บทที่ 42 ข้าใจเสาะนัก

เบื้องหลังสายสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นนี้ มีเพียงคนในวังที่รับรู้ ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย

หากแต่การมาเยือนของแคว้นหลินยวนในครั้งนี้ ย่อมไม่ได้มีเจตนาอันดีแฝงอยู่เป็นแน่

ชางไห่อ๋อง จะมีชื่อเสียงอื้อฉาว หากแต่ก็ยังมีชายหนุ่มเลือดร้อนไม่น้อยที่ยกย่องและให้ความเคราพเขา ชิงเป่ยเองเป็นหนึ่งในนั้น

นอกจากพี่เยี่ยนซีเฉิง คนที่เขาชื่นชมบูชาที่สุดคือชางไห่อ๋อง ดังนั้นเมื่อรู้ว่าคณะทูตเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจึงแอบออกไปด้านนอกเพื่อชมคณะเดินทางโดยเฉพาะ

ถึงจะไม่ได้เห็นท่านอ๋อง แต่เท่านี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว เขากำลังจะแอบกลับเข้าไปในห้อง หากแต่น้ำเสียงร่าเริงก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เจ้าไปไหนมา?”

ชิงเป่ยชะงักค้างไปในทันที จากนั้นค่อย ๆ หันไปหาเจ้าของเสียงด้านหลัง “ท่านพี่ อรุณสวัสดิ์”

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นสูง แหงนหน้ามองพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่สูงบนท้องฟ้า “พระอาทิตย์ขึ้นจนเกือบถึงกลางหัว เจ้ายังมาบอกอรุณสวัสดิ์อีกหรือ? เลิกหลอกข้าเสียที เจ้าออกไปทำอะไรกันแน่?”

“ข้าเพียง….. อยากเห็นชางไห่อ๋อง” ชิงเป่ยรู้ว่าตนจนแต้ม ดังนั้นจึงบอกความจริงไป

เป็นตอนนั้นเองที่ชิงอวี่นึกขึ้นมาได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาต่อด้วยรอยยิ้ม “แล้วได้เห็นหรือไม่?”

เด็กชายส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง “ไม่เห็น เขานั่งอยู่ในเกี้ยวอีกที”

ชิงอวี่ยิ้มก่อนยกมือขึ้นขยี้ผมเด็กหนุ่ม “อย่ายอมแพ้เล่า สักวันเจ้าจะต้องได้พบเขาเป็นแน่”

“พี่ ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ท่านพ่อโปรดปรานท่านมากเลยหรือ?”

เมื่อถูกเขาถามขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ ชิงอวี่จึงชะงักไปเล็กน้อย นางเลิกคิ้วถาม “ทำไมหรือ? เจ้าอิจฉารึไง?”

“เหตุใดข้าต้องอิจฉา?” ชิงเป่ยอดยิ้มส่ายหัวไม่ได้ “ข้าเพียงต้องการกล่าวว่าตอนนี้ท่านพ่อโปรดปรานท่านมาก ดังนั้นครั้งนี้ต้องพาท่านเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเป็นแน่”

“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะไปที่เช่นนั้น” ชิงอวี่ยิ้มเหยียดออกมา “งานเลี้ยงในวังจัดขึ้นเพื่อกระชับสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น ทั้งยังเป็นการทำให้สถานภาพของแคว้นมั่นคง อีกฝ่ายยังส่งองค์หญิงมาแต่งงานด้วยไม่ใช่หรือ? แคว้นหลินยวนมีชางไห่อ๋องที่เก่งกาจเช่นนั้นแล้ว เหตุใดยังต้องส่งองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ให้แคว้นมั่นคงยิ่งขึ้นด้วยเล่า? ดังนั้นข้าไม่คิดว่าอีกฝ่ายมาดี คงจะมาเพื่อหาเรื่องก่อกวนเท่านั้น อีกอย่างงานเลี้ยงเช่นนั้นน่าเบื่อจะตาย”

ชิงเป่ยจ้องพี่สาวที่ท่าทางเยือกเย็นสงบนิ่งก็ไม่พูดอันใด ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชมและความเคารพนับถือเต็มเปี่ยม

พี่สาวคนนี้ของเขาไม่ธรรมดา คำที่นางกล่าวเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวคนอื่นจะสามารถกล่าวออกมาโดยง่าย ทั้งนางยังไม่สนใจบุรุษอย่างชางไห่อ๋อง ในขณะที่สตรีอื่นนับไม่ถ้วนก็หลงรักคนผู้นี้หัวปักหัวปำ!

