแสนกิโลเมตรต่อวินาทีนั้นคือสูงสุดเท่าที่สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์จะสามารถรับรู้ได้
แต่ไม่สามารถตามทันได้นั่นเอง.. เพราะหากตามทันนั้นมันจะมีโอกาสที่จะทำให้หลักแห่งเหตุและผลเปลี่ยนแปลงไป
ตามที่เคยกล่าวไปว่าแสงนั้นเร็วเท่าเดิมเสมอ แต่คนนั้นมีเวลาไม่เท่ากัน หากมีคนหนึ่งเร็วกว่า คนหนึ่งช้ากว่า แต่แสงคือความเร็วคงที่สำหรับคนที่ช้ากว่าและเร็วกว่า
แสงนั้นจะถูกส่งย้อนเวลากลับไปหาคนที่เวลาไหลช้ากว่า เพราะคนที่เวลาไหลช้ากว่าจะส่งแสงไปหาคนที่เร็วกว่าในอนาคตนั่นเอง
ดังนั้นความเร็วแสงจึงเป็นความเร็วที่คงที่ ถึงผู้กล้าเอริเนียจะไม่รู้ว่าจักรวาลจริงนั้นมีพระเจ้าหรือเปล่า หรือทำไมปล่อยให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้น
แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันคือความขัดแย้งของจักรวาล คนที่เร็วสามแสนกิโลเมตรต่อชั่วโมงควรจะเห็นแสงเร็วเท่าตัวเองแต่ยังเห็นแสงเร็วกว่าตัวเอง
คนที่ช้ากว่ายังเห็นแสงเร็วเท่าคนที่เร็วสามแสนกิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมือนกับเป็นปัญหาเรื่องมุมมองเสียมากกว่า
ซึ่งก็ชัดเจนว่ามันคือความขัดแย้ง
แต่นี่คือจักรวาลจำลองจักรวาลจำลองที่จำลองทุกอย่างขึ้นมาจากจักรวาลที่มีอยู่จริง ความเร็วสูงสุดที่จักรวาลนี้มีได้คือสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที
พูดง่ายๆ คือพวกมันไม่สามารถปล่อยให้เกิดความขัดแย้งแบบนั้นขึ้นแน่ๆ ยิ่งเป็นตอนที่มิวอยู่ในโลกแห่งนี้พวกมันคงเตรียมรับมือกับการที่มิวจะทำให้ระบบนิเวศน์หรือกฎภายในโลกแห่งนี้ไม่พังเต็มที่แน่ๆ
“เธอจะบอกอะไร?”
มิวถาม ผู้กล้าเอริเนียก็พูดความคิดของตัวเองขึ้นมา
“ขอแค่นายท่านเร็วเหนือกว่าแสงได้ชั่วครู่หนึ่ง.. เจ้าพวกที่ดูแลจักรวาลจำลองนี้คงไม่ยอมให้เกิดสิ่งที่ขัดแย้งนั้นขึ้นแน่”
“พวกมันจะต้องขยายความเร็วที่สูงที่สุดในจักรวาลเกินสามแสนกิโลเมตรต่อวินาทีเพื่อมาครอบคลุมการกระทำของนายท่านว่า นายท่านสามารถเร็วได้มากกว่าแสง”
“และนั่นก็หมายความว่า.. นายท่านจะเร็วกว่าแสงได้”
“แต่สำหรับจักรวาลจำลอง สำหรับผู้ดูแลระบบคงขยายขอบเขตของกฎจักรวาลจำลองมาเพื่อรองรับว่ามีสิ่งที่เร็วกว่าแสง แต่ของแบบนั้นมันคงไม่ง่าย เพื่อที่จะรองรับความเร็วที่จู่ๆ ก็พุ่งมามันจะต้องเปลี่ยนกฎว่า..สิ่งที่เร็วที่สุดไม่ใช่แสง แต่เป็นนายท่านที่ระเบิดความเร็วออกมาในตอนนั้น”
“แม้จะไม่สามารถสร้างความขัดแย้งแบบในโลกจริง แต่นายท่านก็จะกลายเป็นตัวตนที่เร็วกว่าแสงในจักรวาลนี้ไปโดยสิ้นเชิงค่ะ”
“ใช่แล้ว เหมือนกับที่แสงนั้นเร็วที่สุดในจักรวาลจริง ในจักรวาลจำลองเจ้าพวกนั้นก็จะจำเป็นต้องแก้ไขให้สิ่งที่เร็วที่สุดไม่ใช่แสง แต่เป็นนายท่านที่เร็วกว่าแสง”
“ความเร็วที่นายท่านระเบิดออกมาตอนแรกไงล่ะ”
“หรือก็คือ.. หลอกโลกใบนี้ หลอกแสงในโลกใบนี้ หลอกพระเจ้าของโลกใบนี้.. และแย่งคุณสมบัติที่เร็วที่สุดและเป็นความเร็วเต็ม MAX ของจักรวาลมาซะนั่นเองค่ะ”
ผู้กล้าเอริเนียพูดขึ้น แม้แต่เธอพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปหมดแล้วเธอยังรู้สึกทึ่งเลยว่ามันจะเป็นไปได้จริงไหม
มิวเองก็นิ่งเงียบไปเหมือนกัน ก่อนเธอจะถามขึ้น
“แล้วฉันจะระเบิดความเร็วให้เร็วกว่าแสงได้ยังไง?”
“เรื่องนั้นง่ายมากนายท่าน นายท่านก็แค่ใช้พลังงานลึกลับนั้นแทนที่จะปล่อยออกมาทำลายล้างก็ปล่อยมันไหลลงไปที่หลังก่อนจะระเบิดออกมาจากรูขุมขนทีเดียว แม้ไม่อาจจะใช้เป็นพลังทำลายล้างเหมือนปล่อยจากปาก แต่ก็สามารถใช้เป็นแรงเหวี่ยงในการเร่งความเร็วชั่วคราวก็ได้”
มิวที่ได้ยินก็สูดลมหายใจลึกๆ
“เธอนี่รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะ”
“ฉันรู้แค่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับนายท่านเท่านั้นแหละค่ะ”
“เอาเถอะ.. มาลองกันสักตั้ง ถ้าเร็วกว่าแสงได้กะอีแค่หลุมดำมันจะไปหยุดฉันได้ไงละว่าไหม?”
ปฏิบัติการ..เร็วเหนือแสง
เริ่ม!!