วันที่สิบเดือนสิบ ท้องฟ้าแจ่มใส

วันนี้เป็นวันที่มีแสงแดดอบอุ่นวันแรกหลังจากฝนตกพรำๆ ติดกันมาหลายวัน เป็นวันเกิดหลินซือเย่า ซูสุ่ยเลี่ยนที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดีใจมากอยู่พักใหญ่

“ดีใจขนาดนี้?” หลินซือเย่ายิ้มกอดนางจากด้านหลัง กดคางเข้าถูไถแผ่นหลังและลำคอนุ่มลื่นของนาง

“แน่นอน วันนี้เป็นวันเกิดเจ้า เมื่อวานข้ายังอธิษฐานอยู่เลย วันนี้แสงแดดดีจริงด้วย” ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาหยอกเย้าจนหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด

“วันเกิดไม่เกิดเกี่ยวอะไร” สีหน้าเขาไม่เข้าใจ

ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นเด็กกำพร้าในอารามเก่าๆ แห่งหนึ่ง อารามอวิ๋นหลัวที่พักอาศัยภายในชื่ออาเย่ามาถึงแปดปี พอเจ้าอาวาสที่อยู่ด้วยกันกับเขาสองคนมาจากไป เขาก็ปิดอารามลงจากเขา ตอนที่เคยลงเขามากับเจ้าอาวาสหลายครั้ง ไม่ไปบิณฑบาตก็ไปซื้อหาของ ยังคิดว่าใต้หล้าก็แค่คนเยอะของเยอะ ไม่รู้ว่าหากคิดจะมีชีวิตรอดต่อไปนั้นยากเพียงใด เขาถูกคนงานของเจ้าของที่ดินทำร้าย ถูกเถ้าแก่ร้านเป็ดย่างด่า ขโมยของ วิ่งราวของก็เคย เป็นขอทานก็เคย ร่อนเร่ไปจนถึงเมืองกันหมิง ไปทำงานร้านน้ำชาขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ตั้งแต่อายุสิบขวบ เดิมคิดว่าชีวิตนี้ก็คงเป็นเช่นนี้แล้ว

ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าผู้บงการสรรพชีวิตกลับเล่นตลกกับเขา

ปีต่อมามีวันหนึ่งหลังยกน้ำชาไปให้แขกแล้ว ก็ได้ช่วยชิงถุงเงินของแขกที่ถูกหัวขโมยล้วงไปคืนมา และยังถูกประมุขหอเฟิงเหยาสำนักนักฆ่าที่ถูกจัดอยู่ในสามอันดับแรกแห่งยุทธภพแขกพบว่ามีโครงสร้างร่างกายแปลกไม่เหมือนใครจึงรับเป็นศิษย์ ส่งเขาขึ้นเขาเสวียนอู่ไปฝากตัวเป็นศิษย์นักพรตเสวียนอู่ สามปีต่อมาก็เรียนสำเร็จวิชากลับมา จากนั้นมา คำว่า ซือ ก็มาแทนชื่ออาเย่า และคำว่า หลิง มาจากอักษรประจำรุ่นอายุของเขาในหอเฟิงเหยา แฝงความหมายถึงแม่ทัพนำทัพ

นักฆ่า ‘ซือหลิง’ เพียงหกปีจากที่เข้าเป็นนักฆ่าหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียง ก็ค่อยๆ ก้าวสู่สามอันดับแรกในยุทธภพ เป็น ‘เทพสังหาร’ เหรียญทองแห่งหอเฟิงเหยา เขาคิดว่าอีกครึ่งชีวิตของเขาก็คงเป็นเช่นนี้

วันที่สิบเดือนสิบเป็นวันเกิดเขา เขารู้เพราะเจ้าอาวาสอารามอวิ๋นหลัวบอกกับเขาด้วยตนเอง ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าอาวาสตั้งเอาเองไหม แต่ก็ได้ต้มบะหมี่ไข่อวยพรวันเกิดให้เขาในวันนั้น ต่อมาเมื่อมาถึงหอเฟิงเหยา ทุกวันที่สิบเดือนสิบ ขอเพียงเขาไม่มีภารกิจ พ่อครัวหอเฟิงเหยาก็จะมอบบะหมี่วันเกิดให้แก่เขาชามหนึ่ง ปีแล้วปีเล่าไม่เคยขาดสักปี เขารู้ว่านี่เป็นความใส่ใจจากอดีตประมุขหอ

