เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้มาถึงปลายเดือนเก้าในรัชศกเฟิงชิ่งที่สิบแห่งแผ่นดินต้าหุ้ย ซึ่งเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง เป็นเวลาที่ซูสุ่ยเลี่ยนมาถึงโลกใบนี้ได้ครึ่งปีกว่าแล้ว
เถียนต้าเป่าตามเรียกหลินซือเย่าว่า ‘อาจารย์’ มาได้เดือนครึ่งแล้ว นอกจากท่าม้าก้าวและต่อยหมัดตรงที่เขาต้องฝึกทุกวัน เขายังเริ่มฝึกพลังตัวเบาและวิชากระบี่กับหลินซือเย่าอย่างเป็นทางการแล้ว
กระบี่ที่ใช้ในการฝึกเพลงกระบี่ก็เป็นกระบี่ที่เถียนต้าฟู่ไหว้วานให้เหลาหย่งฟู่ลูกชายคนโตป้าเหลาตีให้ แม้ดูแล้วหนักเทอะทะ แต่เถียนต้าเป่าชอบมาก จากคำพูดล้อของนางเถียน ตอนนอนเขาก็ยังกอดดาบไม่ยอมวาง
ตั้งแต่หลินซือเย่ารับเถียนต้าเป่าเป็นศิษย์ ก็มอบภารกิจพาลูกหมาป่าออกไปเดินเล่นตอนเช้าและล่าสัตว์บ้างในบางคราให้เถียนต้าเป่าไป
ส่วนเขาเอง เพียงแค่นอนกอดภรรยาร่างนุ่มจนตะวันสายโด่ง จนเถียนต้าเป่าถูกลูกหมาป่าลากถูลู่ถูกังกลับมา แน่นอนว่าย่อมไม่บาดเจ็บ เพียงแค่วิ่งจนหมดแรง
แต่ทว่าสภาพเช่นนี้ก็ดำเนินไปได้ไม่ถึงเดือนก็เริ่มเปลี่ยนไป เถียนต้าเป่าไม่ได้หมดแรงจนถูกลูกหมาป่าลากกลับมาอีก แต่มองไกลๆ เห็นวิ่งกลับมากับลูกหมาป่า วิ่งหอบแฮกตามลูกหมาป่ามาติดๆ มาถึงพร้อมกับลูกหมาป่า
ความสำเร็จของเถียนต้าเป่าเป็นเรื่องน่ายินดีและทุกคนเห็นผลชัด
เขามีโครงสร้างร่างกายที่ดี หลินซือเย่ามองออกนานแล้ว นี่เป็นสาเหตุที่รับเขาไว้เป็นศิษย์ หากไม่มีโครงร่างฝึกยุทธ์ จะพยายามเช่นไร จะขยันเช่นไร ก็เป็นได้แค่ร่างกายที่แข็งแรงกำยำเท่านั้น ไม่อาจประสบความสำเร็จเป็นจอมยุทธ์อย่างที่หวังไว้
ส่วนสาเหตุหลักนั้น แน่นอนก็เพราะต้องการให้มีคนปกป้องนางเพิ่มมากขึ้นอีกคน ในการรับรู้ของหลินซือเย่า นอกจากซูสุ่ยเลี่ยนแล้ว แต่ไรมาเขาไม่เคยทำการค้าขาดทุน
เถียนต้าเป่าคิดเรียนวิชาพลังฝ่าเท้าลมกรดเดินทางไกลพันลี้ เขาสอน คิดเรียนกระบวนเพลงกระบี่เสวียนเทียนอันงดงามเขาก็สอน ขอเพียงเถียนต้าเป่าคิดเรียน เขาล้วนทุ่มเทสอน แต่ว่าวันหน้าหากนางต้องการความปลอดภัยใดก็ตาม ศิษย์ต้องปกป้องอาจารย์หญิงด้วยชีวิต นี่คือเงื่อนไขแลกเปลี่ยนหนึ่งเดียวที่เขาเอ่ยออกไป
……
ยามนี้ เป็นฤดูเก็บเกี่ยวที่ปีหนึ่งมีเพียงหนึ่งครั้งของเมืองฝานฮัว และก็เป็นเวลาที่ชาวนาทั้งหลายต่างรอคอยให้มาถึง
ผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟาไปหาหลินซือเย่า
สาเหตุก็ไม่มีอะไร ก็แค่เก็บเกี่ยวปีนี้ ที่นาสองหมู่และบ้านเป็นของหลินซือเย่าสองสามีภรรยา แต่ทว่า พอเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวโพด ข้าวเกาเหลียง ถั่วเหลืองเสร็จ ก็มีเศษฟางอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ต้องการรอจัดการต่อ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้าวสาลีหน้าหนาวและผักหน้าหนาวจะได้เตรียมลงปลูกได้
หวังเกิงฟารู้ว่าหลินซือเย่ารู้ยุทธ์ ทำงานเพาะปลูกย่อมไม่ลำบาก ดังนั้นก็หวังว่าหลินซือเย่าจะช่วยพวกเขาเก็บเกี่ยว แน่นอนเขาสองสามีภรรยาก็ย่อมมาช่วยจัดการอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ต้องการให้สะอาด และสัญญาว่าจะมอบข้าวเปลือกให้หลินซือเย่าห้าร้อยชั่ง รวมทั้งข้าวโพดอีกหนึ่งร้อยชั่ง
หลินซือเย่าไม่ต่อรองอะไร รับปากอย่างยินดี
หากไม่ใช่เพราะหวังเกิงฟาเสนอให้ข้าวเปลือกแลกเปลี่ยน แต่เพราะเขากำลังคิดจะหาคนมาชี้แนะเรื่องการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้
ใช่ หลินซือเย่าไม่รู้เรื่องเพาะปลูก
ให้ผู้ชายที่มีอาชีพนักฆ่ามาสิบกว่าปี ไม่ต้องเรียนรู้แล้วให้ลงพื้นที่เพาะปลูกเลย คือความหวังลมแล้งโดยแท้
เขาไม่รู้ ดังนั้นเขาก็ย่อมตกลงช่วยงานเก็บเกี่ยวครั้งนี้อย่างยินดี ไม่เพียงตอบรับงานของผู้ใหญ่บ้าน ยังไปอาสาบ้านเหลาและบ้านเถียนด้วยตนเอง ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อให้คุ้นเคยกับการเก็บเกี่ยวและคุ้นเคยกับวิธีการทำเพาะปลูกหลากหลายก็เท่านั้น
สำหรับเรื่องการเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิปีหน้า บ้านผู้ใหญ่บ้าน บ้านเหลา และบ้านเถียนที่ได้รับน้ำใจจากเขาไป ไหนเลยจะดูดายไม่ช่วยเหลือ ย่อมต้องอาสามาชี้แนะการทำงานแน่นอน
ดังนั้นหลินซือเย่าย่อมไม่ใช่คนที่ทำการค้าขาดทุน นักฆ่าบางทีคิดกำไรได้แคล่วคล่องว่องไวกว่าพ่อค้าเสียอีก
……
ซูสุ่ยเลี่ยนตั้งใจเย็บเสื้อผ้าและผ้าห่มหน้าหนาว เตรียมไว้สำหรับหน้าหนาวนี้อย่างเต็มที่
เสื้อผ้าหน้าหนาวของสองคน นางใช้รูปแบบชุดกระดุมเรียงแถวด้านหน้าตัวเสื้อที่ดัดแปลงมาจากชาวเมืองซูโจวที่กำลังนิยม ไม่ใช่เสื้อชุดกระดุมแนวเอียงแบบชาวต้าหุ้ยทั่วไป
ชุดหน้าหนาวที่ยาวถึงหัวเข่า เอวกว้างแขนสอบ มีกระดุมแปดเม็ดเรียงเป็นแถว เพื่อให้สะดวกในการซัก ดอกฝ้ายขาวที่ยัดไว้ด้านในยังถอดออกได้ด้วย
ซูสุ่ยเลี่ยนยังปักดอกชบาสีฟ้าสว่างไว้บนเสื้อชุดเทาเข้มของหลินซือเย่า นี่เป็นดอกไม้ที่หลินซือเย่าเลือกจากสิบชนิดที่นางปัก และเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่นางชอบที่สุด ดอกชบาบานไม่ฉูดฉาด ฝีเข็มไม่ซับซ้อน ดูไม่อวดอ้างแต่สุขุมและอบอุ่น
