บทที่ 40 สังหารพวกตนเอง
“ท่าน…..”
“อย่าคิดมากนัก ข้าแค่จะไปสอบถามกับผู้อาวุโสไป๋ว่าหนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งและคำสาปกลืนอารมณ์คืออะไรกันแน่เท่านั้น” โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง นัยน์ตาสีม่วงลึกล้ำส่องประกายเยียบเย็น
ไป๋จือเยี่ยนพลันเข้าใจในทันใด เขาลืมไปได้อย่างไรว่าบุรุษผู้นี้ไม่ว่าความแค้นใดก็จะตอบกลับอย่างสาสม หากเขาพบตัวคนลงมือเมื่อไหร่ เขาไม่อยากจะนึกว่าคนผู้นั้นจะต้องพบเจอกับเรื่องเช่นไร
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ณ อารามจันทร์กระจ่างทางเขตแดนตอนใต้
ภายในจวนขนาดใหญ่ประดับตกแต่งหรูหราแห่งหนึ่ง สตรีในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ขากรรไกรล่างที่โผล่พ้นผ้ามาขาวซีดน่ากลัวนัก ทั้งยังแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา
แขนเสื้อยาวส่งเสียงกระพือท่ามกลางสายลมที่พัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง แขนเสื้อข้างหนึ่งด้านในไร้แขน อีกข้างห้อยอยู่ข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง
ชั่วอึดใจต่อมา เสียงหัวเราะประหลาดก็ดังขึ้นจากร่างในชุดคลุมดำร่างนั้น “ฮ่า ๆ นักบวชหญิงแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์เช่นข้า กลับกลายเป็นหมากไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง….. เจ้าอาราม จิตใจท่านช่างโหดร้ายนัก”
ศีรษะที่ก้มลงต่ำพลันเชิดขึ้น เผยให้เห็นทั่วใบหน้าเส้นเลือดสีดำม่วง ราวกับเป็นวิญญาณอาฆาตที่หลุดออกมาจากนรกหมายจะเอาชีวิตคน ดวงตาเหลือกถลนออกมาเล็กน้อย เบื้องล่างคือริมฝีปากแดงดั่งเลือด มันแสยะออกกว้าง เป็นรอยยิ้มชวนขนหัวลุก
“หากข้าต้องตาย….. ก็จะลากมันลงไปด้วย….. ฮ่า ๆ….. เศษสวะไร้ค่าบนดินแดนระดับล่างที่กล้าทำลายแผนการอันสมบูรณ์แบบของข้า….. ข้าจะบดกระดูกโปรยเถ้าเจ้าเพื่อบรรเทาความแค้นในใจข้า!”
…………
วันคืนที่ผ่านมาช่วงนี้ทำให้โม่หานเยียนไม่สบายใจนัก
นางจงใจเลิกเก็บตัวสันโดษในเรือน เป็นเพราะความคิดของเยี่ยนซู่ต่อลูกอนุสองคนที่เรือนสงบเงียบนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ใจนางไม่อาจสงบได้อีกต่อไป
หากนางไม่ออกมาน่าจะดีกว่า ครั้งนี้นางออกมาพร้อมกับความโกรธเกรี้ยว ได้แต่หวังว่าตนจะสามารถบีบคอเด็กคนนั้นให้ตายคามือได้!