จนมาถึงเมื่อปีครึ่งก่อน อดีตประมุขหอจากไป หอเฟิงเหยาเปลี่ยนนายใหม่ เฟิงชิงหยาแม้ว่าเป็นลูกชายคนเดียวของอดีตประมุข แต่กลับระแวงซือหลิงที่โดดเด่นและมีวรยุทธ์สูงเกินนาย จึงกังวลว่าตำแหน่งประมุขที่ตนเองขึ้นดำรงตำแหน่งมานี้จะไม่ปลอดภัย

ดังนั้นด้วยสถานะประมุข เฟิงชิงหยาจึงเชิญซือหลิงมาหารือที่หอจวี้เฟิงไถ

สุราสามจอก แต่ละจอกถึงชีวิต

เขาไม่คิดเลยว่าเฟิงชิงหยาที่ปกตินับถือเป็นพี่เป็นน้องกับตนจะถึงกับวางยาพิษสองชนิดที่ไร้สีไร้กลิ่นไว้ในสุรา พิษกระดูกอ่อนพอเข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้กระดูกทั่วร่างอ่อนนิ่มภายในครึ่งชั่วยาม ส่วนพิษพิราบแดงนี้จู่โจมหัวใจ ทำให้ร้อนดังไฟแผดเผาจนตาย เป็นยาพิษสุดยอดของหอเฟิงเหยา

พอสุราเข้าปากซือหลิงก็รู้สึกผิดปกติ พิษทั้งสองก็ซาบซึมไปทางลำคอแล้ว เขารีบสกัดจุด แสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไรก่อนขอตัวกลับ พอออกจากหอจวี้เฟิงไถเค้นพิษออกมาได้ส่วนหนึ่ง ก็รีบหลบหนีออกจากหอเฟิงเหยาในคืนนั้นทันที เฟิงชิงหยายามนี้ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มีคำสั่งลับสังหารสิบคำสั่งลงไป ให้นักฆ่าหอเฟิงเหยารุ่นเดียวกับเขา[1]สังหารเทพสังหารซือหลิงทันที เหตุผลคือเพื่อแก้แค้นให้อดีตประมุข

จากนั้นเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนนี้ เทพสังหารซือหลิงตายที่เขาต้าซื่อ ตอนนี้เขาเป็นหลินซือเย่า เป็นเพียงชาวนาที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหอเฟิงเหยา

ชีวิตยากจะคาดเดาไม่ใช่หรือ หลินซือเย่าคิดเช่นนี้พลางส่ายหน้าอย่างเจ็บปวดใจ

หนึ่งปีผ่านไป เขาผละจากอาชีพที่เป็นดังต้นไม้เงินทองของหอเฟิงเหยา กลายเป็นผู้ทรยศที่บรรดาทุกคนในหอเฟิงเหยาไล่ล่าสังหาร เป็นมือสังหารที่ฆ่าอดีตประมุข เพียงแต่อดีตประมุขตอนยังมีชีวิตอยู่มีบุญคุณกับเขาดังขุนเขา เป็นดังบิดาเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปล่อยเฟิงชิงหยาไป แต่ย่อมไม่ยอมให้มีครั้งหน้าอีกเด็ดขาด

……

“อาเย่า ไม่ให้ต้าเป่าตามไปด้วยจริงหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมองด้านหลังที่ไม่ไกลนัก มีคนกำลังก้าวตามนางกับหลินซือเย่ามา ก็คือเถียนต้าเป่าท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ นางหันหน้าไปถามชายข้างกายให้แน่ใจ

“ไม่ได้บอกว่าจะอวยพรวันเกิดให้ข้าหรือ” หลินซือเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ใช่ สี่ชุ่ยบอกว่าบะหมี่วันเกิดร้านอู่ชิ่นไจมีชื่อมาก” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า

จริงๆ แล้วนางยังคิดทำบะหมี่วันเกิดให้เขาด้วย กะว่าพอตื่นลุกจากเตียง หลินซือเย่าพาต้าเป่ากับเสี่ยวฉุนขึ้นเขาไปฝึกพลังภายในแล้ว ก็คิดจะทำให้เขาได้ดีใจอย่างคาดไม่ถึง ปรากฏว่าความดีใจอย่างคาดไม่ถึง กลายเป็นตกใจค้างแทน ก้อนแป้งที่นวดขึ้นมากลายเป็นกองแป้งเละๆ นางทำใจไม่ได้จะนวดแป้งอีกรอบ ผู้ใดจะรู้ว่าแป้งสาลีที่เหลือในบ้านมีแค่นี้ โอ บะหมี่วันเกิดทำไม่สำเร็จแล้ว ได้แต่ทำเป็นน้ำแกงแผ่นแป้งเต็มหม้อไว้เป็นอาหารเช้าของทั้งครอบครัวแทน กินกันจนลูกหมาป่าสองตัวส่งสายตาวิงวอนนาง โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว เจ้านายขอรับ จริงๆ แล้วท่านลงครัวมานับว่าดีใจอย่างคาดไม่ถึงแล้ว

แต่ว่าวันนี้อย่างไรก็เป็นวันเกิดของเขา ซูสุ่ยเลี่ยนดึงดันจะเป็นเพื่อนเขาเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อแป้งสาลี และตัดสินใจว่าจะไปร้านอาหารขึ้นชื่อ ‘อู่ชิ่นไจ’ ที่สี่ชุ่ยเอาแต่ชมว่าไม่ขาดปาก

“เช่นนั้นก็ได้แล้วนี่ ยังมีปัญหาอะไรอีก” หลินซือเย่ากวาดตามองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง หรือว่าไม่รู้ว่ามีส่วนเกินห้อยตามมาเป็นเรื่องน่ารำคาญใจหรือ กินข้าวก็มีปากเพิ่ม เดินทางก็มีขาเพิ่ม ประเด็นสำคัญก็คือเขาคิดจะแอบขโมยใกล้ชิดนางบ้างในบางครั้ง ยังต้องมีดวงตาดำคอยจับจ้องพวกเขาไม่ไปไหนหรือ สรุปว่าเขาจะไม่ยอมให้ระหว่างสองคนออกไปเดินเล่นกันต้องมีลูกศิษย์ห้อยตามไปให้เสียเรื่อง รับเถียนต้าเป่ามาเป็นศิษย์ เขาก็ต้องปวดหัวมาหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าเรื่องที่ปวดหัวส่วนใหญ่ก็มักเป็นตอนที่เขากำลังเอาเปรียบภรรยาตัวน้อยแสนขี้อายของเขาอยู่แล้วต้าเป่าโผล่มานั่นเอง

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ได้แต่โบกไม้โบกมือให้เถียนต้าเป่าที่ตามมาอยู่ด้านหลังอย่างเสียไม่ได้ “ต้าเป่าเด็กดี กลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวอาจารย์หญิงกลับมาจะเอาของอร่อยมาฝากเจ้า”

หลินซือเย่าได้ยินก็เหลือบมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม โตกว่าเถียนต้าเป่าก็แค่สามปี พูดจาราวกับเป็นญาติอาวุโสของอีกฝ่ายจริงๆ อย่างนั้นแหละ

หากไม่ใช่ว่าเถียนต้าเป่าสติปัญญาบกพร่อง อาจารย์อย่างเขาย่อมไม่คิดรับไว้ ศิษย์อายุสิบสอง อาจารย์หญิงอายุสิบห้า เขาไม่อาจวางใจได้จริงๆ ใช่ว่าไม่เชื่อใจซูสุ่ยเลี่ยน แต่ไม่เชื่อใจเถียนต้าเป่าต่างหาก

“กอดให้ดี” มองไปรอบๆ ไร้ผู้คนแล้ว หลินซือเย่าก็โอบเอวนางอุ้มขึ้นกอดแนบอก พร้อมกับบอกให้นางใช้สองมือเกี่ยวรอบคอเขาไว้ แตะปลายเท้าเคลื่อนพลังฝ่าเท้าลมกรด ไม่นานทั้งสองคนก็หายลับไปตรงหน้าเถียนต้าเป่า

“โอ้! อาจารย์หล่อมาก!” เถียนต้าเป่าไหนเลยจะยังคงมีท่าทีน้อยอกน้อยใจแบบพวกผู้หญิง ถูกพลังฝ่าเท้าลมกรดของหลินซือเย่าดึงดูดความสนใจไปหมดแล้ว ไม่ได้การละ ข้าต้องรีบไปฝึกพลังภายใน เถียนต้าเป่าเม้มปากแอบกำมือแน่น หันไปกวักมือเรียกเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “พวกเจ้า ใครจะไปฝึกกับข้า?” อาจารย์สั่งว่า ไม่ว่าตอนไหนต้องทิ้งตัวหนึ่งไว้เฝ้าบ้าน

ลูกหมาป่าสองตัวเหมือนจะฟังเข้าใจที่เขาพูด พอสบตากันแล้ว เสี่ยวเสวี่ยที่ตัวเล็กกว่าหน่อยก็ต้องตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้ ผู้ใดให้วันนี้เป็นเสี่ยวฉุนที่ต้องติดตามออกไปฝึกฝนกันเล่า ยามนี้ได้แต่เปลี่ยนเป็นมันแทนแล้ว แต่ว่าการขึ้นเขาก็หมายความว่าจะได้ไปล่าอาหารโอชะมากิน มันก็พอทำใจรับได้อยู่

ดังนั้น หนึ่งคน หนึ่งหมาป่าก็ทะยานไปทางเชิงเขาต้าซื่ออย่างรวดเร็ว เงาร่างดำค่อยๆ หายลับไปเป็นแค่จุดดำในสายตา…

เสี่ยวฉุนที่อยู่เฝ้าบ้านวันนี้ มองเห็นพวกเขาลับสายตาก็หันหลังกลับมานอนหมอบอยู่หน้าประตู หรี่ตาลงเริ่มสัปหงก รับความอบอุ่นแห่งแสนตะวันยามบ่ายในปลายฤดูใบไม้ร่วงที่หาได้ยากยิ่ง

……

“อาเย่า นอกจากบะหมี่วันเกิด เจ้ายังอยากกินอะไรอีก” พอเข้ามาในห้องส่วนตัวชั้นสองร้านอู่ชิ่นไจ ซูสุ่ยเลี่ยนถือรายการอาหารไว้พลางยิ้มถามหลินซือเย่า

“ตามใจเจ้า” หลินซือเย่ารินชาร้อนที่คนงานเพิ่งยกมาให้นางแก้วหนึ่ง จากนั้นค่อยรินให้ตนเอง

แต่ไรมาเขาไม่เลือกกิน ไม่ใช่เพราะสถานะนักฆ่า แต่เพราะเป็นนิสัยที่ฝึกมาแปดปีตอนอยู่อารามอวิ๋นหลัว พอลงเขามาสองปียังถูกสภาพชีวิตบีบคั้นให้เป็น ได้แต่หิ้วท้องหิว แต่ไรมาเขาแทบไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่เข้าปากคืออะไร

ค่าตอบแทนจากหอเฟิงเหยาของเขานับว่าดีมากที่สุด เก้าปีมาสะสมเงินทองได้ไม่น้อย มากพอที่ซื้อเมืองฝานลั่วนี่ได้เหลือๆ แต่ว่าส่วนหนึ่งในนี้ถูกเขาส่งขึ้นเขาไปซ่อมวัดอวิ๋นหลัวที่เขาอาศัยมาแต่เด็ก หาคนมาดูแลต่อ จากนั้นเงินที่เหลือยังถูกเขานำไปเก็บไว้ที่ลับ กะว่าไว้ใช้ยามเร้นกายจากยุทธภพในอีกสองสามปี แต่ทว่ามันอยู่ในอาณาเขตหอเฟิงเหยา ดังนั้นตอนนี้เขาเคลื่อนย้ายมันไม่ได้ และไม่คิดไปเคลื่อนย้าย

“แต่ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเจ้านะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนเท้าคางมือหนึ่ง เปิดรายการอาหารอีกมือหนึ่ง ปากก็อดยู่เล็กน้อยไม่ได้

“เจ้าชอบกินอะไร ข้าก็ชอบด้วย” หลินซือเย่าน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกปลอบนาง แต่พอกล่าวออกไป เขากลับรู้สึกเขินเอง สีแดงระเรื่อกำลังลามถึงใบหูก็ถูกเขาใช้พลังภายในขจัดทิ้ง อืม เมื่อไรกันนะที่นักฆ่าพูดจาหวานล้ำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่สะดุด?

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยิน สองแก้มก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ในใจหวานล้ำราวกับลิ้มรสน้ำผึ้งหวาน

ในยามนี้เอง เสี่ยวเอ้อร์ก็มาเคาะประตูรับรายการอาหาร

“พี่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเราอยากลองอาหารขึ้นชื่อร้านเจ้า แล้วก็ขอบะหมี่วันเกิดอีกหนึ่ง” ซูสุ่ยเลี่ยนพลิกอ่านรายการไปสองสามรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจสั่งอาหารขึ้นชื่อของอู่ชิ่นไจรวมหกอย่าง มีหนังเป็ดกรอบย่างต้นหอม ไก่อบร่ำรวย ปลากุ้ยนึ่ง กุ้งผัดถั่วเหอเถา ผัดแตงไฟแดง และน้ำแกงมรกต

“ได้เล้ย…สั่งอาหารขึ้นชื่อเราหกจาน ร้านเรามีอาหารกำนัลอวยพรวันเกิดมอบให้ ท่านทั้งสองฉลองวันเกิดกระมัง” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะไปพลางจดจำรายการอาหารที่นางสั่ง

“ใช่แล้ว พี่เสี่ยวเอ้อร์ วันนี้เป็นวันเกิดสามีข้า” ซูสุ่ยเลี่ยนปิดรายการลงยิ้มบางตอบ

“อย่างนั้นข้าน้อยขออวยพรให้นายท่านมีความสุขอายุยืน! บัดเดี๋ยวอาหารก็มาแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มหันไปประสานมือให้หลินซือเย่า ก่อนจะดึงม่านปิดลง ถอยออกจากห้องรับรองไป

สองคนจิบชาไปเงียบๆ คุยกันบ้างสองสามคำ เพราะห้องรับรองที่พวกเขาอยู่ตอนนี้อยู่ริมถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองฝานลั่ว มองลงไปย่อมได้ชมทัศนียภาพคึกคักบนท้องถนน

”อาเย่า กินเสร็จพวกเราไปเดินเล่นริมทะเลสาบกันนะ ก่อนกลับบ้านค่อยไปเดินกัน” อากาศดีเช่นนี้ ไม่ไปเดินเล่นย่อมน่าเสียดาย

“ได้” หลินซือเย่าพยักหน้าตกลง

“เอ๋? นั่นใช่แม่นางครั้งก่อนไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ มองไปยังลู่หว่านเอ๋อร์ที่เงยหน้ามองมาจากหน้าประตูร้านเครื่องประดับที่หัวถนน นางยังคงร่างบางอรชร ชายที่เดินผ่านนางไปล้วนต้องเหลียวหลังกลับมามองอีกรอบ

“ไม่รู้จัก” หลินซือเย่าไม่หันไปมองแม้แต่น้อย เอาแต่รินชาให้นางและเขาจนเต็มแก้ว

“เอ๋? เจ้าไม่รู้จัก? นั่น…คือวันนั้น…” หญิงที่ไล่ตามมาเผยความในใจกับเจ้าอย่างไร เห็นหลินซือเย่าเงยหน้ากวาดตามองด้วยสายตานิ่งเรียบ ซูสุ่ยเลี่ยนได้แต่กลืนเอาวาจาหลังจากนั้นกลับคืนลงไป เอาเถอะ ที่จริงนางก็ไม่อยากให้เขารู้จักอีกฝ่ายเหมือนกัน

“อาหารมาแล้ว” เสียงตะโกนดังมาพร้อมกับม่านประตูห้องรับรองยกสูง เสี่ยวเอ้อร์ที่มาต้อนรับพวกเขาเมื่อครู่ยกอาหารเข้ามา

อาหารหกอย่างวางลงเต็มโต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมตรงหน้าที่มีคนสองคนนั่งอยู่

“ท่านทั้งสอง นี่คืออาหารกำนัลที่ร้านเราเพิ่มให้กับท่านเจ้าของวันเกิด ทั้งสองเชิญ” เสี่ยวเอ้อร์พูดไปก็มอบตีนไก่ร่ำสุราจานเล็กให้ ก่อนจะยิ้มออกจากห้องไป

“นี่คืออาหารกำนัลอวยพรวันเกิดหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มคีบตีนไก่ขึ้นมาข้างหนึ่ง วางลงในชามหลินซือเย่าอย่างนึกขำ “มา ท่านเจ้าของวันเกิด อวยพรให้ท่านมีความสุขในวันเกิด!”

หลินซือเย่าเลิกคิ้วเล็กน้อย มองนางเหมือนจะคิดอันใดอยู่ รู้สึกว่านางตอนนี้ไม่เหมือนปกติ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กัดตีนไก่ที่นางคีบใส่ชามเขาทันที กลิ่นสุราแรงเช่นนี้ นางกินสองขาคงเมา?

“อร่อยไหม?” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขากัดไปคำหนึ่งเคี้ยวหยับๆ ก็มองเขาตาโตพลางถามอย่างอยากรู้

นางไม่เคยกินตีนไก่ร่ำสุรา แม้ว่าพบเห็นทั่วไปในเมืองซูโจว แต่ว่าแต่ไรมานางไม่มีโอกาสได้ชิม น่าจะบอกว่า ในฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลซู นางไม่อาจทำเสียภาพลักษณ์ตนไปลองอาหารที่ต้องใช้มือแทนตะเกียบหรือมีท่าทางการกินที่ดูไม่สุภาพเช่นนี้ได้

“ไม่อยากลองหรือ” หลินซือเย่าเงยหน้าถาม ชามเปล่าตรงหน้าเขามีอาหารหลากหลายกองอยู่เต็มไปหมด น่องเป็ด น่องไก่ กระเพาะปลา กุ้ง และยังมีบะหมี่วันเกิดเต็มชาม

“วันนี้เจ้าเป็นเจ้าของวันเกิด คิกๆ…รีบกินสิ ไม่พอสั่งใหม่” ซูสุ่ยเลี่ยนคีบอาหารให้เขาเต็มชามแล้ว นางเองก็ตักน้ำแกงมรกตที่มีถั่วกับข้าวโพดขึ้นมาช้อนหนึ่งค่อยๆ ละเมียดกิน

“เจ้ากินมากหน่อย ทั้งตัวไม่มีเนื้อหนังเลย” หลินซือเย่าได้ยินก็เหมือนกับจะขมวดคิ้วไม่พอใจ คีบน่องเป็ดหนังกรอบวางลงในจานนาง

“เหมือนที่เจ้าว่าตรงไหนกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนย่นจมูก แต่ก็มิได้ปฏิเสธความหวังดีของหลินซือเย่า คีบน่องไก่ขึ้นกัดอย่างสุภาพไปคำหนึ่งก็เงยหน้ายิ้มให้หลินซือเย่า จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรออก หนังตากระตุก พรืด หลุดขำออกมา “ข้ารู้แล้วว่าทำไมเจ้าไม่ยอมให้ต้าเป่าตามมาด้วย หากเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องรอให้พวกเราเริ่มกิน อาหารครึ่งโต๊ะคงลงท้องเขาหมดไปแล้ว”

ทุกครั้งที่คิดถึงเถียนต้าเป่าที่หลงใหลในน่องไก่น่องเป็ดแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดขำออกมาไม่ได้

หลินซือเย่าเหลือบมองนาง หรือว่าในสายตานางเขาเป็นแค่ชายที่แย่งอาหารกับเด็กอายุสิบสอง แอบส่ายหน้าคีบเนื้อปลากุ้ยชิ้นโตมาแกะก้างออกวางใส่ชามนาง

“กินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาอย่างซึ้งใจ นางชอบกินปลา แต่ไม่ชำนาญแกะก้าง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงยอมไม่กินดีกว่า

—————————-

[1] วัฒนธรรมจีนจะตั้งชื่อศิษย์รุ่นเดียวกันด้วยอักษรจีนตัวเดียวกันผสมกับอักษรตัวอื่น เช่น ซือหลิง ก็อยู่ในรุ่นอักษรหลิง