ตอนที่ 55 ความกังวลของนางเถียน

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ต้นฤดูหนาวใกล้มาถึง หลินซือเย่าก็พาเถียนต้าเป่ากับเสี่ยวฉุนขึ้นเขาต้าซื่อ ล่าสัตว์ป่าที่ยังไม่เข้าจำศีลหน้าหนาวออกมาได้ชุดสุดท้าย ครั้งนี้นอกจากเสี่ยวฉุนแข่งกับต้าเป่าล่ามาได้ทั้งนากสามตัว หมูป่าหนึ่งตัว และกระต่ายป่าครอกหนึ่งแล้ว หลินซือเย่ายังถึงกับจับหมีควายที่ล่าอาหารรอบๆ กินอิ่มแปล้เตรียมเข้าจำศีลมาได้ตัวหนึ่ง

หลังแบกกลับมาบ้าน หลินซือเย่ายังใช้เวลาถึงสองวันเต็มๆ ในการจัดการมันที่ริมท่าน้ำทางใต้ของบ้าน สุดท้ายก็ลอกหนังหมีออกมาได้สำเร็จ หนังหมีควายที่ตัวสูงราวคนกว่าและความกว้างราวสองคนก็ถูกจัดการจนสะอาด ตัวหมีถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน บ้านเหลา บ้านเถียน บ้านละส่วน กับอีกบ้านละอุ้งเท้าหลัง ส่วนอีกสองอุ้งเท้าหน้าก็ล้างสะอาดแช่น้ำไว้หนึ่งชั่วยาม ใช้สุราและเกลือแช่เอาไว้อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ต้นหอมและใบกระวานผัดไฟแดงอบร้อนเคี่ยวไว้ ลำตัวหมีสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งดองเกลือไว้ในไห รอไว้ตากลมทำเนื้อแห้ง อีกส่วนโรยเกลือและเครื่องเทศแล้วก็เอาไปย่างไฟทำเนื้อย่าง ลูกหมาป่าสองตัวตั้งแต่ออกจากเขาต้าซื่อมายังไม่เคยได้กินเนื้อย่างเลย ครั้งนี้พวกมันได้สมหวังแล้ว

สัตว์ป่าที่ล่ามาได้ครั้งนี้พอดีเป็นเวลาตลาดนัด หลินซือเย่ากับเถียนต้าเป่าจึงนำไปเมืองฝานลั่ว หลายปีก่อนที่เขาต้าซื่อมีข่าวสัตว์ป่าอาละวาดกินคน ตลาดนัดก็ไม่มีสัตว์ป่าขายมานานแล้ว นับประสาอันใดกับการที่ยังตัวเป็นๆ ดิ้นได้เช่นนี้ ดังนั้นนากสามตัว หมูป่าหนึ่งตัว ขายไปได้แปดตำลึง หลินซือเย่าให้เถียนต้าเป่าไปห้าตำลึง อย่างไรสัตว์ป่าที่นำไปขายพวกนี้ก็เป็นต้าเป่ากับเสี่ยวฉุนร่วมกันล่ามา กระต่ายป่าครอกนั้น ตัวใหญ่สองตัวเล็กสาม ก็ให้เถียนต้าเป่าเอากลับไปเลี้ยงที่บ้าน

ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกว่ากระต่ายครอกใหญ่เดิมทำให้นางงานยุ่งมากแล้ว หลังจากย้ายมาเมืองฝานฮัว ครั้งแรกล่ากระต่ายป่ามาได้สองตัว ตัวเมียที่ท้องนั่นออกลูกมาหนึ่งครอก รวมเป็นหกตัว ตัวผู้สองตัวเมียสี่ ไก่ป่าก็ออกมาอีกสองรอบ รอบละห้าตัว อีกรอบเจ็ดตัว ส่วนแม่แพะที่ผู้ใหญ่บ้านมอบให้เป็นของขวัญอวยพรนั้น ก่อนหน้านี้ถูกผู้ใหญ่บ้านพาไปให้ผสมพันธุ์กับตัวผู้ กลับมาก็ท้องออกลูกแพะมาอีกสี่ตัว เอากลับไปหนึ่งตัว ดังนั้นสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ลานทางใต้ของบ้านจึงเรียกได้ว่าอุดมมาก หลินซือเย่ายังทำแปลงเฉพาะอีกแปลงขึ้นมาปลูกแครอทให้กระต่ายโดยเฉพาะ ส่วนเมล็ดพืชที่ลูกไก่กินกับหญ้าที่แพะกินนั้น ทุกวันตอนเช้าหลินซือเย่าพาต้าเป่ากับลูกหมาป่าไปฝึก ขากลับก็จะเก็บมาจากเชิงเขาซิ่วเฟิง