นางแปลกใจมากที่หลินซือเย่าเลือกดอกนี้ ไม่เลือกไผ่เขียว ดอกกล้วยไม้ป่า ดอกเหมยหรือต้นสนที่เย็นเยียบพวกนั้น…
พอไปไล่ถามเหตุผลเขา เขากลับยิ้มละมุนที่ทำให้นางถึงกับอ้าปากค้าง อึ้งตะลึงอยู่กับที่ ลักยิ้มสองแก้มของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เสื้อผ้าหน้าหนาวซูสุ่ยเลี่ยน หลินซือเย่าเป็นคนเลือกผ้าฝ้ายหนาสีแดงดอกอิงเถาให้นาง ปักดอกกุหลาบป่ากลีบซ้อนสีชมพูเข้มพุ่มหนึ่ง ดอกกุหลาบป่าสีชมพูเข้มที่สดใสตัดกับสีของพุ่มไม้เขียวเข้มที่สาบเสื้อ ยิ่งทำให้ดูงามหรูสูงค่า
นี่เป็นงานปักที่นางชอบแต่ไม่กล้าทำตามอำเภอใจ กุหลาบป่าในสายตานายท่านใหญ่ตระกูลซูไม่อาจเป็นดอกไม้ที่นำออกมาแสดงเป็นเกียรติได้
แต่ไรมาร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วต้องเป็นต้นไม้ดอกไม้ที่สง่างามและสูงส่ง อย่างเช่นพวกดอกโบตั๋น ดอกฝูหรง หรือไม่ก็พวกต้นสน หรือต้นเหมยในฤดูหนาว
นางเป็นคนชอบกุหลาบป่าและพวกเถาดอกจื่อเถิงที่ให้ดอกสีม่วงเป็นพวงอย่างมาก แต่นายท่านใหญ่ซูกำชับแล้วกำชับอีกว่า ไม่ให้นางเสียเวลาปักดอกไม้พวกนี้ เพราะในรายการแข่งขันปักผ้านานาชาตินั้นไม่ได้ใช้ดอกไม้พวกนี้
ตอนนี้นางนำดอกไม้พวกนี้มาปักไว้บนเสื้อผ้า เบาะนั่งและผ้าปูโต๊ะได้อย่างเปิดเผย จะไม่มีใครมาตำหนินางว่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว
ดังนั้นพอปักเย็บเสื้อหน้าหนาวสองชุดเสร็จ นางก็เริ่มปักผ้าปูโต๊ะดอกจื่อเถิงม่วงอีกผืนเพื่อแสดงถึงความหลงใหลในดอกจื่อเถิงของนาง
จากนั้นก็เริ่มลงมือเย็บผ้าห่มหน้าหนาวผืนหนา
ผ้าปูเตียงสองชุด ผ้าห่มสองชุด
ผ้าห่มเป็นผ้าต่วนสีฟ้าน้ำทะเลสาบและสีเหลือง
ผ้าห่มสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลสาบปักดอกบัวสีแดงและใบบัวสีเขียว ราวกับท่วงทำนองพัดปลิวไหวอยู่ในผืนทะเลสาบสีฟ้า ผ้าห่มสีเหลืองปัก ‘กิ่งทองใบหยก’ เจ็ดสี แดงเข้ม แสด เหลืองสว่าง ชมพู ขาวหยก ม่วงอ่อน เขียวกลีบบัว ก้านใหญ่น้อยยังมีดอกโบตั๋นสูงส่งเจ็ดดอกที่ปลายก้าน
เย็บผ้าห่มเสร็จ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวในเมืองฝานฮัวแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านเก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้ว หวังเกิงฟาให้เถียนต้าเป่าเอารถเข็นสองล้อมาไปลากข้าวเปลือกห้าร้อยชั่งกับข้าวโพดหนึ่งร้อยชั่งที่ตกลงกันไว้กลับมา จะได้อาศัยจังหวะที่อากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงแสนสดใสสองสามวันนี้ไปตากบนเสื่อที่หลินซือเย่าถักกับมือวางปูไว้บนพื้นหญ้าริมท่าน้ำ
เจ็ดวันต่อมา ข้าวเปลือกก็แห้ง ข้าวโพดก็เปลือกแห้ง เห็นชัดว่าตากแดดได้พอควรแล้ว
