ลมปราณคือชีวิต จุดก่อกำเนิดของชีวิตที่เชื่อมต่อกับวิญญาณ การขับเคลื่อนลมปราณขั้นสูงจึงสามารถดึงวิญญาณให้ก้าวข้ามขีดจำกัดออกมาได้
อิชย์จ้องมองไปยังไอปราณสีขาวที่ห่อหุ้มร่างอันสงบนิ่งของอินกอง ลมปราณบริสุทธิ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาเร้าร้อนดั่งเปลวไฟ ส่องสว่างอาณาบริเวณโดยรอบ
“โฮ่ น่าสนใจทีเดียว”
อิชย์เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในร่างของอินกอง แม้จะเพียงเบาบาง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่ปะปนอยู่ในลมปราณเบื้องหน้า
นี่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายเอาไว้มาก เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นระหว่างการถ่ายทอดเคล็ดประกาศิตจิตสุร
“ข้าชักอยากจะพาองค์ชายไปที่เขตศักดิ์สิทธิ์ซะแล้วสิ”
แต่อิชย์ก็ไม่สามารถทำได้ นั่นเพราะเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย
“แต่ไม่มีการบรรลุอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างไร้สติ… องค์ชายทำทั้งหมดอย่างไม่รู้ตัว จะเรียกว่าพรสวรรค์หรือว่าอะไรดี?”
อิชย์พึมพำด้วยเสียงชื่นชม เฟลิซีที่รับฟังอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวและคว้าแขนของปราชญ์ดาบในที่สุด
“หมายความว่าไง? ฉัตรจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ถึงแม้จะถูกขัดจังหวะ ปราชญ์ดาบไม่มีอาการขุ่นเคืองแต่อย่างใด เขาทำเพียงลูบหัวเฟลิซีเบาเบา ราวกับปลอบประโลมเด็กน้อย
“องค์หญิงไม่ต้องห่วงองค์ชายหรอก พวกเรามาคอยจับตาดูเขากันดีกว่าไหม? สักพักองค์ชายก็น่าจะได้สติกลับมา ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น… ข้าแค่เพียงถ่ายทอดเคล็ดลมปราณของเคล็ดประกาศิตจิตสุร กับเคล็ดกระบวนท่าพื้นฐานนิดหน่อย”
ปราชญ์ดาบตอบมาอย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนเฟลิซีจะไม่ได้รับฟังทั้งหมด นางอุทานออกมาอย่างตกใจโดยไม่สนใจมือของปราชญ์ดาบที่กำลังลูบหัวนางอยู่
“ประกาศิตจิตสุร!”
เฟลิซีพอจะคุ้นเคยชื่อนี้อยู่บ้าง นี่คือชื่อของเคล็ดลมปราณที่แม่ทัพกาลาฮัดใช้ กาลาฮัดผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าแม่ทัพองค์รักษ์หลวง
เคล็ดวิชาที่ว่าเพิ่งจะถูกถ่ายทอดให้กับฉัตร
เฟลิซีรีบหันกลับไปมองยังฉัตร ส่วนคารัคที่ฟังการสนทนาอยู่อย่างเงียบเงียบก็ส่งเสียงออกมาอย่างชื่นชม
กัมมะสังเกตเห็นอาการของทั้งสอง ก่อนนางจะตัดสินใจกระซิบถามเจ้าออร์ค
“คารัค อะไรคือเคล็ดประกาศิตจิตสุร?”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูจากท่าทางขององค์หญิงแล้ว มันต้องเป็นอะไรที่สุดยอดแน่!”
คำตอบของคารัคทำให้ปราชญ์ดาบหลุดหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เลวไม่เลว องค์ชายมีพวกพ้องที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
คารัคยิ้มรับคำชม ส่วนกัมมะก็ได้แต่ก้มหัวรับอย่างนอบน้อม
แต่ก็มีสมาชิกหนึ่งท่านที่ยังคงเคร่งเครียด เฟลิซีคว้าแขนของปราชญ์ดาบอีกครั้งก่อนจะถามเพิ่ม
“ปู่ทำแค่แค่ถ่ายทอดเคล็ดลมปราณเท่านั้นจริงๆหรือ?”
