ตอนที่ 54 ลู่หว่านเอ๋อร์ยังไม่ยอมแพ้

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ลู่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูร้านเครื่องประดับ ‘ฝูอิ๋งเหมิน’ อยู่เกือบครึ่งชั่วยาม นางมองเห็นชายที่นางไม่อาจลืมลบไปจากใจเดินเข้าไปในร้านอู่ชิ่นไจจึงคิดตามเข้าไป ก็นึกถึงว่าส่งชิงอวี้สาวใช้ประจำตัวไปส่งมอบบทกวีที่หอกวียังไม่กลับมา แต่ไรมานางไม่พกถุงเงิน เพราะปกติมักมีชายหนุ่มหลายคนแย่งกันเลี้ยงอาหารนาง ไม่จำเป็นต้องให้นางพกถุงเงินไว้จ่าย ดังนั้นครั้งนี้ลู่หว่านเอ๋อร์จึงได้แต่ยืนรออยู่หน้าร้านฝูอิ๋งเหมิน สองตาจับจ้องแขกเข้าออกร้านอู่ชิ่นไจตรงหน้า กลัวว่าจะคลาดสายตาจากเขา

ลู่หว่านเอ๋อร์แอบสาบานว่าครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถามชื่อที่อยู่เขาให้ได้ เขาไม่มาหานาง อย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็นนางไปหาเขาแทน แต่ไรมาไม่มีเคยมีผู้ชายทำให้นางคิดถึงมากเช่นนี้มาก่อน

คิดถึงว่านางเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ในเมืองฝานลั่วที่อย่างไรก็เป็นสตรีงามทรงปัญญาผู้เชี่ยวชาญบทกวีทุกแบบ ชายมากมายเท่าไรที่ดีใจเพียงแค่นางเหลือบมอง อยากมีโอกาสได้เดินเที่ยวกับนางสักครั้ง วันๆ เข้าแถวรอกันหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลลู่กันตั้งเท่าไร

แต่ว่าตั้งแต่วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ได้พบชายผู้นั้นมา อาจกล่าวได้ว่าน่าจะเป็นนางที่มองไปก็ต้องตาชายหนุ่มท่าทางยโสวรยุทธ์ไม่ธรรมดาผู้นั้นเอง จากนั้นนางก็เอาแต่เฝ้าคิดถึง ยังได้พบกันโดยบังเอิญริมทางอีกสองครั้ง แม้ครั้งหนึ่งเขาจะไม่สนใจไยดีนาง อีกครั้งเป็นนางเองที่มองเขาอยู่ไกลๆ ไม่ทันได้เข้าไปทัก

แต่ว่าลู่หว่านเอ๋อร์มีความรู้สึกว่า เขาต้องตกหลุมรักนาง ชายเช่นนี้หากไม่ใช่ไม่รัก พอรักแล้วก็ย่อมรักอย่างที่ผู้คนต้องตะลึงทั่วฟ้าท่วมแผ่นดิน นางเชื่อว่าตนเองมีเสน่ห์พอจะทำให้เขาหลงรักได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้ชายที่นาง ลู่หว่านเอ๋อร์ ต้องการ มีเหตุอันใดที่นางจะไม่ได้มา

……

คิดเงินแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ให้พี่เสี่ยวเอ้อร์ห่ออาหารเกือบครึ่งที่ยังกินไม่หมดใส่กระดาษเคลือบน้ำมันกลับ แต่วางไว้ที่โต๊ะเก็บเงินก่อน กะว่าขากลับค่อยแวะมารับ ยังมีเป็ดย่างครึ่งตัว ไก่อบร่ำรวยอีกครึ่งตัว เตรียมเอากลับไปให้เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยเป็นอาหารเย็น ส่วนเถียนต้าเป่า ซูสุ่ยเลี่ยนซื้อไก่ทอดกรอบที่เป็นอาหารกินเล่นรสเลิศให้ เป็นหนึ่งในอาหารนำกลับบ้านอันขึ้นชื่อของร้านอู่ชิ่นไจที่ขายดีมาก น่องไก่กรอบๆ เถียนต้าเป่าน่าจะชอบ

สองคนจูงมือกันก้าวออกจากประตูร้านอู่ชิ่นไจ กะว่าค่อยๆ เดินไปที่ทะเลสาบฝานลั่วย่อยอาหารสักหน่อย

“คุณชาย” พอลู่หว่านเอ๋อร์เห็นหลินซือเย่าก้าวออกมาจากร้านอู่ชิ่นไจก็ยินดีอย่างที่สุด ก้มหน้าก้มหน้าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะปรี่เข้าไปทัก

