แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่ผมพูดขึ้นเจ้าปีศาจก็ปรากฏตัวออกมา ความเย่อหยิ่งที่เขามีก่อนหน้านี้หายไปแล้ว เหลือเพียงความเกลียดชังและความสิ้นหวังที่มีต่อผม ปีศาจที่ดูแข็งแกร่งในอดีตหายไปแล้วและสิ่งที่เหลืออยู่คือภาพลวงตาที่แขวนอยู่บนชีวิตของเขา
“ดูเหมือนแกจะมีช่วงเวลาที่ค่อนข้างลำบากเลยนะ”
“แก!!”
เมื่อได้ยินคำพูดของผมความโกรธในร่างกายของมันก็ระเบิดมากขึ้น มันแค่ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนกัน? เจ้ามนุษย์นี่มันบ้าอะไรกัน? มีอัจฉริยะแบบเจ้ามนุษย์นี้อยู่โลกภายนอกมากกว่านี้รึเปล่า?
“เอาหล่ะในเมื่อทั้งแกและฉันเองก็รู้ว่าโลกนี้จะอยู่ได้อีกแค่ 2 วัน ทำไมแกไม่มาสงบศึกกันและปล่อยพวกเราไปหล่ะ? หรือแกจะเสี่ยงให้เรารับมรดกและพยายามฆ่าพวกเราอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าจะสำเร็จรึเปล่าหล่ะ?”
“ฉันให้แกเลือกเลย”
ยิ่งผมพูดสีหน้าของเจ้าปีศาจก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกันเจ้าปีศาจก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้เด็กนี่ถึงรู้เรื่องของโลกนี้ได้
“แกเป็นใครกัน?”
“ก็แค่เด็กวัยรุ่นธรรมๆ คนหนึ่ง”
คำตอบของผมทำให้ปีศาจโกรธมากขึ้น แต่เขาจะทำอะไรได้หล่ะ? ยอมเสี่ยงกับทุกสิ่งที่เขาทิ้งไว้เพราะความโกรธเล็กน้อยงั้นเหรอ? แม้ว่าเขาจะเลือดร้อน แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขากลายเป็นระดับจักรพรรดิผ่านการเหยียบย่ำผ่านศพมากมายและมีอยู่หลายครั้งที่เขาต้องหัวเสีย มีเพียงแค่ผู้รอดชีวิตเท่านั้นที่จะสามารถล้างแค้นได้
เมื่อเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของปีศาจผมก็ยิ้ม มันเป็นความรู้สึกที่ดีเสมอเมื่อคุณทำให้ศัตรูของคุณทำอะไรไม่ถูกกับคุณ
“เห้อออแกชนะ ออกไปซะ”
เมื่อปีศาจตัดสินใจเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ขึ้นอีกหลายปีเลย เขาดีดนิ้วโดยไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
สิ่งต่อมาที่ผมรู้คือตัวเองถูกส่งกลับมานอกป่าแล้ว ผมมองไปรอบๆ จนพบกับเอเลนอร์ที่นอนอยู่บนพื้นกำลังตื่นขึ้นมา
ผมวิ่งเข้าไปหาเธอก่อนจะคุกเข่าและกอดเธอ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมานั้นคือการตบจากเธอ
ผมตะลึงขณะมองไปทางเธอที่กำลังมีน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาและก่อนที่ผมจะทันได้โต้ตอบอะไรเธอก็กอดผมแน่น…ผมหมายถึงแน่นจริงๆ นะ
ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงมายังเสื้อของตัวเองพร้อมทั้งรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเธอ ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าตัวเองคงทำให้เธอกลัวมาก
ผมกอดหลังตอบเธอแน่นและปล่อยให้เอเลนอร์ร้องต่อไปอีก 2-3 นาทีก่อนจะพูดกับเธอเพียงแค่ไม่กี่คำ
“ผมขอโทษครับ”
เรากอดกันแบบนั้นอีก 2-3 นาทีก่อนที่เธอจะปล่อยผมในที่สุด เธอนำมือมาวางบนใบหน้าของผมในขณะที่มองตรงเข้ามาที่ดวงตาของผมพร้อมกับยิ้ม
รอยยิ้มของเธอที่ขัดแย้งกับน้ำตานั้นช่างงดงามจนทำเอาผมเคลิ้มไปชั่วขณะพร้อมกับหัวใจของผมที่เต้นแรงขึ้นจากคำพูดของเธอ
“ดีแล้วที่เธอไม่เป็นอะไร”
ผมสามารถสัมผัสความสุขอันบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากคำพูดของเธอได้เลย แต่แล้วใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นโกรธก่อนเธอจะดึงหูผมในทันทีจนทำให้ผมต้องกรีดร้องออกมา
“โอ้ย…โอ้ย…หยุดก่อนครับอาจารย์”
“ฮึ่มมมม…เธอกล้าทิ้งอาจารย์ของตัวเองไว้ได้ยังไงและยังถึงขนาดทำให้ฉันหมดสติไปด้วย ฉันจะสอนบทเรียนให้เธอยังไงดีนะ”
“ผมขอโทษครับอาจารย์ ช่วยปล่อยผมเถอะครับ!!”