ถ้าเป็นเพียงแค่การถ่ายทอดเคล็ดลมปราณ มันก็ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ ต้องมีบางอย่างแอบแฝงเพิ่มเติมแน่นอน
ปราชญ์ดาบตอบกลับนางอย่างไม่ซ่อนเร้นอะไร
“ฮืม ดูเหมือนองค์ชายจะผสานเคล็ดประกาศิตจิตสุรกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเข้ารวมกันเป็นหนึ่ง”
“ฮ่ะ?”
“เคล็ดลมปราณสองชนิดถูกผสานเข้ารวมกัน เกิดเป็นเคล็ดลมปราณชนิดใหม่ที่มีเคล็ดไอศวรรย์เป็นแกนหลัก”
ปราชญ์ดาบตอบพลางยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เฟลิซีตกเข้าสู่ห้วงกังวลอีกครั้ง แม้นางจะไม่ได้เรียนรู้ลมปราณ แต่ซิลวานพี่ชายของนางก็ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง นั่นทำให้นางพอจะเข้าใจรายละเอียดอย่างคร่าว คำตอบของปราชญ์ดาบจึงเป็นอะไรที่ทำให้นางยอมรับได้ยากลำบาก
ผสานรวมเคล็ดลมปราณเข้าด้วยกัน?
หลังจากที่เพิ่งเรียนรู้เคล็ดลมปราณ?
นี่เป็นเรื่องที่แหกสามัญสำนึกทั่วไป แต่นางก็ไม่คิดว่าปราชญ์ดาบจะโกหก
ปราชญ์ดาบตอบข้อสงสัยของนางต่ออย่างใจเย็น
“แม้แต่ตัวองค์ชายเองก็ไม่เข้าใจกระบวนการ มันเกิดขึ้นนอกเหนือจิตสำนึก นี่มันถึงได้น่าสนใจสุดๆ หรือจะให้พูดตรงๆก็ นี่มันน่าสนุกจริงๆ หึๆ ดูเหมือนข้าจะพบสัตว์ร้ายอีกตัวนอกไปจากองค์ชายรองแล้ว”
“ปู่!”
เฟลิซีร้องออกมาด้วยเสียงที่ปนด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย แต่ปราชญ์ดาบเมินเฉย เขามองไปยังอินกองด้วยตาที่เป็นประกาย
“ดูเหมือนองค์ชายจะได้สติแล้ว”
ลมปราณที่ปะทุอยู่รอบตัวอินกองเจือจาง ก่อนสายตาของอินกองเริ่มมีสติกลับมาอีกครั้ง
“องค์ชายได้สติกลับมาแล้วสินะ?”
อินกองพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับคำถามของปราชญ์ดาบ แม้จะยังมีอาการมึนงงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่มากพอทำให้เขาสลบ
อินกองใช้มือทั้งสองกุมหน้าของเขาไว้พลางพยายามระลึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพพัฒนาต่อเป็นเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร มิหนำซ้ำยังเป็นถึงเคล็ดวิชาระดับ SS
เท่าที่เขารู้ ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้ามีเพียงหนึ่งเคล็ดวิชาระดับ SS นั่นก็คือเคล็ดดาบของผู้กล้าล็อคค์
แต่ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้จะเปลี่ยนไป เคล็ดวิชาระดับ SS ได้เผยโฉมขึ้นอีกหนึ่ง และอินกองเป็นผู้เดียวที่เรียนรู้
“องค์ชายมีอะไรให้ข้าแปลกใจได้เยอะกว่าที่คิด ข้าคิดถูกจริงๆที่มาที่นี่”
เสียงร่าเริงของปราชญ์ดาบเล็ดล็อดเข้ามา อินกองวางมือของเขาลงก่อนจะมองไปยังต้นตอของเสียง
“ปราชญ์ดาบ”
“ข้าจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรทั้งสิ้นด้วย ที่ข้าสนใจไม่ใช่กระบวนการทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องที่องค์ชายสามารถทำมันออกมาได้สำเร็จตะหาก”
ปราชญ์ดาบตอบออกมาก่อนจะเลื่อนใบหน้ามาที่ระดับสายตาของอินกอง พร้อมกับคำถาม
“ชื่อละ?”
อินกองแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนปราชญ์ดาบจะรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเขาเรียบร้อย
นั่นทำให้เขาเลือกที่จะพูดความจริง ไม่มีประโยชน์อะไรให้ปิดบัง
“ไอศวรรย์ราชันสุร”
“ไอศวรรย์ราชันสุร… ฟังดูไม่เลว แล้วข้าจะเฝ้ามองดูการเติบโตขององค์ชาย”
รอยยิ้มอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโส ก่อนเขาจะถอยหลบให้เฟลิซีขยับเข้าหาอินกอง
“ฉัตร เธอไม่เป็นอะไรนะ?”
ดวงตาของเฟลิซีสั่นคลอ อินกองหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบนาง
“ไม่มีปัญหาครับ ขอบคุณนูนะครับที่เป็นห่วง”
“เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เฟลิซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างยินดีของคารัค ก่อนปราชญ์ดาบจะตบไหล่ของเฟลิซีเบาเบา
“องค์หญิงหก ข้ามีบางอย่างอยากจะถาม”
“ถามฉัน?”
“ใช่แล้ว องค์หญิงหกกับองค์ชายเก้าคุ้นเคยกันเพียงไหน?”
“ฮ่ะ?”
เฟลิซีหรี่ตาของนางเล็กน้อย แต่ปราชญ์ดาบก็ยังคงถามนางอีกครั้ง
“ที่ข้าหมายความก็คือ พวกท่านสนิทกันมากแค่ไหน?”
เฟลิซีหันไปชำเลืองมองอินกองอย่างลังเลก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วตอบกลับ
“ก็… ไม่ได้รังเกียจอะไร?”
คารัคจ้องมองเฟลิซีอย่างเจ้าเล่ห์ กัมมะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของนางเอาไว้ อินกองมองใบหน้าอันเขินอายของเฟลิซีก่อนจะพูดแซวนาง
“จริงหรือ? งั้นถ้าผมบอกว่าผมชอบนูนะละ?”
“นี่!”
เฟลิซีส่งเสียงออกมาอย่างเขินอาย ใบหน้าของนางแดงก่ำ
ปราชญ์ดาบถอนหายใจออกมา
“องค์หญิงเขินแบบนี้มันก็ดูแปลก แต่ก็เอาเถอะ”
เฟลิซีได้แต่บุ้ยปาก แต่ปราชญ์ดาบยังคงพูดต่อ
“ที่ข้าจะบอกก็คือให้องค์หญิงช่วยดูแลองค์ชายหน่อย เก็บเรื่องในวันนี้เป็นความลับด้วย”
เข้าใจได้ไม่ยากว่าปราชญ์ดาบต้องการจะสื่ออะไร
นี่เป็นการถือกำเนิดของเคล็ดลมปราณชนิดใหม่ที่ฉัตรสร้างขึ้น
“องค์ชายเก้าดึงดูดสายตามากพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มสายตาพวกนั้น”
เฟลิซีพยักหน้ารับคำ นั่นเพราะนางก็รับรู้ถึงสายตาทั้งหลายที่เพ่งเล็งฉัตร เหตุการณ์ที่ปราสาทธันเดอร์ดูมนี้จะยิ่งทำให้สายตาเหล่านั้นจดจ่อมากขึ้น
“จะบอกต่อให้องค์ชายห้าก็ได้ องค์ชายเจ็ดกับองค์หญิงแปดก็ไม่มีปัญหา ยังไงเสียทั้งสองก็เป็นคนสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพให้องค์ชายเก้า”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เฟลิซีปล่อยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะหันไปทางอินกอง และอินกองก็สิ่งยิ้มให้นางเช่นกัน
“เอาละงั้น พวกเราพักกันเสียก่อนก็ดี”
คำพูดของปราชญ์ดาบทำให้ทั้งหมดโล่งอกออกมาในทันที ก่อนเฟลิซีจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“จะว่าไปแล้ว ปราชญ์ดาบเข้ามาจากทางไหน? พวกเราจะส่งหน่วยสำรวจเข้ามาเพิ่มจากทางนั้นได้เปล่า?”
