ตอนที่ 59 ไม่เชื่อโชคชะตา
จี้จือฮวนออกไปครั้งนี้ ได้ซื้อรถม้าคันหนึ่งกลับมา คนในหมู่บ้านต่างก็ตกตะลึง
รถม้า นั่นเป็นรถม้าเชียวนะ บรรดานายท่านในเมืองก็ยังไม่ได้มีกันทุกคนเลย
ในอดีตมีเพียงขุนนางเท่านั้นที่สามารถนั่งรถม้าได้ ตอนนี้ราชสำนักไม่มีข้อจำกัดอีก แต่ก็มีครอบครัวที่ร่ำรวยจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเลี้ยงม้าได้ หมู่บ้านตระกูลเฉินไม่เคยเห็นบ้านใดมีรถม้ามาหลายปีแล้ว
แม้ว่าม้าตัวนั้นจะดูผอมจนหนังหุ้มกระดูก แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นม้าอยู่ดี!
“สะใภ้ตระกูลเผย บ้านพวกเจ้าซื้อรถม้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ เพิ่งซื้อมา” จี้จือฮวนทักทายชาวบ้านที่คุ้นเคยสองสามคนด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เป็นเรื่องจริงหรือนี่ พวกเขาไม่ได้กำลังฝันไปหรอกหรือ?
สักพักทุกคนก็ล้อมวงกันเข้ามา เป็นรถม้าที่กว้างขวาง มีตู้ด้านในสำหรับใส่ของ สามารถผูกลังไว้ที่ด้านหลังได้ด้วย
“จ่ายไปเท่าไรหรือ?”
“ไม่มากเจ้าค่ะ” จี้จือฮวนไม่ได้บอกตัวเลขไป
ไม่มากแต่ก็เป็นจำนวนที่คนทั่วไปไม่สามารถซื้อได้
เรื่องความอิจฉาริษยา มักเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกับตนเอง แต่ถ้าอีกฝ่ายสูงกว่ามาก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความชื่นชม
คนเรามักจะชื่นชมคนที่สูงส่งกว่า ส่วนคนที่เดิมยังอิจฉาอยู่และคิดว่าอีกไม่นานครอบครัวเผยก็จะไม่มีเงินสร้างบ้านอีก ก็ได้แต่เงียบกริบลงทันที
“รถม้านั้นดีมาก เพียงแต่ม้าตัวนี้ เหตุใดถึงซื้อม้าเช่นนี้มาเล่า ข้าเห็นม้าเจ่าหง* ข้างนอกเหล่านั้นสวยมากเลยนะ ทั้งยังแข็งแรงอีกด้วย”
* ม้าเจ่าหง (枣红马) ม้าที่มีขนสีแดงอมม่วงรูปร่างสูงใหญ่
จี้จือฮวนรู้สึกได้ว่าจ้านอิ่งหันขวับมาจ้องมองคนผู้นั้นในทันที
“อย่าพูดเหลวไหล ม้าตัวนี้ดูสรีระก็รู้แล้วว่ายังหนุ่มและแข็งแรง เป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง ถ้าขุนให้ดีรับรองว่าต้องเป็นม้าที่ยอดเยี่ยมแน่”
จ้านอิ่งจึงเชิดคางขึ้น ราวกับกำลังจะบอกว่า นับว่ายังมีคนที่ตาถึงอยู่
จี้จือฮวนไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ จึงได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ก่อนจะเอ่ยกับชาวบ้าน “คนที่บ้านยังรออยู่ พวกเราขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
“ได้ ๆ ๆ ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
จี้จือฮวนตบที่ก้นของจ้านอิ่งเบา ๆ ในที่สุดจ้านอิ่งก็หมดความอดทน และวิ่งไปทางเนินเขาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนจึงได้ยินแค่เพียงเสียง ฟิ้ว! เท่านั้น ก่อนจะพบว่าทั้งคนทั้งรถทั้งม้าได้วิ่งไปไกลแล้ว และยังทิ้งฝุ่นเอาไว้อีกด้วย
“แค่ก ๆ ๆ ๆ วิ่งแค่ก ๆ ๆ ๆ วิ่งเร็วมากทีเดียว”
“แต่ผอมไปหน่อย”
จ้านอิ่งวิ่งไปจนถึงประตูบ้านครอบครัวเผย ทำให้ท่านป้าหยางที่ออกมาให้อาหารไก่ตกใจเป็นอย่างมาก ขณะกำลังจะพูดว่าใครมาหาจี้จือฮวนอีก ก็เห็นพวกเขาเข้าพอดี
“อ้าว พวกเจ้าซื้อรถม้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ?” ท่านป้าหยางถามด้วยความดีใจ
“ใช่เจ้าค่ะ”
เหล่าเติ้งและเหล่าคนงานเองก็เข้ามาดูด้วย พวกเขารู้สึกว่าแม่นางจี้ผู้นี้เก่งจริง ๆ ต่อไปครอบครัวนี้จะร่ำรวยขึ้นอีกเพียงใดกัน
หลังจากช่วยถอดรถม้าออกแล้ว จ้านอิ่งก็เป็นอิสระ ท่านป้าหยางบอกว่าจะเอาเชือกมาผูกให้ แต่เผยจี้ฉือกลับปัดมือไปมาและบอกว่าไม่ต้อง
“เจ้าพาจ้านอิ่งไปดูพ่อเจ้าเถอะ” จี้จือฮวนเอ่ย
เผยจี้ฉือพยักหน้ารับคำ อาชิงวิ่งนำไปก่อนใคร เจ้าตัวเล็กเข้าไปใกล้ ๆข้างหูของเผยยวน “ท่านพ่อข้ากลับมาแล้ว ท่านดูสิพวกเราพาใครมาหาท่านด้วย”
จ้านอิ่งก้มหัวลงและก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นเผยยวนที่นอนอยู่บนเตียง มันจึงส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะย่ำเท้าไปมา และเดินตรงไปที่ข้างกายของเผยยวน น่าเสียดายที่สถานที่นี้คับแคบเกินไป มันอยากหมุนตัวสักรอบแต่ก็หมุนไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเผยยวนยังคงหลับตาอยู่ตลอด จ้านอิ่งก็ค่อย ๆ ก้มตัวลง ดมกลิ่นอายของเขา สุดท้ายก็ค่อย ๆ หมอบลง เฝ้าเผยยวนอยู่อย่างนั้น
จี้จือฮวนหยิบกล่องยาน้อย ๆ เข้ามา และบอกให้พวกอาอินเอาของที่ซื้อวันนี้ไปเก็บให้เรียบร้อย เผยจี้ฉือไม่ได้ไปไหนแต่คอยเฝ้าอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ
จี้จือฮวนเข้าไปที่ข้างกายของจ้านอิ่งอย่างระมัดระวัง เห็นมันจ้องเผยยวนอยู่อย่างนั้น นางจึงยื่นมือออกไปลูบมันเบา ๆ
คาดว่าบนกายของนางคงมีกลิ่นของเผยยวนและพวกเด็ก ๆ อยู่ จ้านอิ่งจึงไม่ต่อต้านการสัมผัสของนาง
“มันได้รับบาดเจ็บหนัก และถูกทรมานมาด้วย” จี้จือฮวนเห็นว่าบนขาของมันยังมีตะปูเหล็กติดอยู่ จึงตั้งใจว่าจะใช้ยาชาเพื่อป้องกันไม่ให้จ้านอิ่งเจ็บและเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เผยจี้ฉือคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ มัน เมื่อได้ยินประโยคนี้ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “จ้านอิ่งเป็นตัวแทนของท่านพ่อ พวกเขาชิงทหารเกราะเหล็กไป แน่นอนว่าย่อมไม่ปล่อยจ้านอิ่งไป มันไม่มีทางยอมจำนนให้แก่พวกเขาอย่างแน่นอน ส่วนทหารเกราะเหล็กไม่มีทางหนีทหารเด็ดขาด นอกจากจะตายในสนามรบ”
จ้านอิ่งได้รับการปลอบโยนจากเผยจี้ฉือก็ค่อย ๆ หลับตาลง ดวงตาแม้จะยังจ้องมองไปที่ร่างของเผยยวนอยู่ตลอด แต่ร่างกายของมันเวลานี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
จี้จือฮวนฉีดยาชาให้มันก่อน จากนั้นจึงได้เริ่มทำการรักษา
เผยจี้ฉือเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจี้จือฮวนอยู่ตลอด ก็เห็นว่านางใช้เครื่องมือต่าง ๆ และเย็บแผลได้อย่างชำนาญ แม้จะมีเนื้อหนังบางส่วนที่ปริออกและเต็มไปด้วยเลือด แต่สีหน้าของนางก็ยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดังนั้นความตื่นตระหนกในใจของเผยจี้ฉือจึงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องมองแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกินข้าวเย็นไม่ลง”
“ไม่ใช่ว่าทนไม่ไหว แต่กำลังคิดว่าถ้ากองทัพมีหมอเก่ง ๆ อย่างเจ้า ทหารบางคนก็คงไม่ต้องเสียแขนหรือขาไป”
จี้จือฮวนชะงักมือลงเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าวายร้ายตัวน้อยผู้นี้จะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าพื้นฐานของพวกเขานั้น แต่เดิมก็ล้วนเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม แต่เพราะหมดหวังกับโลกใบนี้จึงได้ทำการฆ่าล้างเมืองเช่นนั้นขึ้น