บ้านเหลากับบ้านเถียนคิดไม่ถึงเลยว่าหน้าหนาวมาถึงจะมีเนื้อหมีกินเช่นนี้ โดยเฉพาะอุ้งตีนหมีเลิศรสที่หาได้ยากมาบำรุงร่างกาย นอกจากความดีใจแล้วก็ยังมีความกังวลถึงความปลอดภัยของหลินซือเย่ากับเถียนต้าเป่า จึงส่งนางเหลาที่พอพูดจาได้ไปเพื่อขอบคุณและเพื่อฝากซูสุ่ยเลี่ยนช่วยบอกหลินซือเย่า อย่าได้ไปเขาต้าซื่อเสี่ยงอันตรายอีกเลย

“นังหนู ข้ากับป้าเหลาตกลงกันแล้ว เรื่องพวกเรามีเนื้อหมีจะไม่แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด เพียงแต่เจ้าช่วยกล่อมอาเย่าเจ้าหน่อยว่าอย่าเข้าป่าอีกเลย ว่ากันว่าไม่เพียงมีหมีควาย ยังมีเสือร้ายตาคม หมาป่าโหดเหี้ยม…สรุปคืออย่าได้ไปเสี่ยงภัยใดๆ อีกเลยนะ? เจ้าไม่รู้หรอกว่า เมืองชิงเทียนข้างๆ เมืองเรา หลายปีก่อนมีนายพรานไม่น้อยขึ้นเขาต้าซื่อไป ไปแล้วไปลับ…”

นางเถียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกล่อมซูสุ่ยเลี่ยน หวังว่านางจะเอาข่าวอันตรายของป่าอย่าได้เข้าไปอีกพวกนี้ไปถ่ายทอดให้หลินซือเย่าฟัง ที่จริงแล้วก็แค่ห่วงต้าเป่าของนาง

แม้สามเดือนมานี้ตามหลินซือเย่าฝึกยุทธ์ ฝึกจนร่างกายกำยำแข็งแรงอย่างมาก ต้าเป่าเมื่อก่อนนี้พอฤดูหนาวทีไรก็จะป่วยตัวร้อน ปีนี้พอเจออากาศหนาวไม่เพียงไม่ป่วย ยังไม่กลัวความหนาว สวมเสื้อธรรมดาสองตัวก็พอ

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เหนือความคาดหมายของบ้านเถียนมาก เดิมพวกเขาแค่หวังว่าต้าเป่าได้ติดตามหลินซือเย่าก็จะไม่ต้องคอยห่วงว่าจะหายตัวไป พร้อมยังได้เรียนรู้หมัดมวยเสริมสร้างสุขภาพ จะได้ไม่ถูกเด็กอายุน้อยกว่ารังแกก็พอแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าผ่านไปสามเดือนฝีมือเถียนต้าเป่ายังสู้บิดาเขาเองได้สบายๆ ตอนนี้รู้ว่าเขาตามหลินซือเย่าเข้าออกเขาต้าซื่อตามอำเภอใจ แม้ว่าหาเงินได้ถึงห้าตำลึงกับลูกกระต่ายป่าอีกห้าตัว พอให้ครอบครัวเถียนหกคนใช้สบายไปถึงหนึ่งปีเต็มๆ

แต่ว่าทุกครั้งที่นึกถึงว่าเงินพวกนี้ สัตว์พวกนี้ ต้าเป่าต้องเสี่ยงชีวิตขึ้นเขาต้าซื่อไปล่ามาแลกเงิน ใจนางเถียนก็หวาดหวั่นขึ้นมาทุกครา เถียนต้าฟู่หลายวันก่อนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็ด้วยเหตุนี้ กลัวว่าลูกชายโทนเพียงหนึ่งเดียวจะเกิดเรื่องขึ้น

เจ้าว่าเขาสติปัญญาบกพร่องก็แล้วอย่างไร อย่างไรเขาก็ยังโดดไปโดดมาโลดเต้นอยู่ข้างกายตน แต่ตอนนี้ หากว่า…โอย ถุยๆๆ…ปากอีกา! นางเถียนแอบถ่มน้ำลายกับวาจาไม่มงคลของตนเอง พอได้สติก็กล่อมซูสุ่ยเลี่ยนที่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยต่อ

“ใช่แล้ว นังหนู แม้ว่าเนื้อพวกนี้อร่อย แต่พวกมันแรงเยอะสู้ไม่ไหวหรอกนะ พวกเรารู้อาเย่าฝีมือดี แต่หากเกิดอะไรขึ้นมา…” ป้าเหลาข้างๆ ก็เริ่มกล่อมตาม

“อืม ท่านป้าทั้งสองวางใจ อาเย่ารู้อะไรควรไม่ควร กลับไปข้าจะลองบอกเขาดู” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางพลางพยักหน้า นางไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง เพียงแต่ก่อนหน้าสองสามครั้งแรกที่ออกไปล่าสัตว์นางก็เคยเตือนหลินซือเย่าแล้ว เขาหัวเราะบอกให้นางวางใจ บอกว่าไม่ได้เข้าไปป่าลึกบนเขาต้าซื่อ ปกติพาเถียนต้าเป่าก้าวเข้าชายป่าเพื่อฝึกพลังมือเท้าและเพลงกระบี่เท่านั้น ไม่ก็ร่วมกับเสี่ยวฉุนหรือเสี่ยวเสวี่ยแข่งกันล่าสัตว์ ส่วนเขาก็ยืนอยู่บนยอดไม้ไผ่สูงเสียดเมฆเพื่อฝึกพลังเสวียนหมิงที่เข้าสู่ขั้นสิบเต็มเปี่ยมให้พลังคงที่เท่านั้น ท่ามกลางเมฆลมยังคอยระแวดระวังรอบๆ ไปด้วย หากว่ามีสัตว์ป่าเข้าใกล้พวกตนเองระยะร้อยเมตร เขาย่อมรีบพาต้าเป่ากับลูกหมาป่าออกห่าง เขาตอนนี้มีนางเป็นภรรยาแล้ว มีบ้านน้อยที่อบอุ่นสุขสงบแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ล้อเล่นกับชีวิตน้อยๆ นี้ของตนแน่นอน