ห้องควบคุมของปราสาทธันเดอร์ดูอยู่ใต้การควบคุมของพวกเขาเรียบร้อย ถึงเวลาสำหรับการกอบโกย
ทว่าคำตอบที่ผิดคาดกลับหลุดออกมาจากปราชญ์ดาบ
“มันก็พอเป็นไปได้อยู่ แต่องค์หญิงคิดดีแล้วหรือ? มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำเรื่องพวกนั้น”
“ฮ่ะ?”
ไม่มีความจำเป็นสำหรับเรื่องพวกนั้น? หมายความว่าอย่างไร?
เฟลิซีกับอินกองมองหน้ากัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะของปราชญ์ดาบ
“ครั้งแรกที่สำรวจซากโบราณสินะ? ถ้าพวกหน่วยสำรวจเข้ามา พวกเจ้าก็จะไม่ได้อะไรกลับไป”
“เอ่อ… ปราชญ์ดาบ?”
นี่พวกเขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า?
อินกองมีสีหน้าขบขัน ในขณะที่เฟลิซีงงงวยเต็มที่
ปราชญ์ดาบจุ๊ปากก่อนจะพูดต่อ
“พวกเจ้าถือว่าตกระกำลำบากในปราสาทอยู่พอควร แต่กลับต้องการจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ทางวังหลวง? ช่างเป็นเด็กดีกันเสียจริง ยังไงทรัพย์สมบัติพวกนี้ก็จะถูกแบ่งให้กับขุนนางตนนั้นตนนี้เล็กน้อย พวกเจ้าจะเก็บเอาไว้บ้างก่อนเรียกหน่วยสำรวจเข้ามาก็ไม่เสียหาย สมัยที่มิตรยังเป็นเจ้าชายอยู่ก็ทำประจำ องค์หญิงองค์ชายจะเอาอย่างก็ไม่เห็นแปลก?”
อาฮ์ คอรัปชั่นโกงกินช่างฝังรากลึกเสียจริง แถมยังยุให้เด็กรุ่นใหม่เอาอย่างอีก
ปราชญ์ดาบขยิบตาให้เล็กน้อยหลังจากพูดจบ
นี่ทำให้อินกองเริ่มที่จะไขว้เขว
แต่ปราชญ์ดาบก็ไม่ได้สนใจในทีท่าของทั้งคู่ แต่ชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
“โดยเฉพาะซากมังกรนั่นดูมีประโยชน์ไม่น้อย ถ้าจะแบ่งมันเป็นสามส่วนก็ไม่เลว”
แล้วบางอย่างก็ผุดโผล่เข้ามาในความคิดของอินกอง แต่เฟลิซียังคงไม่เข้าใจ
“เดี๋ยว เดี๋ยวนะ สามส่วน?”
แบ่งเป็นสามส่วน? ทำไมกัน?
“หืม ก็แค่ค่าธรรมเนียมในการเดินทางเล็กน้อย ถูกไหม?”