“คุณชาย ข้าลู่หว่านเอ๋อร์คารวะคุณชาย” ลู่หว่านเอ๋อร์เข้ามารั้งหลินซือเย่าไว้ด้วยท่าทีเขินอาย พลางก้มหน้าลงทักด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

ซูสุ่ยเลี่ยนที่ยืนข้างหลินซือเย่าได้ยินก็อึ้งไป เมื่อครู่ได้เห็นจากห้องรับรองชั้นบนแล้ว เข้าใจแล้วว่าที่แท้ที่ทำให้แม่นางลู่คนงามหาใดเทียมผู้นี้เงยหน้าจับจ้องไม่วางตาถึงกับเป็นหลินซือเย่า

“คุณชาย…” ลู่หว่านเอ๋อร์แอบเหลือบมองด้วยใบหน้าวงคิ้วงามและแววตาประกายเว้าวอนราวกับมีวาจามากมายต้องการพูดกับเขาส่วนตัว

ซูสุ่ยเลี่ยนแอบรู้สึกเจ็บปลาบขึ้นมาในใจอย่างไม่ทราบเหตุผล สาวงามท่าทางเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าไม่ว่าชายใดก็คงชอบกระมัง แอบเหลือบมองหลินซือเย่าข้างๆ เห็นแต่สีหน้าเย็นเยียบของเขา มองไม่ออกถึงอารมณ์ภายในแม้แต่น้อย

พลันถูกเขาโอบเอวเบาๆ หันหลังกลับเดินไปคนละทางกับลู่หว่านเอ๋อร์

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเรียกชื่อเขาเบาๆ อย่างไม่เข้าใจการกระทำของเขา

ลู่หว่านเอ๋อร์อีกทางกลับร้อนใจเรียกขึ้น “คุณชาย วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดได้พบกัน ข้าก็เอาแต่…เอาแต่จดจำคุณชาย…ไม่ทราบว่าขอทราบชื่อคุณชายได้หรือไม่ หว่านเอ๋อร์จะได้ไปเยือนที่บ้านท่านในวันหน้า”

ลู่หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าไม่เห็นซูสุ่ยเลี่ยนที่ยืนจูงมืออยู่ข้างหลินซือเย่า แต่คนเย่อหยิ่งอย่างนาง ย่อมไม่เห็นสตรีแต่งกายเช่นซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าสตรีบอบบางตรงหน้าที่ดูการแต่งกายธรรมดา ท่าทางดูแล้วก็เหมือนรังแกได้ผู้นี้จะเป็นภรรยาของชายที่ตนพึงใจ

หลินซือเย่าขมวดคิ้วเงยหน้ามอง กลางวันแสกๆ ตอนเที่ยงอย่างนี้ ถึงกับมีสตรีไร้ยางอายเช่นนี้ได้ มายืนกลางถนนบอกชื่อเสียงตนกับชายแปลกหน้าเช่นนี้

เขากอดซูสุ่ยเลี่ยน รู้สึกว่าร่างนางเริ่มแข็งทื่อขึ้นมาอยู่บ้าง ก้มหน้าลงมองนาง ถามอย่างไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ” แม้ว่ากลางวันแดดแรงอยู่บ้าง แต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ไม่น่าจะโดนแดดจนเป็นลมกระมัง

“ถามข้าหรือ ข้าไม่เป็นไร” ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งรีบดึงความคิดที่คิดเองเออเองกลับคืนมา ก้มลงส่ายหน้าเล็กน้อย คงไม่อาจบอกเขาได้ว่า ตนเองกังวลว่าเขาจะชอบพอลู่หว่านเอ๋อร์เข้า

“อะไรคือถามเจ้าหรือ ไม่เช่นนั้นจะถามใครกัน!” หลินซือเย่าขมวดคิ้ว เริ่มอารมณ์ไม่ดี โอบเอวนางค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปยังทะเลสาบฝานลั่ว ส่วนลู่หว่านเอ๋อร์ด้านหลังที่อับอายจนกลายเป็นโมโหนั่น ไม่ได้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในใจ

ผู้หญิงของเขาแต่ต้นจนจบชาตินี้มีเพียงคนเดียว ก็คือนางเท่านั้น…ซูสุ่ยเลี่ยน

ลู่หว่านเอ๋อร์จ้องมองสองคนเดินห่างไกลออกไป ความอิจฉาฉายชัดผ่านแววตา นางไม่อยากจะเชื่อว่าชายคนนั้นถึงกับละเลยตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนใจมองนางเลย

สตรีข้างกายเขาผู้นั้นมีดีตรงไหนกัน ถึงกับทำให้ชายเย็นชาเช่นเขายอมเสียงอ่อนถามไถ่ เกียรตินี้ควรเป็นนางได้รับเพียงผู้เดียว

ลู่หว่านเอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชายที่ตนตกหลุมรักลึกซึ้งจากไปไกลแล้ว นางยังคงไม่รู้ชื่อแซ่เขา และไม่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน

ที่แน่ใจได้หนึ่งเดียวก็คือเขาถูกใจนางจริงๆ ทำให้นางตกหลุมรักจริงๆ

หรือว่านางลู่หว่านเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ที่ปกติมีแต่ผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังนับไม่ถ้วน สุดท้ายได้แต่มีชะตาชีวิตที่ต้องทุกข์รักเขาฝ่ายเดียวเช่นนี้ แค่ขมวดคิ้วก็คิดถึงเขาแล้ว จะให้นางคิดถึงไปถึงเมื่อไรจึงจะหยุดคิดถึงได้?

ไม่! ไม่! ไม่! นางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

กว่าจะได้พบชายที่ทำให้ตนจิตใจพองโตสับสนวุ่นวายได้ นางไม่ยอมเชื่อว่าวาสนาเขาและนางจะบางเบาเพียงแค่นี้อย่างเด็ดขาด นับประสาอะไรกับตอนนี้นางแม้อยากลืมก็ลืมไม่ลงแล้ว

ชายผู้นั้นถูกกำหนดให้เป็นของนาง

ไม่ยอมบอกชื่อแซ่ ไม่ยอมบอกที่อยู่หรือ

นางไม่เชื่อว่าใช้สายสืบจะหาข่าวที่นางต้องการไม่ได้

สิ่งที่ตระกูลลู่ไม่ขาดแคลนก็คือเงิน!

……

ทะเลสาบฝานลั่วในปลายฤดูใบไม้ร่วงยังคงงดงามยิ่ง

แม้ว่าไม่ได้มีเสียงเสียดสีของใบบัวหน้าร้อนต้องลม แต่ต้นเฟิงที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงสะท้อนจากผืนน้ำทะเลสาบ ก็ให้ภาพเงียบสงบรับกันกับผืนน้ำคลื่นมรกต

เดินทอดน่องมาถึงม้าหินที่เคยนั่ง ซูสุ่ยเลี่ยนดึงหลินซือเย่ามานั่งลงมองไปยังคลื่นบนผิวน้ำทะเลสาบกระเพื่อมมาเป็นระลอกที่ไม่ไกลออกไปนัก ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางพลางกล่าวเบาๆ ว่า “อาเย่า แม่นางลู่นั่นชอบเจ้าจริงๆ นะ” เรื่องนี้นางติดใจมาตลอดทาง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเขา แต่ไม่เชื่อตนเองกระมัง

มีผู้ใดรู้บ้างว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลซูผู้สูงศักดิ์มั่นใจราวกับฮองเฮายามอยู่หน้าเครื่องปักผ้า ถึงกับมีเวลาที่ไม่มั่นใจเช่นนี้ด้วย! น่าจะเพราะอิทธิพลของสุ่ยเยี่ยนที่ฝังลึกมากกระมัง น้องสาวร่วมบิดาต่างมารดานางผู้นั้น ซูสุ่ยเยี่ยนเอาแต่เน้นย้ำตลอดเวลา นิสัยอ่อนแออย่างกับคุณหนูของนาง ไม่มีผู้ชายมาตกหลุมรักจริงหรอก

ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนเคยคาดเดาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งถึงสาเหตุที่หลินซือเย่าแต่งกับนาง เหตุผลหลักก็คงเพราะตนเคยช่วยเขาไว้ นางรู้สึกเฝื่อนขมส่ายหน้านึกเยาะตนเอง

“…” หลินซือเย่าได้ยินก็หันไปมองนาง เป็นนานกว่าจะขมวดคิ้วถามขึ้น “อย่าได้เหลวไหล”

อะไรแม่นางลู่ อะไรชอบเขา หญิงตัวน้อยนี่ถึงกับคิดเหลวไหลอะไรกัน

ปล่อยให้ผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องมาวอแวตนครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังรู้สึกรำคาญ หากไม่ใช่ว่ารับปากสตรีตัวน้อยข้างกายไว้ว่าออกไปข้างนอกห้ามใช้วิทยายุทธ์แล้ว เขาคงได้ใช้พลังฝ่ามือลมกรดซัดให้สะเทือนออกไปร้อยเมตรแล้ว ไหนเลยจะต้องรอให้อีกฝ่ายมายืนใกล้ๆ หูพูดจาเหลวไหลไร้สาระสร้างเรื่องบ้าบอกัน!

แต่นาง ซูสุ่ยเลี่ยน ถึงกับยังกล้าล้อเขา หรือว่าหญิงปากมากแซ่ลู่หรือแซ่ลั่วอะไรนั่นพูดจาทำให้เข้าใจผิดได้ด้วย นางถึงกับไม่เป็นห่วงเขาสักนิดเลยหรือ

พอคิดถึงตรงนี้ หลินซือเย่าก็หงุดหงิด ยืดอกนั่งตัวตรง สองตาจ้องมองออกไปยังภาพต้นเฟิงแดงที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบ พริบตาความเยียบเย็นก็แผ่ซ่านออกมาทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มวุ่นวายใจขึ้นมา

เขากำลังโมโหหรือ โมโหนางว่าไม่ควรวิจารณ์ลู่หว่านเอ๋อร์หรือ อย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นถึงแม่นางที่ยังไม่ได้ออกเรือน ตนเองกล่าวเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังนึกเยาะความใจกล้าบ้าบิ่นของนาง หากแพร่ออกไป ใช่ว่าจะทำลายชื่อเสียงนางหรือ

“ข้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปาก “ขอโทษ…ข้าเพียงแค่…” นางน้ำเสียงอึกอักไม่รู้ควรอธิบายเช่นไร

“ทำไมต้องขอโทษ” หลินซือเย่าใช่ว่าฟังไม่ออกว่านางมีน้ำเสียงอึดอัดและตำหนิตัวนางเอง เขามองผืนทะเลสาบพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“อาเย่า ข้า…หากเจ้ารู้จักแม่นางลู่ก่อน จะแต่งกับข้าไหม” นางกลืนน้ำลายก่อนจะข่มใจกล้าถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจออกไป แท้จริงแล้วที่นางคิดจะถามมากกว่าก็คือ เขาชอบนางตรงไหน เพียงเพราะนางช่วยชีวิตเขาไว้หรือ

หลินซือเย่าหันมามองนางนิ่ง ตอนนางถามออกมา ก็เอาแต่ก้มหน้าตลอด สองมือยังคงวางเกร็งขยำผ้าเช็ดหน้าบนหน้าขาไว้ ผ้าเช็ดหน้าถูกนางบิดจนยับยู่หมดรูปไปแล้ว นางยังคงไม่รู้ตัว

นางกังวลหรือ กลัวตนเปลี่ยนใจหรือ

หลินซือเย่าถอนหายใจ ทั้งโมโหทั้งขำ จากนั้นก็ยกมือโอบไหล่นางรั้งเข้าสู่อ้อมกอดเขา

“เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองสวยหรือ” เขาเหมือนพึมพำกับตัวเอง “หรือข้าพูดไม่เก่ง ทำให้เจ้าเข้าใจความในใจข้าผิด สุ่ยเลี่ยน…เจ้าอยู่ตรงนี้ของข้า” เขาดึงมือนางมากุมหน้าอกหนาแข็งแกร่งของเขา หยุดตรงที่หัวใจเต้นแรงอย่างเห็นได้ชัดอยู่นานอย่างไม่ยอมปล่อยมือ “ตรงนี้ มีแต่เจ้า” เขาเน้นน้ำหนักแน่นจริงจังอีกครั้ง

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางโผเข้าสู่อ้อมกอดเขา “ขอโทษ ข้าควรเชื่อใจเจ้า…ไม่ควรใจแคบเช่นนี้…” นางสะอื้นลนลานขอโทษ

ความรักที่เขามีให้นาง ความทุ่มเทต่อครอบครัว นางควรเข้าใจดีที่สุด ทำไมเพียงเพราะคนที่ไม่เกี่ยวข้องคนหนึ่งพูดจาไม่กี่คำ ก็สงสัยในความจริงใจของเขากัน ดังนั้นอย่าได้ตำหนิที่เขาโมโหเมื่อครู่เลย

“ข้าดีใจมาก…” หลินซือเย่าก้มลงหอมผมนาง อมยิ้มกล่าวว่า “เจ้าใส่ใจข้า” เขาเคยคิดว่าได้อยู่ข้างกายนาง ไม่ร้องขอให้นางตอบแทนความรู้สึกเขา เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เขาจึงพบว่า ตนเองต้องการให้นางใส่ใจและให้ความสำคัญเขามากเพียงใด

ความรู้สึกหนุ่มสาวเดิมก็ต้องการความทุ่มเทของทั้งสองฝ่าย

ได้พบกับนางปากมากแซ่ลู่หรือแซ่ลั่วนั่นทำให้สตรีในดวงใจเขาใส่ใจเขาเช่นนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าหากมีครั้งหน้าอีก เขาจะไม่ใช้พลังฝ่ามือลมกรด แต่แน่นอนว่าหากทนไม่ไหวจริงๆ เขาจะลองคิดดูว่าจะให้ศิษย์เขาลงมือดีไหม