เขาสงสัยยิ่งนักว่าจะมีบุรุษคนใดที่สามารถต้องตาและต้องใจนางได้

ชิงเป่ยเริ่มเป็นกังวลแทนว่าที่พี่เขยที่ยังไม่มีตัวตนตอนนี้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้เขาหลบซ่อนอยู่ ณ ซอกหลืบใดในใต้หล้า

ในตอนนั้นเอง ทางตอนหนือบนแดนเมฆาสวรรค์ ภายในหอสูงสีดำทะมึนอันแสนลึกลับซ่อนเร้น บุรุษผู้หนึ่งก็จามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นัยน์ตาสีม่วงคู่งามฉายแววสับสนอย่างที่พบเห็นได้ยากยิ่งออกมา

ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน อากาศแจ่มใสนัก พันลี้ไร้เมฆหนาปกคลุม อากาศค่อนข้างร้อน เขาคงจะไม่ได้เป็นหวัดหรอกกระมัง…..

เรื่องน่าขันเช่นนี้คืออันใดกัน? มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี เขาไม่เคยบาดเจ็บหนักบ่อยนัก ยิ่งเรื่องเป็นหวัดยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

เช่นนั้นแสดงว่ามีคนกำลังคิดถึงเขา

ริมฝีปากเขาพลันยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในใจคิดสิ่งใดอยู่ หากแต่อารมณ์เขากลับดีขึ้นเป็นพิเศษ ที่มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม

เหตุใดจู่ ๆ….. ข้าถึงคิดถึงจิ้งจอกน้อยตัวนั้นขึ้นมากันนะ?

อืม นัยน์ตาคู่นั้นไม่เพียงมีเสน่ห์ล่อลวงดั่งนางจิ้งจอก หากแต่ทั่วทั้งร่างนางเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างน่าประหลาด

ถึงตอนนั้นเขาจะไม่ได้เห็น หากแต่ก็ได้สัมผัสเรือนร่างภายใต้ชุดที่ถูกดึงจนหลวมนั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่ามันช่างนุ่มมือยิ่งนัก

หากผู้อื่นเห็นว่าจอมมารที่ทำอะไรตามใจตน กล้าทิ้งแม้กระทั่งฐานที่มั่นบนแดนเมฆาสวรรค์ไปหลายร้อยปี กลับมีวันที่มานั่งคิดถึงดรุณีน้อยจากดินแดนระดับล่างผู้หนึ่ง คงได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกกันไปเป็นแน่

——————–

เป็นไปอย่างที่ชิงเป่ยว่าไว้ เยี่ยนซู่เป็นฝ่ายเดินมาที่เรือนสงบเงียบด้วยตนเอง

เด็กสาวในชุดขาวกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางต้นสมุนไพร หลากหลายชนิดกลับดูงดงามยากจะละสายตาไปได้ ดวงตานางดั่งภาพวาดที่ถูกแต่งแต้มจากปลายพู่กัน นิ้วเรียวงามเด็ดดอกไม้สีชมพูอ่อนดอกหนึ่งขึ้นมาดมใต้จมูก ซึ่งดูท่ากลิ่นคงจะไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่เนื่องจากใบหน้าเล็กย่นลงด้วยความรังเกียจ หากแต่ก็เป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งท่าทางอ่อนโยนอยู่ในชุดสีเขียวเข้มดูสง่างาม เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นที่อยู่ด้านข้าง สายตาที่จดจ้องอยู่บนหนังสือในมือเหลือบขึ้นมองเด็กสาวอยู่เป็นระยะ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของเด็กทั้งสองคนเป็นภาพน่าดึงดูดชวนมอง ภายในสวนขนาดเล็กแห่งนี้ กลับเป็นภาพที่อบอุ่นใจและสวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด

ใจเยี่ยนซู่พลันอ่อนยวนลง ไม่อยากรบกวนภาพสงบสุขเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้แต่ยืนมองเด็กทั้งสองคนอยู่ตรงนั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่เจ้าอ่านแล้วสามารถเข้าใจเนื้อหาภายในได้หมดเลยงั้นหรือ?” ชิงอวี่หันไปเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเด็กหนุ่ม นางลุกขึ้นเดินไปหาเขา “หนังสือความรู้แพทย์น่าเบื่อนัก ที่ข้าเลือกร่ำเรียนด้านการแพทย์เป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือก เหตุใดเจ้าจึงอยากเรียนเล่า?”