ปราชญ์ดาบพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนรอยยิ้มที่ว่าจะปรากฏตามมาบนในหน้าของเฟลิซีและอินกอง
&
ปราชญ์ดาบพาคารัคและกัมมะไปยังร่างของพาติซาน นั่นก็เพื่อชำแหละร่างของมังกรทมิฬ
แทนที่จะตามไปด้วย อินกองคว้าแขนเฟลิซีไว้
“รอก่อนครับนูนะ ผมมีเรื่องอยากจะบอก”
เฟลิซีหันมาแล้วพยักหน้า หลังจากที่ปราชญ์ดาบทิ้งระยะห่างไปพอสมควร นางก็เอ่ยปากออกมาก
“นี่คือเรื่องเวทมนตร์ที่เก็บของวิเศษหายไปในมิติใช่ไหม?”
เป็นไปตามคาด สมแล้วที่นางเป็นจอมเวทชั้นนำ แม้นางจะเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่นางก็เข้าใจการทำงานของมันได้เป็นอย่างดี
อินกองผงกหัว
“ใช่แล้วครับ”
อินกองพยายามเก็บทักษะของเขาเป็นความลับให้มากที่สุด…
ช่องเก็บของถือเป็นทักษะที่สะดวกสบายมาก ยิ่งหากนำมาใช้พลิกแพลงแล้ว มันถือเป็นทักษะที่น่ากลัวทีเดียว
เกท ออฝ… บาบิโลน!
จึงเรียกได้ว่ายิ่งมีผู้รู้เห็นน้อยเท่าไรยิ่งดี
ถึงกระนั้น อินกองเลือกที่จะบอกให้เฟลิซีรับรู้ นั่นเพราะเขาไม่สามารถที่จะแอบนำสิ่งเขาออกจากช่องเก็บของได้ตลอด เช่นเดียวกับการใช้พสุธากัมปนาทและไวท์อีเกิ้ล
เฟลิซีเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้ มันอาจเป็นการดีกว่าที่เขาจะแบ่งปันความลับบางอย่าง
เฟลิซีจ้องมองฉัตร น้องชายของนางตนนี้คอยมีอะไรให้เธอประหลาดใจได้เสมอ
“เธอเพิ่งจะเรียนรู้มันได้ไม่นาน?”
“เปล่าครับ นี่เป็นเวทมนตร์ที่ติดตัวผมอยู่มานานแล้ว”
“เธอพอจะสอนฉันได้ไหม?”
“ขอโทษครับ แต่นั้นคงเป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช้เวทมนตร์ที่สามารถถ่อยทอดให้ผู้อื่นได้”
นี่ไม่ใช่การโกหกเสียทีเดียว เฟลิซีจ้องฉัตรอีกสักพักก่อนจะพยักหน้า
“เอาเถอะ ฉันพอจะเข้าใจอยู่ ถึงเราจะเพิ่งผูกมิตรกันได้ไม่นาน แต่ฉันจะเก็บเป็นความลับให้”
“ขอบคุณครับ”
เฟลิซีไม่ตอบอะไรเพิ่ม นางดึงตัวฉัตรขยับเข้าใกล้อย่างกระทันหัน
“เอ่อ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คริสต์กับเคทลินรู้เรื่องนี้ด้วยไหม?”
เฟลิซีหยิบพัดขึ้นมาปิดหน้าของนางไว้ อินกองมองสำรวจนาง
ก่อนเขาจะกลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วตอบนาง
“ไม่ครับ ผมยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับทั้งสอง”
“จริงหรือ?”
เสียงของเฟลิซีร่าเริงขึ้นมา นางมีท่าทางน่าเอ็นดูจนอินกองยากจะกลั้นหัวเราะเอาไว้
“จะว่าไป นูนะว่าผมควรจะบอกเรื่องนี้กับปราชญ์ดาบด้วยดีไหม?”