เยี่ยนซู่ไม่เพียงไปเยี่ยมเยือนเรือนแห่งนั้นบ่อยครั้งเพื่อไถ่ถามความเป็นอยู่ เขากระทั่งแสดงความโปรดปรานในตัวเด็กคนนั้น ได้ยินมาว่านางฉลาดมีไหวพริบมาก ทั้งยังมีอาจารย์ยอดฝีมือซุ่มซ่อนสอนวิชาให้นางอีก
มีครั้งหนึ่งที่เยี่ยนซู่พานางมาร่วมวงงานเลี้ยงระหว่างเขาและสหาย ใครจะคิดว่าวันนั้นเขาจะถูกคนลอบทำร้าย เยี่ยนซู่มีชื่อเสียงกว้างไกล ผู้คนต่างเคารพยกย่อง หากก็ยังไม่ขาดผู้คนที่เกลียดชัง และยังมีศัตรูไม่น้อยเช่นเดียวกัน
หากแต่ตัวเขามีวรยุทธ์ดีเยี่ยม ไม่เกรงกลัวการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบเปิดเผยหรือการลอบสังหาร
หากแต่ไม่น่าเชื่อว่าศัตรูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ ทั้งแขนและขาเยี่ยนซู่ไม่อาจขยับ ได้แต่นั่งอยู่ในรถม้า องครักษ์นอกรถม้าไม่บาดเจ็บก็ถูกสังหาร ตัวเขาซึ่งกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู หากแต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ทันสังเกตคือสีหน้าของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขาไม่แสดงความตื่นตกใจออกมาแม้แต่น้อย
รถม้าถูกโจมตีแยกออกเป็นสองส่วน เยี่ยนซู่ที่แขนและขาไม่อาจขยับได้นั่งหน้าซีดอยู่บนที่นั่ง ด้านข้างมีเด็กสาวชุดขาวหน้าตาไร้อารมณ์นั่งอยู่ เป็นภาพที่ขัดกันยิ่งนัก
ศัตรูไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ในรถม้าอีกคน มองดูนางแล้วดูท่าจะไม่ได้รับผลจากพิษแต่อย่างใด พวกมันต่างพากันตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนที่พวกมันกำลังระมัดระวังลอบดูสถานการณ์นั่นเอง คนผู้หนึ่งในหมู่พวกมันก็ชิงชักดาบออกจากฝักราวกับคนคลั่ง ฟาดฟันคมดาบใส่คนด้านข้าง ร่างแยกออกเป็นสองท่อนราวกับฟืนที่ถูกผ่า ภาพน่ากลัวเลือดกระฉูดฉากนั้นทำให้พวกมันหลายคนหน้าถอดสี
หากแต่เมื่อได้สติ หมายจะป้องกันตนเองก็ช้าไปเสียแล้ว ผู้ที่โจมตีเมื่อครู่ เดิมทีไม่ได้มีขั้นพลังบำเพ็ญเพียรสูงมากนัก หากแต่จู่ ๆ กลับกลายเป็นปรมารจารย์ฝีมือสูงส่ง ขั้นพลังเพิ่มขึ้นหลายขั้นด้วยกัน
ดังนั้นพวกนักฆ่าจึงไม่อาจต่อกรได้ ถูกฆ่าสังหารอย่างเหี้ยมโหด กระทั่งแม่ทัพใหญ่อย่างเยี่ยนซู่ที่สังหารศัตรูบนสนามรบมาแล้วนับไม่ถ้วนยังรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วน เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกไม่สบายท้องยิ่งนัก
คนผู้นั้นสังหารสหายนักฆ่าที่เหลือจนหมด จากนั้นยกมีดในมือขึ้นปาดคอตนเองจนสิ้นใจ
เยี่ยนซู่ตกตะลึงกับภาพที่เห็นไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ กระทั่งได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู “ท่านพ่อ ขยับร่างได้หรือยังเจ้าคะ?”
เป็นตอนนั้นเองที่เขาพบว่าตนสามารถขยับร่างกายได้แล้ว ความรู้สึกชาบนแขนขาที่ช่วงชิงเอาพละกำลังทั้งหมดของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เด็กสาวตรงหน้าเขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ดวงหน้างามหาที่ใดเปรียบ ภาพตรงหน้าคนทั้งคู่เป็นฉากนองเลือด มองแล้วใจสั่นระทึกกระทั่งกับบุรุษที่มีจิตใจแข็งแกร่ง ศพมนุษย์เรียงรายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น หากแต่เด็กสาวยังคงทำหน้าตาปกติ ราวกับไม่ได้ถูกภาพฉากนั้นส่งผลกระทบใดแม้แต่น้อย เสมือนนางมองไม่เห็นฉากนองเลือดนั่น
“ชิงอวี่ เจ้า….. ไม่กลัวหรือ?” เยี่ยนซู่มองหน้าเด็กสาว สีหน้าซับซ้อน
“กลัว? เหตุใดข้าต้องกลัว?”
“เมื่อครู่….. เจ้าเกือบถูกนักฆ่าเหล่านี้สังหาร”
“แต่สุดท้าย ข้าก็สังหารพวกมันจนสิ้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” ชิงอวี่ยกยิ้มอบอุ่น
เป็นตอนนั้นเองที่เยี่ยนซู่ยอมเชื่อคำที่นางเคยกล่าว
นางเคยกล่าวไว้ว่า มีปรมาจารย์ผู้หนึ่งสั่งสอนวิชาบำเพ็ญเพียรให้นาง ทั้งยังถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้นางไว้ใช้ปกป้องตนเองและน้องชายจากอันตราย
เยี่ยนซู่เชื่อว่านางอาจได้พบปรมาจารย์ท่านหนึ่งจริง หากแต่เรื่องที่ว่านางแข็งแกร่ง เขาไม่เคยเชื่อคำนางมาก่อน
นอกจากหนิงเอ๋อร์ที่มีพรสวรรค์และสติปัญญาเฉียบแหลมแล้ว มีสตรีชิงหลานเพียงหยิบมือที่นับได้ว่าแข็งแกร่ง หนิงเอ๋อร์เองตอนนี้ก็อายุได้สิบหกปีเข้าไปแล้ว
หากแต่เด็กสาวตรงหน้าเขาผู้นี้ นางยังอายุไม่ถึงสิบสี่ด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้จริง….. เช่นนั้นก็เป็นความจริงที่น่ากลัวเกินไปแล้ว
เยี่ยนซู่จ้องหน้าเด็กสาวนิ่ง จากนั้นพลันชะงักค้างไป
เหมือนกับนางไม่มีผิด ใบหน้าของพวกนางเหมือนกัน กระทั่งนิสัยใจคอก็ยังเหมือนกันราวกับเป็นคนเดียวกัน
“วันนี้ข้าช่วยท่านพ่อไว้ ฉะนั้นท่านพ่อต้องเชื่อคำข้าแล้วนะเจ้าคะ ข้าสงสัยเสียจริงว่าข้าจะขอบางอย่างจากท่านได้หรือไม่?”
“เจ้าว่ามา!”
“ข้าหวังว่าตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าใครในจวนหย่งอันอ๋องก็ไม่สามารถมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตข้าและเสี่ยวเป่ยได้อีก รวมถึงพระชายาด้วย” นัยน์ตาหงส์ที่หรี่ลงเล็กน้อยของชิงอวี่ฉายแววชั่วร้าย “ท่านพ่อไม่ค่อยอยู่ในจวน ไม่รู้จักนิสัยใจคอข้าดีนัก ถึงปกติข้าจะเป็นคนอารมณ์ดี หากแต่ข้าเกลียดการรับมือกับปัญหาน่ารำคาญใจ หากผู้ใดมาหาเรื่องข้ากับน้องชาย ข้าเองรู้สึกลำบากใจเช่นกัน”
เวลาข้ารู้สึกลำบากใจ ย่อมหมายความว่าข้าจะอารมณ์ไม่ดี
ยามข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าก็ต้องหาสิ่งระบายความขุ่นข้องหมองใจ
มีหรือที่เยี่ยนซู่จะไม่เข้าใจความนัยของนาง? หลังจากความตกตะลึงในหนแรกผ่านพ้นไป เขาก็รู้สึกได้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีนิสัยตรงไปตรงมาน่าชื่นชม ดังนั้นเขาจึงยอมตามใจนางโดยพลัน เอยขึ้นพร้อมรอยยิ้มจาง “ให้เป็นไปตามเจ้าว่า”
เขารักและโปรดปรานเยี่ยนหนิงลั่วมาก นางแสดงพรสวรรค์ของออกมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าสำนักละอองหมอกเองก็เอ็นดูนางมากเช่นกัน เยี่ยนหนิงลั่วเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผล ไม่เคยทำเรื่องเดือดร้อนใจให้เขา หากแต่นางอาศัยอยู่ที่สำนักละอองหมอกเป็นส่วนมาก ดังนั้นความสัมพันธ์พ่อลูกจึงไม่ล้ำลึกเท่าไร
และตรงหน้าเขา ลูกสาวอีกคนหนึ่งของเขาซึ่งมีรูปโฉมที่ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาจากนางได้โดยง่ายพลันปรากฏตัวขึ้น นางฉลาดมีไหวพริบและว่าง่ายยิ่งนัก แต่นางก็มีความคิดเจิดจรัสเป็นของนาง ทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ มองแล้วเป็นที่น่าพอใจนัก จิตใจที่เย็นชาของเยี่ยนซู่พลันรู้สึกถูกบีบรัด ในใจเขาต้องการดูแลรักษาเด็กคนนี้ให้ดี
เพื่อทดแทนกับเวลาสิบปีก่อนหน้าที่เขาละเลยนางไป
ชิงอวี่แสนรู้นัก นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยนซู่ ถึงนางจะรู้ว่าเขามองภาพนางซ้อนกับคนอื่น ซึ่งนางคิดว่าคงจะเป็นมารดาอายุสั้นของเจ้าของร่างนี้นั่นเอง
แต่ในเมื่อเขาต้องการชดใช้การที่ไม่เคยเป็นท่านพ่อที่ดี นางเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทั้งนางยังสามารถแยกตัวออกห่างจากพระยาชาน่าชังผู้นั้นได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว เยี่ยนซู่ไม่มีใจเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อีก ดังนั้นจึงว่าจ้างรถม้าอีกคัน ก่อนจะมุ่งหน้ากลับจวนในทันที
หากแต่การกลับจวนอ๋องในครั้งที เรื่องที่คนในจวนส่วนมากไม่อาจยอมรับได้กำลังจะเกิดขึ้น
เกรงว่าจวนอ๋องจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในไม่ช้า
ยามเยี่ยนซู่ก้าวเท้าลงจากรถม้า เขาก็ยื่นมือช่วยพยุงชิงอวี่ที่เดินตามหลังลงมาจากรถม้าด้วยความรัก จากนั้นประกาศว่าไม่ว่าใครที่เห็นคุณหนูหกจำต้องให้ความเคารพนาง อย่าบังอาจดูถูกดูแคลนนางแม้เพียงนิด
ตั้งแต่นี้ไปไม่ว่าใครก็ห้ามย่างกรายไปยังเรือนสงบเงียบตามใจชอบได้อีก และอนุญาตให้ชิงอวี่สามารถเข้าออกจวนอ๋องได้อย่างอิสระ การปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษเช่นนี้ย่อมทำให้สตรีคนอื่น ๆ ต่างพากันอิจฉาตาร้อน ได้แต่ด่าสาปส่งเด็กสาวในใจไม่หยุด ทั้งยังคิดว่าการที่นางสามารถเอาอกเอาใจ ทำให้ท่านอ๋องโปรดปรานได้เช่นนี้ นางไม่ใช่เพียงเด็กสาวธรรมดาอย่างที่พวกตนเคยเหยียดหยาม เด็กสาวผู้นี้ก็เหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่น เป็นเหมือนกับมารดาของนาง!
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่โกรธเกรี้ยวได้เท่ากับโม่หานเยียน นางเดินไปยังห้องทำงานของเยี่ยนซู่ในทันที มองภาพบุรุษที่กำลังจัดการงานราชการด้วยนัยน์ตาเยียบเย็น จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนกดความโกรธในใจตนเองลง “ท่านอ๋อง”
เยี่ยนซู่ส่งเสียงตอบรับ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนี้? ท่านลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าเมื่อครั้งนั้นแล้วหรือไร?” มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อยาวของโม่หานเยียนกำแน่น “ท่านบอกกับข้าว่าท่านจะไม่ใจอ่อนต่อสตรีที่หักหลังท่าน ไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าลูกของนางจะเป็นหรือตาย”
เยี่ยนซู่ที่กำลังจับพู่กันเขียนอยู่พลันชะงักลง ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองนาง เขาเป็นบุรุษอายุใกล้สี่สิบ ถึงใบหน้าจะเริ่มมีรอยเหี่ยวย่น หากกลับยิ่งเสริมเสน่ห์ที่แฝงด้วยกลิ่นอายความเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ยิ่งขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองนางเช่นนั้น โม่หานเยียนจึงรู้สึกอ่อนไหวไม่น้อย
“ข้าเคยกล่าวคำเหล่านั้นจริง” เยี่ยนซู่ลุกขึ้นยืน มองลงมายังสตรีเบื้องล่าง นัยน์ตาเย็นชาเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้าจึงติดสินบนหมอตำแยให้ทรมานนางอย่างถึงที่สุดตอนนางกำลังจะคลอดหรือ? ตอนที่ข้าต้องออกไปรบ เจ้าจึงหักขาเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ ทำให้เขากลายเป็นเด็กพิการ ไม่อาจลุกจากเก้าอี้เข็นได้อีกต่อไปงั้นหรือ?”
โม่หานเยียนเบิกตากว้าง มองสีหน้าเย็นชาของบุรุษตรงหน้า ไม่อยากเชื่อในสายตาตนเอง
เขา….. เขารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ไม่มีผู้ใดรู้ หมอตำแยที่ทำคลอดให้สตรีนางนั้นก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว เว้นเสียก็แต่เด็กนั่น!
แต่เด็กนั่นถูกกรอกยาที่ทำให้กลายเป็นคนเบาปัญญาไปแล้ว ไม่อาจเอ่ยความจริงเรื่องนั้นได้อีก ไม่เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก?!
“หากเจ้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ มีแต่ต้องไม่ลงมือกระทำตั้งแต่แรก!” เยี่ยนซู่เปล่งเสียงเย้ยหยัน “โม่หานเยียนที่แสนอ่อนโยนและมีจิตใจดีผู้นั้น คนที่เคยมีเสน่ห์เย้ายวนน่ารักน่าชอบพอ นางหายไปไหนแล้ว? หือ? เจ้าใช้สติปัญญาและความสามารถของเจ้าไปกับการวางแผนชั่วหมดแล้วงั้นหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเจ้าแย่นัก ตอนที่ข้าแต่งงานกับเจ้า เหตุผลเป็นเพราะข้ารักเจ้า เจ้าทั้งฉลาดทั้งมีจิตใจอารี เอาใจใส่และมีเมตตา ข้ายอมรับว่าจิตใจข้าผันเปลี่ยนยามข้าพบชิงเฟย หากแต่เจ้ารู้หรือไม่? นางไม่ได้รักข้า กระทั่งตอนที่ข้าเผยความในใจต่อนาง นางก็ยังปฏิเสธข้า!” ใบหน้าเยี่ยนซู่ดำมืดลง “ข้าพานางมาไว้ในจวนเพื่อปกป้องนาง ทั้งยังติดหนี้ที่นางช่วยชีวิตข้าไว้ แต่เจ้า….. เจ้ากลับทำให้ข้าต้องกลายเป็นคนเนรคุณ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนซู่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นกับโม่หานเยียน นางล้มลงกับพื้น ใบหน้าซีดขาว ไม่อาจตั้งสติได้เป็นเวลานาน
เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมา เป็นนางที่ทำผิดพลาดไปงั้นหรือ?
นางเกลียดชังสตรีผู้นั้น สตรีที่สามารถชิงสามีของนางไปได้ หากแต่นางกลับไม่ได้รักเขานางไม่ได้รักเยี่ยนซู่เลยแม้แต่น้อย และเป็นนาง ….. นางส่งสตรีผู้นั้นไปหาความตายด้วยมือของนางเอง
โม่หานเยียนจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาเย็นเยียบของเยี่ยนซู่ มันช่างเป็นสายตาที่ทิ่มแทงลึกเข้าไปถึงกระดูก ในใจนางพลันเข้าใจความจริงบางอย่าง….. ความจริงที่ว่านางกับเขาไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
เรื่องราวฉากนี้อยู่ในสายตาเป็นประกายของนัยน์ตากลมโตที่แอบอยู่ด้านนอกของประตูมาโดยตลอด นัยน์ตาคู่นั้นพลันหันหลังและเดินหายจากไปในที่สุด