“ฝีมือทางการแพทย์ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เจ้าต้องเชื่อมั่นว่าภายภาคหน้าจะมีหมอที่เก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ โรคที่ไม่สามารถรักษาได้ในตอนนี้ ในอนาคตอันยาวไกลมันจะกลายเป็นเรื่องง่าย ๆ”
นางไม่สามารถรับปากได้ว่าจะช่วยชีวิตคนได้กี่คนในยุคนี้ เพราะนางต้องอาศัยสิ่งของในกล่องยาและช่องว่างมิติ บางทีวันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และนางก็จะสูญเสียความสามารถเช่นนี้ไปด้วยเช่นกัน
แต่นางสามารถบอกเขาได้ว่าเทคโนโลยีและยุคสมัยจะก้าวหน้าไปมากอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนั้นเองจี้จือฮวนก็รู้สึกได้ว่าเหมือนตัวเองข้ามกาลเวลามาสื่อสารกับคนยุคโบราณ
เผยจี้ฉือขมวดคิ้ว “จริงหรือ ข้าคิดว่าพวกที่มีอำนาจรู้จักแต่การแย่งชิงอำนาจ พวกที่คล้อยตามก็จะเจริญรุ่งเรือง พวกที่ต่อต้านก็จะพินาศลง พวกเขาจะรับรู้ถึงความทุกข์ของราษฎรได้อย่างไร?”
เผยยวนคือข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
จี้จือฮวนที่กำลังทำแผลให้จ้านอิ่งอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าเชื่อในโชคชะตาหรือไม่?”
“ไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ดีแล้ว ปลาที่มีชีวิตจะว่ายทวนกระแสน้ำ ส่วนปลาที่ตายก็จะว่ายตามกระแสน้ำ ชีวิตคนก็คือการต่อสู้กับโชคชะตา ต่อสู้กับฟ้าดิน ทำสิ่งใดขอเพียงไม่ละอายแก่ใจ ไม่ละอายต่อฟ้าดิน ผู้ใดติดค้างเจ้า ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องคืนให้เจ้า แต่จงจำไว้ว่าปลายมีดของเจ้าไม่ควรเล็งไปที่ผู้บริสุทธิ์”
เผยจี้ฉือนิ่งงัน
สิ่งที่จี้จือฮวนพูดได้ก็มีเพียงเท่านี้ รอเผยยวนหายดีแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีทางหลบซ่อนอยู่ที่นี่อีกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ละอายใจต่อทหารเกราะเหล็กที่ถูกพระเอกนางเอกทำร้ายหรือ?
แม้นางจะไม่รู้ว่าการช่วยเผยยวนจะสร้างผลกระทบต่อเนื้อเรื่องเดิมมากน้อยเพียงใด แต่ก็หวังว่าพวกเขาจะไม่เดินตามเส้นทางเดิมเหมือนในนิยายอีก
“ฮวนฮวน! คนในหมู่บ้านมาหา”
ที่หน้าประตู ท่านป้าหยางส่งเสียงตะโกนเข้ามา จี้จือฮวนจัดการแผลสุดท้ายเสร็จก็ลุกขึ้นยืน ให้เวลาเผยจี้ฉือได้ไตร่ตรองกับตัวเอง
นางล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นว่าคนที่มาหาก็คือเฉินหลันหลัน
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม สตรีผู้นี้มักจะรังแกเจ้าของร่างเดิมเพราะเห็นว่ามีใบหน้าที่อัปลักษณ์
แต่เหตุใดอยู่ดี ๆ ถึงมาหาได้เล่า?
ในตอนที่เฉินหลันหลันเห็นจี้จือฮวน ก็คิดว่าตัวเองมองผิดไปเสียอีก ก่อนหน้านี้นางไปที่บ้านท่านตามา เพิ่งกลับมาเมื่อสองวันก่อน คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะเป็นเหมือนที่คนอื่นพูดเอาไว้ นางเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่รอยสีเขียวและรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็ยังคงอยู่ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก
.
.
.