พวกเขาขนสิ่งของมามากมาย ยังไม่นับรวมเรื่องซากมังกร อินกองไม่มั่นใจว่าเข้าจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นกระเป๋าวิเศษกับปราชญ์ดาบได้แค่ไหน ปราชญ์ดาบมีทีท่าเป็นมิตรอยู่ และอินกองไม่ต้องการทำลายมิตรภาพนั้น
อินกองเอม่อนกับกระเป๋าสี่มิติ (o・ω・o)
คำถามของอินกองเรียกคำถามสวนกลับมาจากเฟลิซีในทันที
“คิดว่าปู่จะสนใจหรือ?”
“อันที่จริงผมก็คิดแบบนั้น”
ถึงเขาจะได้พูดคุยกันในระยะเวลาอันสั้น แต่นั่นก็เพียงพอให้เข้าใจบุคลิกของปราชญ์ดาบ
และในไม่กี่นาทีต่อมา ปราชญ์ดาบก็ตอบออกมาตามคาด
“ใช้ตามสบาย ข้าก็มีของที่คล้ายๆกัน”
นั่นคลี่คลายข้อกังขา และระหว่างที่พวกเขาชำแหละร่างพาติซาน ปราชญ์ดาบก็ถามบางสิ่งออกมา
“แล้วองค์หญิงองค์ชายคือว่าจะใช้มันทำอะไรบ้าง?”
หลังจากการกลายร่างเป็นซอมบี้ดราก้อน ร่างของพาติซานก็เสียหายไปมาก แต่ก็ยังมีบริเวณที่ยังสมบูรณ์หลงเหลืออยู่บ้าง
อินกองชำเลืองมองเกราะเท้าของเขาก่อนจะให้คำตอบ
“ผมคงจะแวบไปที่โรงเหล็กในเขตวัง”
“แล้วองค์หญิงละ?”
“เหมือนกัน”
นั่นเป็นเรื่องปกติเพราะช่างเหล็กฝีมือดีที่ทั้งสองรู้จักอยู่ที่โรงเหล็กที่ว่า
ทว่าปราชญ์ดาบกับมีสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ
“จริงอยู่ที่ช่างเหล็กในเขตวังถือว่าฝีมือใช้ได้ แต่สำหรับวัตถุดิบแบบนี้ก็ถือว่าน่าเสียดาย อืมม ทั้งสองสนใจพบกับสหายของข้าไหม?”
“สหายของปราชญ์ดาบ?”
“แน่นอน ฉันค่อนข้างสนใจเลยทีเดียว ว่าแต่สหายที่ว่าคือใครกัน?”
เฟลิซีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้ปราชญ์ดาบดูชอบใจ
อินกองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน สหายของนักดาบที่เก่งกาจที่สุด แม้ชื่อจะยังไม่หลุดลอดออกมา แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟัง
ปราชญ์ดาบพยักหน้าพึงพอใจ
“ใจเย็นกันก่อน อย่าได้ตื่นเต้นเกินไป องค์หญิงและองค์ชายพอจะคุ้นชื่อ อมิตาภา ไหม?”
เฟลิซีผงกหัว ส่วนกัมมะกับคารัคได้แต่ทำสีหน้าครุ่นคิด
แต่อาการของอินกองแตกต่างออกไปในทันที
เขาตาโตก่อนจะตะโกนร้องชื่อนั้นออกมา
“อมิตาภา! อมิตาภา อิคนิเซีย!”
แน่นอนว่านี่เป็นชื่อที่อินกองรู้จัก นี่เป็นชื่อที่เขา‘ต้อง’รู้จัก
การพบตัวอามิตาภาเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ลับที่เกิดขึ้นได้ยากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า!
อมิตาภา อิคนิเซีย…
ช่างเหล็กที่มีฝีมือสูงสุดแห่งโลกมาร สาวกผู้ติดตามเปลวเพลิง!
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากปราชญ์ดาบแต่อย่างใด
เหมือนจะเป็นชื่อผสมบาลีละติน อ่านกี่ทีก็ยังงงๆ
อมิตาภา บาลีหมายถึงแสงสว่าง
อิคนิเซีย ละตินหมายถึงไฟ เกี่ยวกับไฟ