ชิงเป่ยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ตนกำลังอ่านก่อนจะส่งยิ้มบางให้นาง “ข้าเพียงคิดว่าหากข้าสามารถเรียนรู้สิ่งใดอีกสักนิดเพื่อใช้ปกป้องตัวเองได้บ้าง อย่างน้อยข้าจะได้ไม่ต้องกังวลยามถูกลอบโจมตีด้วยยาพิษ”

“งั้นหรือ?” ชิงอวีพยักหน้ารับ จากนั้นตบไหล่เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ดี ถึงมันจะน่าเบื่อจืดชืดไปสักหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีประโยชน์จริงๆ เจ้าลองดูผู้บำเพ็ญเพียรวิชาแพทย์เหล่านั้นสิ คนเหล่านั้นมีสมบัติมากมาย ไม่ขาดสาวงาม ทั้งยังมีความมั่งคั่งไร้ขอบเขต”

เส้นเลือดข้างขมับชิงเป่ยกระตุก “ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านั้น…..”

“เช่นนั้นไม่ได้ คนเราต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ข้าได้ยินว่าองค์หญิงเก้าแคว้นหลินยวนเดินทางมาด้วย นางมีอายุอานามพอกับเจ้า ผู้คนร่ำลือว่านางมีรูปโฉมและความสามารถไม่เป็นสองรองใคร เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้าไป…..”

“ท่านพี่ ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นจริง ๆ นางเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นองค์หญิงที่ผู้คนเคารพนับถือ นางจะมาสนใจคนที่ไม่มีทั้งอำนาจและความแข็งแกร่งใดๆแบบข้า ทั้งยังเป็นคนพิการที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากใครได้อย่างไรกัน? ท่านอย่าก่อปัญหาจะดีกว่า…..” ชิงเป่ยพูดแทรกพี่สาวตนที่กำลังพูดเพ้อเจ้อขึ้น

ชิงอวี่หัวเราะเสียงหยัน “ยังจะมีใครพูดลดคุณค่าตนเองได้มากเช่นเจ้าอีกหรือไม่? ใครกล้ากล่าวหาว่าน้องชายข้าไม่ดีกัน?”

“เปล่า ข้าเพียงแต่….. ท่านพ่อ?” ชิงเป่ยพลันเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความรักความเมตตา จนชิงเป่ยสะดุ้งเล็กน้อย

ชิงอวี่เลิกติ้วขึ้น หันไปมองตามสายตาเขา เยี่ยนซู่จึงเดินตรงเข้ามาหาพวกนางพร้อมรอยยิ้ม นางยกยิ้มที่มุมปาก “ท่านพ่อมาถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”

กับท่านพ่อที่ทอดทิ้งพวกนางมานานกว่าสิบปีเช่นเขา ชิงอวี่ไม่ได้มีความรู้สึกมากมายอันใดต่อเขานัก ถึงเขาจะพยายามทำดีทดแทนมากเพียงไรก็ตาม ดังนั้นท่าทางที่นางแสดงต่อเยี่ยนซู่ ถึงแม้จะอ่อนโยนแต่ก็ห่างเหิน

เยี่ยนซู่ไม่ใส่ใจว่านางมีความคิดเห็นอันใดต่อเขา ถึงนางจะเอ่ยคำว่าท่านพ่ออย่างเย็นชาเพียงใดเขาก็ไม่สนใจ

ท่ามกลางเหล่าธิดาทั้งหลายที่เขามี มีเพียงชิงอวี่ที่เรียกเขาว่าท่านพ่อ (1) ยิ่งทำให้เขาชื่นชอบธิดาคนนี้ยิ่งนัก

เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนกับชิงเฟยไม่มีผิด ยิ่งได้มองนาง เยี่ยนซู่ก็ยิ่งชอบบุตรสาวคนนี้มากขึ้น

“ข้าเพิ่งกลับมาจากพระราชวัง ระหว่างทางจึงมาหาพวกเจ้าทั้งสองคน” เยี่ยนซู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นหันไปมองเด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็น “เจ้าสบายดีหรือไม่เสี่ยวเป่ย? ครั้งก่อนที่ข้าพาหัวหน้านักปรุงยาหลวงอวิ๋นฉีมาตรวจอาการเจ้า เขากล่าวว่าขาเจ้ายังมีความหวังให้รักษาได้ ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าต้องกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งแน่นอน”

ในใจเยี่ยนซู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อชิงเป่ย ที่ขาเขาต้องเป็นเช่นนี้เป็นเพราะฝีมือโม่หานเยียน หากแต่เขาไม่อาจลงโทษพระชายาได้ แต่งงานกับนางเป็นสามีภรรยามากว่ายี่สิบปี หากเขาทำเช่นนั้นกับนาง คงยิ่งทำให้ใจของโม่หานเยียนกลายเป็นก้อนหินไร้ความรู้สึกก้อนหนึ่ง

ชิงอวี่ไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย หัวหน้านักปรุงยาหลวงเคยมาที่นี่ด้วยหรือ?

นางเหลือบมองเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มบางบนหน้า เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาอย่างที่แสดงออก! สามารถหลอกตานักปรุงยาได้! ดูท่าเด็กคนนี้คงจะมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์อยู่ไม่มากก็น้อย

เยี่ยนซู่เอ่ยขึ้นต่อ “คืนนี้พระราชวังจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตแคว้นหลินยวน คงไม่อาจเหลีกเลี่ยงแผนการทั้งในที่แจ้งและที่ลับได้ ข้าจะพาพวกเจ้าทั้งสองคนเข้าวังไปด้วย เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งพี่ชายพวกเจ้ามารับ”

ชิงอวี่เงยหน้าขึ้น กะพริบตาถามท่านพ่อด้วยนัยน์ตาไร้เดียงสา “เหตุใดท่านพ่อจึงต้องทำเช่นนี้? ท่านก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีนัก ทว่ายังต้องการนำพวกเราเข้าวังไปอีกงั้นหรือเจ้าคะ? น้องชายข้าสุขภาพไม่สู้ดีนัก ส่วนตัวข้าก็ใจเสาะยิ่ง สุดท้ายอาจทำให้ท่านพ่อต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงจนถูกตำหนิได้ ข้าว่าพวกเราไม่เข้าวังไปกับท่านพ่อน่าจะดีกว่า”

เยี่ยนซู่ “…..”

บุตรธิดาคนอื่น ๆ ของขุนนางมียศต่างอยากเข้างานเลี้ยงนี้ใจจะขาด หากแต่พวกเขามีมารดาชาติกำเนิดต่ำต้อยจึงไม่อาจเข้าร่วมได้ ดังนั้นจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้ท่านพ่อของตนโปรดปราน จะได้มีโอกาสไปแสดงตัวในวังหลวงบ้าง เพื่อไปดูว่าอาจมีใครที่ตนพึงใจหรือไม่ อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบชางไห่อ๋อง ผู้ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนให้ความนับถือ

แต่เกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของเขากันแน่…..

นางไม่อยากไปจริง ๆ หรือต้องการสิ่งอื่นกันแน่?

ใจเสาะหรือ?

เมื่อครั้งที่นางสังหารเหล่านักฆ่าชุดดำที่ลอบโจมตีทั้งหมดสิ้น นางก็กล้าหาญอยู่พอตัวมิใช่หรือ!

มีหรือที่เยี่ยนซู่จะไม่รู้ว่านางพูดปด ดังนั้นจึงเหลือบตามองนางด้วยสายตาไม่พอใจนัก “ข้าไม่อยากฟังอีก เฉิงเอ๋อร์จะมารับพวกเจ้าทั้งสองคนในภายหลัง ไปเปลี่ยนชุดที่เหมาะกับการเข้าร่วมงานเลี้ยงเสีย สวมชุดเรียบง่ายเช่นนี้จะมีแต่ทำให้ผู้อื่นมองว่าจวนหย่งอันอ๋องยากจนข้นแค้น กับเรื่องเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังขี้เหนียวกับบุตรตนเอง”

พูดจบ เขาก็ไม่รอให้ชิงอวี่เอ่ยตอบรับ หากแต่สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที

ชิงอวี่ “…..”

นางพูดผิดไปตรงไหน?

เหตุใดจึงไม่ให้นางได้ปฏิเสธบ้าง…..

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น นางกำลังขุ่นข้องหมองใจยิ่ง หากแต่เด็กหนุ่มกลับหัวเราะคิกคักมีความสุขยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้เหลือทนเกินไป ทันใดนั้นฝ่ามือพิฆาตก็เคาะลงบนหัวเด็กหนุ่มในทันใด “น่าขันมากหรือไม่?”

ชิงเป่ยไม่อาจหลบฝ่ามือนั้นได้ทันท่วงที ได้แต่สูดปากด้วยความเจ็บปวด เขาลูบหัวตนเองเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ การแสดงเมื่อครู่ของท่านดูปลอมยิ่งนัก”

“ปลอม?”

“ถูกต้อง ตอนที่ท่านกล่าวว่าข้าสุขภาพร่างกายไม่สู้ดียังดูน่าเชื่อถือกว่า หากแต่ตอนที่ท่านพูดว่าท่านใจเสาะ ท่านใจเสาะถึงเพียงไหนจึงสามารถสังหารนักฆ่าได้อย่างง่ายดาย?”

มุมปากชิงอวี่พลันกระตุก เป็นเพราะเรื่องนั้นเองหรือ?

นางนึกย้อนไปยังสายตาตักเตือนของท่านพ่อเมื่อครู่…..

ช่างเถอะ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ช่างมันปะไร ก็แค่เปลี่ยนสถานที่กินข้าว อย่างไรก็ยังมีท่านพ่อกับท่านพี่เป็นเกราะคุ้มภัย

หากแต่ในตอนนั้น ชิงอวี่ไม่รับรู้เลยว่ามีอันตรายกำลังค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาหานาง

—– อารามจันทร์กระจ่าง —–

“เจ้าว่าหัวหน้านักบวชหญิงอินชือหายตัวไปอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงสง่างามพราวเสน่ห์ของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากเบื้องหลังผ้าม่าน

“เรียนท่านเจ้าอาราม ตั้งแต่วันที่ท่านขังหัวหน้านักบวชหญิงอินชือไว้ในเรือนจองจำ ข้ารับใช้ที่นำอาหารไปส่งให้นางทุกวันกล่าวว่านางไม่แตะต้องอาหารมาหลายวันแล้ว ข้ายังคิดว่านางสิ้นใจอยู่ในนั้นแล้วหรือไม่ ไม่คิดว่าวันนี้ที่ข้าเข้าไปในเรือนจองจำกลับไม่พบผู้ใด” สตรีชุดขาวเบื้องล่างกล่าว ศีรษะก้มลงต่ำอย่างเคารพนบน้อม

ท่านเจ้าอารามอายุน้อยท่านนี้ คือสตรีที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงสุด ทั้งยังเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมมากที่สุดในอารามจันทร์กระจ่าง ไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือหักหลังนาง อารามจันทร์กระจ่างมีชื่อเรื่องการสาปแช่งและคาถาโบราณทั้งหลาย ทุกคนถูกหนอนกู่ในร่างควบคุม หากมีผู้ใดคิดทรยศผู้ร่ายคำสาป วิญญาณในร่างจะถูกเฆี่ยนตีจนกระทั่งขาดใจตายในที่สุด

และคาถาอาคมร้ายของท่านเจ้าอารามผู้นี้ อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและทรงพลังอย่างถึงที่สุด

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว

ได้ยินคำที่สตรีชุดขาวเอ่ยแล้ว สตรีที่นั่งอยู่บนแท่นยกระดับกลับหัวเราะเสียงดับกลับมา “อินชือเอ๋ยอินชือ จะตายอยู่รอมร่อยังหมายจะแก้แค้น คิดจะลากอีกคนลงนรกตามไปด้วย…..”

เชิงอรรถ

ท่านพ่อ ที่ชิงอวี่ใช้เรียกไม่เหมือนกับที่เด็กคนอื่น ๆ ในจวนใช้เรียก ชิงอวี่ใช้คำว่า ‘ฟู่ชิน’ ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ ในจวนอ๋องใช้คำว่า ‘ฟู่หวัง’ ที่เรียกแล้วดูห่างเหินกว่า