จากนั้นสองสามวัน หลินซือเย่าทำงานครัวเสร็จ ให้เถียนต้าเป่าไปฝึกวิชาพลังฝ่าเท้าลมกรดเสวียนอี๋ที่ลานตอไม้ริมแม่น้ำ ตนเองก็ไปยุ่งกับการนำข้าวลงตำในครกหินใหญ่ที่เพิ่งให้ช่างหินทำมาให้ ใช้ไม้ตำให้เปลือกแตกออกก่อนจะนำข้าวเปลือกที่ตำแล้วไปฝัดในกระจาด
คนหนึ่งเย็บปักผ้าในห้องปักผ้า อีกคนตำข้าวผัดข้าวอยู่ริมท่าน้ำ
ข้าวห้าร้อยชั่งตากแห้ง ฝัดเปลือกออกสองรอบก็เก็บเป็นข้าวสารร้อยหกสิบชั่ง ที่เหลือหลินซือเย่าแบ่งออกเป็นสามกอง สามสิบชั่งบดเป็นแป้ง สามสิบชั่งเตรียมไว้ทำแป้งก้อนเหนียนเกา[1] ที่เหลืออีกร้อยกว่าชั่งเก็บสะสมไว้ในตู้เก็บข้าวสาร รวมกับแป้งอื่นๆ คิดว่าน่าจะพ้นไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าโดยไม่มีปัญหา
ข้าวโพดที่ลอกเปลือกหมดแล้ว ก็มีเมล็ดข้าวโพดหลุดๆ แค่หกสิบชั่งรวมกับข้าวสารสามสิบชั่ง ถูกหลินซือเย่าส่งไปยังโรงโม่ตระกูลเหวินที่เป็นร้านโม่แป้งร้านเดียวในเมืองฝานฮัว โม่เป็นแป้งข้าวโพด
เช่นนี้หน้าหนาวนี้ไปถึงครึ่งปีหน้า พวกเขาก็ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องข้าว เสื้อผ้าไว้สวมอุ่นหน้าหนาวก็เตรียมได้เพียงพอสมควรแล้วเช่นกัน
อ้อ ใช่แล้ว พวกหนังสัตว์ต่างๆ ที่ก่อนหน้าหลินซือเย่าล้างตากแห้งใช้สุราราดไปหลายรอบก่อนเก็บไว้ในตู้ ถูกซูสุ่ยเลี่ยนเอามาจัดการใช้ประโยชน์หมดแล้ว
แบ่งตัดเป็นเสื้อกั๊กสองตัว อุปกรณ์คลุมเข่าสองคู่ หมวกหนึ่งใบ ปลอกแขนเสื้อคู่หนึ่ง หมวกเป็นของหลินซือเย่า ปลอกแขนเสื้อเป็นของซูสุ่ยเลี่ยน ที่เหลือคนละชุด
แม้ว่ากำลังอยู่ในกระบวนการปักเย็บ แต่หลินซือเย่าก็พยายามบอกว่าเขาไม่ต้องการใช้ แต่ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงวัดขนาดตัวเขาตัดอยู่ดี ยอมเก็บไว้ไม่ใช้ ยอมเก็บไว้ในก้นหีบ ดีกว่าให้พอหน้าหนาวมาถึงแล้วทนหนาวไม่ไหวไหม
คุณหนูใหญ่ตระกูลซูอย่างซูสุ่ยเลี่ยนคิดไปอย่างลืมนึกไปว่ายอดฝีมือในยุทธภพเติบโตมาในแผ่นดินต้าหุ้ยอย่างหลินซือเย่านั้นไม่เหมือนนางที่ยังไม่เคยผ่านหน้าหนาวพื้นน้ำแข็งหนาสามฉื่อ[2]อันหนาวเหน็บมาก่อน
ส่วนอาหารการกินในชีวิตประจำวันนั้น พวกผักและผักปรุงรสตอนนี้ลงแปลงปลูกในแปลงลานบ้านทางใต้ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่นาสองหมู่กับที่ดินยกแปลงอีกสองสามแห่ง นอกจากข้าวสาลีปลูกหน้าหนาวแล้ว ยังบุกเบิกแปลงใหม่ไว้ปลูกผักกิน เช่นพวกผักปวยเล้ง ผักกาดขาว มันฝรั่ง และพวกผักที่เติบโตง่ายในหน้าหนาว ทุกอย่างต่างลงดินปลูกไปหมดแล้ว
อาหารพวกเนื้อสัตว์ หลินซือเย่าหาเวลาว่างพาเสี่ยวฉุนไปกวาดเก็บบนเขาต้าซื่อมาอีกรอบ ล่าสัตว์ที่ยังไม่ทันเข้าจำศีลในถ้ำตอนหน้าวมาได้อีกไม่น้อย พวกยังเป็นๆ ก็เลี้ยงไว้ตรงคอกที่สร้างใหม่ข้างเล้าเป็ดเล้าไก่ พวกที่ตายแล้วหลินซือเย่าก็ลอกหนังออกล้างสะอาดเอาไปหมักเกลือบ้าง ตากแห้งบ้าง ยังนำบางส่วนไปทำเป็นน้ำแดงไม่ก็ตุ๋นน้ำแกงอะไรพวกนั้น แยกเป็นน้ำซุปสองชามใหญ่ส่งให้บ้านเหลากับบ้านเถียนลองชิม เพื่อแสดงความขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือกันในยามปกติ แน่นอนว่าอาหารสามมื้อของลูกหมาป่าสองตัวย่อมอุดมสมบูรณ์ในทุกวัน พวกมันดีใจจนคิดแต่จะขึ้นไปล่าบนเขาต้าซื่ออีก สุดท้ายถูกสายตาเยียบเย็นของหลินซือเย่ากำราบ ยอมกลับเข้าบ้านไม้หลังน้อยของพวกมันไปนอนรับแสงแดดอุ่นในต้นฤดูหนาวที่สาดส่องมา
มีวันหนึ่ง ตอนเถียนต้าเป่ากำลังยืนพักอยู่ที่ลานตอไม้ฝึกยุทธ์ ก็พบว่าในลำธารสายเล็กตรงหน้าใสแจ๋วมองเห็นก้นลำธาร ถึงกับมีปลาหลี่ ปลาจี้ และปลาชิงน้อย[3]อะไรพวกนี้ว่ายไปว่ายมา
ลำธารคดเคี้ยวสายน้อยนี้ ทางตะวันตกสุดมีน้ำไหลมาจากภูเขา ไหลผ่านบ้านซูสุ่ยเลี่ยนเป็นบ้านแรก ปลาในน้ำย่อมไม่น้อย
ดังนั้นเถียนต้าเป่ากลับบ้านไปกินอาหารกลางวันแล้วก็เลยนำแหจับปลาขนาดใหญ่มาด้วย
ท่ามกลางประกายสายตามองตามอย่างวาดหวังของซูสุ่ยเลี่ยนและลูกหมาป่าสองตัว หลินซือเย่าได้แต่คว้าแหลงไปจับปลาในลำธารอย่างเสียไม่ได้
แค่คิดก็รู้ ตอนแหแรกที่นำขึ้นมา ปลากุ้งปูดิ้นไปมาจนทำเอาคนรอบๆ ตกใจอึ้งไปก่อนจะได้สติตื่นเต้นดีใจกันทันที
นี่ไม่เพียงหมายความว่าอาหารค่ำคืนนี้จะมีอาหารเพิ่มมาให้อุดมสมบูรณ์กัน ยังหมายความว่าหน้าหนาวที่จะมาถึงนี้ นอกจากเนื้อสัตว์ป่าสาบๆ แล้ว พวกเขายังมีอาหารเนื้อๆ อีกประเภท ก็คือปลากุ้งปูพวกนี้นี่เอง
จับอยู่ค่อนวัน ปลากุ้งปูที่จับมาได้ก็เต็มภาชนะบรรจุทุกอย่างที่สองครอบครัวจะหามาได้
ซูสุ่ยเลี่ยนให้ต้าเป่าเลือกไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ใส่กะละมังไม้ให้บ้านเหลาไป ที่เหลือก็เป็นของบ้านตนเองแล้ว หลังจากเก็บปลากุ้งปูสดใหม่เอาไว้กินสองสามวันแล้ว ที่เหลือก็ถูกหลินซือเย่าเอาไปแช่น้ำเกลือหมด อีกสองวันค่อยนำขึ้นมา เอาปลากุ้งที่ดองเกลือแล้วแต่ละตัวผูกร้อยด้วยเชือกหนาให้เป็นพวงแขวนไว้บนราวตากเสื้อตากแดดสามวัน จากนั้นก็เอาไปผึ่งไว้ในห้องครัวไม่ต้องโดนแดด
เช่นนี้อาหารหน้าหนาวก็มากขึ้นอีกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ
——————————–
[1] ก้อนแป้งแบบแป้งต๊อกเกาหลี เอาไว้ผัดหรือต้มกินได้
[2] ราวสามฟุต
[3] ตระกูลปลากระบอก ปลาทอง และตะเพียนตามลำดับ