เนื่องจากพวกเราออกมาจากโลกประวัติศาสต์แล้วเลยทำให้พลังของเอเลนอร์กลับมา ดังนั้นถึงแม้ว่าผมอยากจะหยุดเธอผมก็ทำอะไรไม่ได้
“ฉันจะยกโทษให้เธอถ้าเธอทำอะไรบางอย่างให้ฉัน”
เมื่อเอเลนอร์เห็นว่าผมสำนักผิดมากพอแล้วเธอก็ปล่อยหูของผมและเรียกร้องคำขอบางอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้วางแผนที่จะถามว่าพวกเราหนีออกมาได้ยังไงด้วย นั่นเลยช่วยให้ผมสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง
ผมยืนขึ้นและมองไปที่เธอเพื่อรอฟังคำขอของเธอ แม้ว่าตอนนี้เอเลนอร์จะกำลังนั่งอยู่บนพื้น แต่ที่ผมประหลาดใจก็คือเธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจออกมา
“อุ้มฉัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอผมก็อึ้งไปนิดหน่อย ตอนนั้นเองที่ผมรู้อะไรบางอย่างนั่นก็คือเอเลนอร์ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ไม่ได้แสดงด้านปกติของเธอ แม้จะงุนงงเล็กน้อย แต่ผมก็ตอบรับเธอด้วยความสุข
ผมก้มหัวลงเหมือนพ่อบ้านพร้อมกับสวมใบหน้าของอัศวินผู้มีเกียรติก่อนจะพูดขึ้นมา
“การได้อุ้มสาวงามเช่นนี้ไว้ในอ้อมแขนถือเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตเลยครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เอเลนอร์ก็หัวเราะคิกคักและโดยไม่รอให้เธอพูดอะไรต่อผมก็อุ้มเธอขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าหญิง
เอเลนอร์ยิ้มอย่างมีความสุขโดยที่โอบแขนของเธอไว้รอบคอของผมและพึงหัวของเธอกับไหล่ของผม
“ท่านอัศวินวางแผนจะพาผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ไปที่ไหนหล่ะ?”
เอเลนอร์ถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีความสุขพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างซุกซน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้พาสาวงามกลับไปรักษาที่บ้านเนื่องจากเห็นว่าเธอบาดเจ็บอยู่ครับ”
“หืมม? ถ้างั้นผู้หญิงน่าสงสารคนนี้จะตอบรับความกรุณาของท่านแล้วกัน”
แม้ว่าเอเลนอร์จะสงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็พยักหน้าให้ผม
เมื่อเห็นเช่นนั้นผมก็จับเธอแน่นก่อนจะออกเดิน
ผมเดินไปอย่างเงียบๆ โดยมีเสียงนกและสายลมประกอบฉาก ขณะที่เดินอยู่พวกเราไม่พบสัตส์ร้ายใดๆ เลย ผมมั่นใจว่าคงเป็นเพราะเอเลนอร์
ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกมาจากป่าและมาถึงหมู่บ้านได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้น ผมเดินไปที่บ้านซึ่งอยู่บนเนินเขาในทันที
ผมได้เช่าบ้านหลังนี้ไว้ในตอนที่มาที่นี่ ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะมีประโยชน์ แต่ใครจะคิดหล่ะว่ามันจะมีจริงๆ
ยิ่งเราเดินไปมากเท่าไหร่ผู้คนก็ยิ่งน้อยลงเนื่องจากบ้านหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อนักท่องเที่ยวที่ต้องการความสงบ แถวๆ นั้นจึงเงียบมาก
น่าแปลกที่เราเดินกันมาโดยไม่มีใครสนใจเราเลย มันเหมือนกับว่าไม่มีใครมองเราเห็นเลย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่เอเลนอร์เงียบและไม่พูดอะไรสักคำ
ผมเดินขึ้นเขามาจนถึงด้านบนสุด เรียกบ้านนี้ว่ากระท่อมคงจะดีกว่า มันมีเพียงชั้นเดียวและดูดีพอที่จะใช้เวลาของคุณ บวกกับวิวจากด้านบนก็ดี
ผมเดินมาถึงหน้าประตูและรออยู่ตรงนั้นเนื่องจากคิดว่าในที่สุดเอเลนอร์อาจจะอยากลงมา แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไร
‘เราจะเปิดประตูยังไงหล่ะเนี่ย?’
ไม่นานคำถามนี้ก็ได้รับคำตอบ เมื่อเห็นว่าพวกเราหยุดลงแล้วเอเลนอร์ก็มองไปทางประตู หลังจากนั้นเธอก็โบกมือและทำให้ประตูเปิดออก
‘อ่าาา ประตูจะเป็นปัญหากับระดับจักรพรรดิได้ยังไงหล่ะเนอะ’
ผมส่ายหัวก่อนจะเข้าไปในบ้าน โดยสิ่งที่ผมไม่รู้ในตอนนั้นก็คือทันทีที่ผมออกจากโลกประวัติศาสตร์ก็ได้มีอะไรบางอย่างที่สีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟตกลงมาจากท้องฟ้า
เปลวไฟนั้นดูเล็กมากและดูคล้ายกับสิ่งที่ออสตินเคยใช้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือพลังที่อยู่ในเปลวไฟนั้น
มันค่อยๆ ตกลงมาจากท้องฟ้าก่อนจะตกลงสู่โลกประวัติศาสตร์และก่อนที่เจ้าปีศาจจะทันได้กรีดร้อง โลกประวัติศาสตร์ของมันก็ถูกลบออกไปจากโลกใบนี้ซะแล้ว
ปีศาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้ยังไง…
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต