บทที่ 41 แคว้นหลินยวนมาเยือน
เรือนสงบเงียบตอนนี้ต่างจากเดิมไปมาก ต้นสมุนไพรที่ถูกปลูกไว้ในสวนได้รับการจัดแต่งจนสวยงามยิ่งขึ้น ทั้งเถาวัลย์และกิ่งไม้แห้งที่เคยขึ้นรกร้าง ได้ถูกนำออกไปจนหมด ส่งผลให้เรือนสงบเงียบเปลี่ยนไปราวกับเป็นเรือนใหม่
ในสวนที่ถูกทำความสะอาดจัดแต่งเสียดิบดีมีเก้าอี้นอนตัวหนึ่งถูกนำมาตั้งไว้ บนนั้นมีเด็กสาวผู้หนึ่งในชุดขาวกำลังนอนเอนกายอาบแดด มือข้างหนึ่งวางพาดหน้าผาก ดูสำราญใจอย่างมาก
สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสง เงาร่างเลือนรางสีดำนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เด็กสาวที่นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้นอนยกแขนข้างหนึ่งขึ้นอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะใช้สองนิ้วคีบสิ่งมีชีวิตนั่นเอาไว้ได้พอดิบพอดี
ดูสิว่าตัวอะไรกัน!
มันคือคางคกหิมะงดงามตัวหนึ่ง ทั่วทั้งร่างสีขาวราวหิมะ ขนาดตัวเล็กเท่ากำปั้นเด็กแรกเกิด นัยน์ตากลมโตฉายแววเฉลียวฉลาด ขาทั้งสี่ข้างของมันเตะไปมาในอากาศไม่หยุดหย่อน ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังเด็กสาวหน้ายิ้มที่คีบตัวมันอยู่
ชิงอวี่ดันตัวลุกขึ้นนั่ง บีบเจ้าคางคกในมือเบาๆ “หลายวันมานี้เจ้าออกไปเที่ยวที่ไหนมาหืม? ยังดีที่รู้จักกลับบ้านบ้าง ข้านึกว่าเจ้าออกไปหาอาหาร แล้วเหตุใดจึงผอมแห้งกลับมาเช่นนี้เล่า?”
เจ้าคางคกหิมะกะพริบนัยน์ตาใสซื่อปริบ ๆ ข้าก็ผอมเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่?
ในใจมันกำลังคิดจะพูดประท้วง หากแต่เป็นตอนนั้นเองที่มันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ มันไม่สนใจว่าท่าทางถูกบีบอยู่ในมือคนผู้หนึ่งของมันในตอนนี้อัปยศถึงเพียงไหน มันยกเท้าส่ายไปมา ปากก็อ้า ๆ หุบ ๆ ราวกับต้องการพูดบางอย่าง ในสายตาคนอื่น มันอาจเป็นเพียงคางคกน้อยที่พยายามหลอกล่อทำตัวน่ารักไร้เดียงสา
ทว่าชิงอวี่กลับเข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อ
นัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นของนางเจือแววสนใจ เรื่องราวยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!
“เอาล่ะ เห็นว่าเจ้านำข้อมูลมีประโยชน์กลับมา ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้” ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปากเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน นางปล่อยนิ้วที่คีบคางคกหิมะออก เจ้าคางคกหงายหลังร่วงลงพื้นดังตุ้บโดยไม่ทันตั้งตัว ในตอนที่กำลังคิดจะประท้วง พลันได้ยินน้ำเสียงไพเราะหากแต่ชั่วร้ายดังแว่วมา “ได้ยินว่าเนื้อคางคกหิมะมีประโยชน์ยิ่ง หากต้มสักชั่วโมงจะมีรสชาติเป็นอย่างไรกันนะ?”
เจ้าตัวเล็กที่อยู่บนพื้นสั่นกลัว มันหงายหลังเท้าชี้ฟ้า ทำเป็นแกล้งตาย ไม่ขยับเขยื้อนกายแม้เพียงนิด หากแต่ในใจมันกำลังร่ำไห้ ฮื่อ ชีวิตช่างลำบากเสียนี่กระไร!? ชีวิตของข้าช่างน่าสงสารเสียนี่กะไร~
—————————————-
ตั้งแต่มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว องค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อก็กลับวังไปรายงานเรื่องนี้ในทันที เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชางไห่อ๋องและองค์หญิงเก้าเยว่ซินเหยียนได้มาถึงแคว้นชิงหลานแล้ว
แต่เหตุใดจึงรั้งรอ กลับไม่เดินทางมายังพระราชวังเล่า? นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจเข้าใจได้
ต่างคนต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่าคณะทูตหลินยวนอาจจะมาสืบข่าวลับใดหรือไม่ เช่น เมื่อสืบข่าวแน่ชัดแล้ว หลังจากนั้นค่อยประกาศสงครามกับแคว้นชิงหลาน
ฮ่องเต้ชิงหลานกังวลใจยิ่งนัก หน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน ชื่อของชางไห่อ๋องเป็นดั่งเนื้อร้ายที่ทำให้เขาทั้งเกลียดชังและหวาดกลัว หากแต่จะไม่แสดงความเคารพก็ไม่อาจทำได้
ผู้คนต่างคาดเดาหาเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันข้อที่ชางไห่อ๋องเร่งรุดมาที่ชิงหลานก่อนกำหนด หากแต่ไม่ยอมเผยตัวตน ส่วนท่านอ๋องที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้ แท้จริงแล้วมายังแคว้นชิงหลานก่อนกำหนดถึงสองวันเป็นเพราะต้องการจัดการเรื่องส่วนตัวเท่านั้นเอง
เดินทางมาครั้งนี้ เขานำผู้ติดตามมาเพียงสองคน นั่นคือ เยว่ซินเหยียนและอาจิ่น คนอื่น ๆ จากแคว้นหลินยวนยังเดินทางมาไม่ถึง ดังนั้นเขาจึงยังไม่มุ่งหน้าเข้าวังหลวงเพื่อพบฮ่องเต้
ถึงอย่างไรท่านอ๋องและองค์หญิงแห่งแคว้นก็ไม่อาจปรากฏตัวหากไม่มีคณะทูตอย่างเป็นทางการได้ คณะเดินทางที่เหลือของแคว้นหลินยวนจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลานในอีกหนึ่งวันครึ่งให้หลัง ดังนั้นเวลานั้นถึงจะเป็นเวลาอันสมควรที่พวกเขาเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อไปพบฮ่องเต้ชิงหลาน
หากแต่สำหรับชิงเยี่ยหลีแล้ว การที่เขารั้งรออยู่ที่โรงเตี๊ยมหลังมรณาถึงสามวันกลับไม่ได้ผลลัพธ์อะไรกลับมาเลย
“ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่พบเลยหรือ?” ใบหน้าภายใต้หน้ากากหม่นลงเล็กน้อย แม้ใบหน้าที่ขมวดคิ้วน้อย ๆ และรอยยิ้มจางจากสตรีในม้วนภาพนั้นเหมือนจริงเพียงใด หากแต่มันเป็นเพียงภาพวาดภาพหนึ่ง เป็นเพียงภาพที่สายตามองเห็น หากแต่ไม่อาจสัมผัสร่างกายของนางได้
ชิงเยี่ยหลีถอนหายใจเสียงเบา “เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่…..”
“ท่านอ๋อง”
เสียงของอาจิ่นดังขึ้นจากนอกประตู “ข้าได้รับข่าวว่าคณะเดินทางจากแคว้นหลินยวน นำโดยแม่ทัพเว่ยจะมาถึงเมืองหลวงในอีกหนึ่งวันข้างหน้า”
“ข้ารู้แล้ว” ชิงเยี่ยหลีเก็บความคิดตนไว้ภายใน ร่างผอมสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะสลัดความวุ่นวายในใจทิ้งไป เหลือเพียงกลิ่นอายความสูงส่งภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของชางไห่อ๋อง ผู้ซึ่งยิ้มยากและพูดน้อยไว้เท่านั้น
คนจากแคว้นหลินยวนมาถึงแล้ว บรรยากาศในเมืองหลวงจึงคึกคักขึ้นเล็กน้อย
เมื่อผู้ที่มาคือเทพสังหาร ชางไห่อ๋องที่เลื่องชื่อจนทำให้คนทั้งแคว้นต้องสั่นกลัว เขาเป็นคนที่กระทั่งฮ่องเต้เองก็ยังต้องคอยระมัดระวัง
เล่าลือกันว่าใบหน้าของชางไห่อ๋องดุร้ายยิ่งนัก ดังนั้นจึงต้องสวมใส่หน้ากากอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นหากใครได้เห็นหน้าตาภายใต้หน้ากากของเขาคงได้ตกใจจนถึงขั้นสิ้นสติ
ชาวเมืองจึงใช้ท่านอ๋องผู้นี้เป็นเรื่องหลอกให้เด็กยอมเชื่อฟังคำสอน บอกกับเด็ก ๆ ว่าหากยังดื้อรั้นไม่โอนอ่อน พวกเขาจะส่งเด็ก ๆ ไปให้ชางไห่อ๋อง เช่นนั้นแล้วเด็ก ๆ จึงไม่กล้าดื้อรั้นต่อไปอีก
ดังนั้นการมาถึงครั้งนี้ของเขาจึงมีอิทธิพลต่อชาวเมืองเป็นอย่างมาก เพราะกระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ยังรู้จักชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างดี
ฮ่องเต้ชิงหลานมีคำสั่งให้องค์รัชทายาทและหย่งอันอ๋องออกไปต้อนรับคนจากแคว้นหลินยวนเพื่อแสดงความนับถือโดยเฉพาะ
คณะทูตแคว้นหลินยวนอันยิ่งใหญ่ประกอบด้วยคนจำนวนกว่าหนึ่งร้อยคน ทั้งหมดอยู่ในชุดทหารสีน้ำเงินเข้ม มีบุรุษผู้หนึ่งขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า ใบหน้าแข็งแกร่งดุดัน รูปร่างสูงตระหง่าน แผ่กลิ่นอายความคร่ำเคร่งออกมา คนผู้นี้คือแม่ทัพแคว้นหลินยวนที่ชำนาญการศึกและการต่อสู้ เป็นนักรบโดยกำเนิด เป็นทหารคนสนิทที่ได้รับความไว้วางใจจากชางไห่อ๋อง
ด้านหลังเขาคือเกี้ยวอันหรูหรางดงามจำนวนสองหลัง แต่ละหลังใช้คนหามแปดคน เดินมุ่งหน้ามาอย่างมั่นคง เกี้ยวด้านหน้าเป็นสีฟ้าสวยงามสลับซับซ้อน ด้านในคงจะเป็นองค์หญิงเก้าแคว้นหลินยวนที่ร่ำลือกันว่าราวกับเซียนองค์หนึ่ง
ส่วนเกี้ยวด้านหลังเป็นสีเงิน ลักษณะเรียบง่ายกว่ามาก หากแต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่ไว้ เห็นเพียงเงาร่างที่มองเห็นไม่ชัดนักร่างหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งด้านใน ลมที่พัดโชยมาเป็นครั้งคราวพัดเอาผ้าม่านสี่ด้านพลิ้วไสว ส่งผลให้สามารถเห็นผมสีเงินที่ปลิวไปตามลมได้อย่างเด่นชัด
ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้ว่าชางไห่อ๋องแห่งแคว้นหลินยวนมีผมสีเงินไม่เหมือนใคร นัยน์ตาเป็นสีเขียวเข้มราวกับหมาป่า
ถึงพวกนางจะมองเห็นไม่ชัด หากแต่ผมสีเงินเช่นนั้นก็เป็นตัวบ่งบอกตัวตนได้ดี
“เจ้าปีศาจร้ายนั่น เห็นเขาทีไรข้าก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างทุกครา” อวี้เซียวหนิงพูดเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
หากแต่เมื่อพูดจบ นางก็พบว่าไร้เสียงตอบกลับ นางจึงหันหน้าไปด้วยความประหลาดใจ พบว่าเยี่ยนหนิงลั่วที่เย็นชาไร้อารมณ์ราวกับภูเขาน้ำแข็งกำลังจ้องไปยังทิศทางหนึ่งตาไม่กะพริบ หรือก็คือนางกำลังจ้องมองคนผู้หนึ่งอย่างตั้งใจยิ่ง
ทั้งสายตานั้นยังมีแวว…..ชื่นชอบ?!
อวี้เซียวหนิงไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สตรีผู้ที่นิยมชมชอบเพียงการบำเพ็ญเพียร สามารถแสดงสีหน้าที่ราวกับเห็นคนรักเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
อวี้เซียวหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “หนิงเอ๋อร์ ข้าขอถามเจ้า เจ้ากำลังมองผู้ใดอยู่?”
ดูท่าเยี่ยนหนิงลั่วเพิ่งจะได้ยินที่อวี้เซียวหนิงพูด ดังนั้นนางจึงหันหน้ากลับมา นัยน์ตาสุกสกาวเจือแววยินดีเล็กน้อย นางมองหน้าอวี้เซียวหนิง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ในที่สุดข้าก็….. ได้พบเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำเป็นไม่รู้ใจตัวเองอีก”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” อวี้เซียวหนิงตกใจเล็กน้อย นัยน์ตานางเบิกกว้าง ในใจมีความคิดบางอย่าง ทว่านางกลับไม่อยากเชื่อความคิดนั้นเลยแม้แต่น้อย
รอยยิ้มที่มุมปากเยี่ยนหนิงลั่วลึกขึ้นอีกนิด “จำได้หรือไม่ที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่าข้าชอบคนผู้หนึ่ง?”
อวี้เซียวหนิงกะพริบตาปริบ ๆ นึกถึงเรื่องที่นางกล่าวไม่ออก นางพยายามนึกแล้วนึกอีก จากนั้นจึงพอจำได้อย่างเลือนราง
“ดูท่าข้าจะชอบคน ๆ หนึ่งเข้าเสียแล้ว”
เยี่ยนหนิงลั่วในตอนนั้นอายุเพียงเจ็ดหรือแปดปี น้ำเสียงไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังกล่าวขึ้นกับเด็กสาวตัวจ้อยผู้มีนามว่าอวี้เซียวหนิงว่านางมีคนที่ชอบแล้ว
จากนั้นความรู้สึกในตอนนั้นก็ได้ผลิบาน ค่อย ๆ หยั่งรากลึก กลายเป็นความรัก
เด็กตัวเล็กขนาดนั้นก็สามารถชอบพอคนผู้หนึ่งเป็นแล้ว ทั้งคนผู้นั้นยังหายตัวไปนานถึงแปดปีเต็ม!
อวี้เซียวหนิงตกใจเล็กน้อย “หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่ ไหนเล่าให้ข้าฟังสิว่าคนที่เจ้าชอบคือใคร?”
นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วยิ่งอ่อนโยนขึ้น “เข้าบอกว่าชื่อชิงเยี่ยหลี เมื่อก่อนข้ารู้เพียงชื่อของเขา หากแต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือชางไห่อ๋อง”
ชื่อของชางไห่อ๋องนั้นคือชิงเยี่ยหลีไม่ผิดแน่ หากแต่มีคนเพียงหยิบมือที่กล้าเรียกขานเขาด้วยชื่อนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็แทบจะลืมชื่อจริงของเขาไปจนสิ้น รู้จักเขาแต่ในนามชางไห่อ๋องเท่านั้น
เทพสังหารผู้นั้นบอกชื่อตนเองกับนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเองก็สนใจในตัวหนิงเอ๋อร์เช่นกัน?
อวี้เซียวหนิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนสมองแล่นเร็ว บุรุษผู้นั้นน่ากลัวเกินไป! หนิงเอ๋อร์ตกหลุมรักคนผู้นี้จริงงั้นหรือ?
ถึงเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งเหนือใคร ในใต้หล้าอาจมีคนเพียงหยิบมือที่สามารถโค่นล้มเขาได้ หากแต่หนิงเอ๋อร์จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอารมณ์อันไม่สามารถคาดเดาได้ของบุรุษผู้นั้นได้จริงหรือ?
เพียงแค่คิด อวี้เซียวหนิงก็อดเป็นห่วงเพื่อนรักของตนไม่ได้ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ…..
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าลืมเรื่องที่เจ้าหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทไปแล้วหรือ? หากเจ้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้า…..” สวมเขาให้องค์รัชทายาทหรือ? หากแต่นางไม่ได้พูดจนจบประโยค ด้วยไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมา
“อย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบข้า เช่นนั้นแล้วคงไม่เป็นปัญหากระมัง?” เยี่ยนหนิงลั่วยิ้มไม่ใส่ใจ “รอจนกระทั่งเขาพบคนที่พึงใจ ฮ่องเต้ก็จะยกเลิกการหมั้นหมายเอง”
อวี้เซียวหนิงขมวดคิ้วแน่น “องค์ฮ่องเต้ต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่ หนิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมว่าชางไห่อ๋องเป็นศัตรูของแคว้นชิงหลาน”
“แล้วอย่างไร? อย่างมากข้าเพียงแค่ต้องละทิ้งบรรดาศักดิ์เจ้าหญิงไปเสีย จากนั้นก็ติดตามเขากลับไปยังหลินยวน”
เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยคำพวกนั้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย หากแต่คำเหล่านั้นมีน้ำหนักในใจอวี้เซียวหนิงมาก ดูท่านางจะรักชางไห่อ๋องผู้นั้นมาก หากแต่มองเพียงปราดเดียวก็สามารถสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นั้นไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นางจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาใช้ยาอันใดล่อลวงเยี่ยนหนิงลั่วไปหรือไม่
ไม่ว่าตอนนี้จะพูดหว่านล้อมอย่างไร เยี่ยนหนิงลั่วก็คงไม่ฟัง ดังนั้นอวี้เซียวหนิงจึงนั่งปิดปากเงียบต่อไป
ไม่นาน คณะทูตแคว้นหลินยวนก็เดินถามเข้าสู่ที่พำนัก เป็นตำหนักหรูหราโอ่อ่า รูปร่างเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวังหลวง ว่ากันว่าเป็นตำหนักที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนเพื่อใช้ต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น คณะทูตแคว้นหลินยวนเป็นคณะเดินทางแรกที่ได้เข้าพำนักยังตำหนักแห่งนี้
คณะทูตเดินทางมาจากแดนไกล ต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง แคว้นชิงหลานจึงจัดแจงให้คณะเดินทางได้พักผ่อนจัดการความเรียบร้อยก่อน จากนั้นยามราตรีโรยตัวจึงค่อยจัดงานเลี้ยงต้อนรับ
แคว้นหลินยวนเคยกล่าวว่าพวกเขาส่งองค์หญิงเก้ามาเพื่อสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน หากแต่นั่นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ในราชวงศ์แคว้นชิงหลาน นอกจากองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อและองค์ชายหกซวนหยวนฉือที่ถูกถอดยศไปแล้ว ก็ไม่มีองค์ชายอื่น ๆ ที่ควรค่าเทียมกับองค์หญิงเก้าผู้นี้ได้อีก
โชคร้ายที่ระหว่างองค์ชายทั้งสอง พระชายาองค์รัชทายาทได้ถูกเลือกไว้แล้ว พวกเขาคงไม่อาจร้องขอให้องค์หญิงที่มีฐานะสูงส่งจากต่างแคว้นให้มาเป็นพระชายายศต่ำลงมาไม่ได้กระมัง!?
ส่วนองค์ชายหก ถึงจะถูกถอดบรรดาศักดิ์ไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นศิษย์สายตรงชั้นในของเจ้าสำนักไร้สิ้นสุด ซึ่งเป็นสามสำนักใหญ่ ตระกูลฝ่ายมารดายังเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ที่บำเพ็ญวิชาแพทย์ในแดนมุกหยก มีเบื้องหลังจึงไม่ธรรมดา หากแต่ความสัมพันธ์ของเขากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ค่อยดีนัก สายสัมพันธ์พ่อลูกที่ไม่อาจหวนคืนมาได้