“ดังนั้นพวกป้าวางใจได้ อาเย่าจะไม่ปล่อยให้ต้าเป่าเกิดเรื่องแน่นอน” ซูสุ่ยเลี่ยนรับรองแล้วรับรองอีก หลินซือเย่าย่อมไม่เอาความปลอดภัยของเถียนต้าเป่ามาล้อเล่น เหมือนที่เขาไม่เอาความปลอดภัยของตนเองมาล้อเล่นเช่นกัน คนที่ถูกปีกเขากางปกป้องนั้นย่อมวางใจอยู่ใต้ปีกปกป้องของเขาได้

“นังหนู ตระกูลเถียนเราสามรุ่นมีผู้ชายแค่รุ่นละคน หากไม่ใช่ข้าให้กำเนิดต้าเป่าแล้วสุขภาพไม่ดีจนไม่อาจมีลูกได้อีกล่ะก็ ก็คงไม่ต้องเป็นห่วงต้าเป่าถึงเพียงนี้…” นางเถียนเหมือนกับสะอื้นในลำคอ นางไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจหลินซือเย่า เพียงแต่ต้าเป่าเป็นทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลเถียน ไม่อาจเกิดเหตุผิดพลาดได้

หากนางรู้ก่อนหน้านี้ว่าวิชาหลินซือเย่ายังต้องขึ้นไปฝึกบนเขาต้าซื่อแสนอันตรายแล้วล่ะก็ ถึงตายนางก็ไม่ยอมเห็นด้วยกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์หลินซือเย่าเด็ดขาด แต่ว่าเมื่อวานนางหลุดเอ่ยออกไปว่าคิดจะให้ต้าเป่ายุติความเป็นศิษย์อาจารย์กับหลินซือเย่า ลูกชายที่รักของนางถึงกับเอาเรื่องจนไม่ยอมกินข้าว ใช้การนี้มาต่อต้านนาง เห็นเช่นนี้แล้วเขาเหมือนเด็กอายุเก้าขวบตรงไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่รู้จักใช้อุบายต่อต้านแล้ว

นางเถียนไม่เพียงแต่สงสัยในสติปัญญาของลูกชายนางแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว หรือว่าหายดีแล้ว แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือต้องกล่อมหลินซือเย่าให้เขาอย่าพาลูกชายที่เป็นดังชีวิตนางออกไปเสี่ยงภัยอีก

“ได้ ข้าจะบอกเขาให้” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า ในเมื่อนางเถียนพูดถึงขั้นนี้แล้ว นางก็จะไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ แม้นางเชื่อว่าหลินซือเย่าย่อมไม่ปล่อยให้ต้าเป่าต้องเผชิญกับอันตรายแน่นอนก็ตาม เขาต้องคิดหาวิธีให้ต้าเป่าเรียนวิชากระบี่ร้ายกาจให้สำเร็จเร็วที่สุดมากกว่า

……

“อาเย่า…ตอนเที่ยง ป้าเถียนกับป้าเหลามา” ซูสุ่ยเลี่ยนเทน้ำอุ่นลงกะละมังก่อนจะบิดผ้าเช็ดหน้าส่งให้หลินซือเย่า ให้เขาเช็ดหน้า

สองวันนี้เป็นวันลงเพาะปลูกข้าวสาลีหน้าหนาว ดังนั้นนอกจากตอนเช้าที่จะพาเถียนต้าเป่ากับลูกหมาป่าไปเขาซิ่วเฟิงฝึกวิชาแล้ว เวลาที่เหลือหลินซือเย่าก็จะลงนาเพาะปลูก เขาปล่อยต้าเป่าพักห้าวัน เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยยังคงอยู่บ้านเป็นเพื่อนซูสุ่ยเลี่ยน ที่เรียกว่าเป็นเพื่อนไม่สู้เรียกว่าคอยปกป้องดีกว่า หลินซือเย่าแต่ไรมาไม่เคยละเลยความปลอดภัยของนาง

หลินซือเย่าได้ยินก็เลิกคิ้ว รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าที่มีคราบเหงื่ออยู่บ้าง

“ป้าเถียนว่า…เขาต้าซื่ออันตราย…” ซูสุ่ยเลี่ยนลองพูดออกมาดู กลัวว่าหลินซือเย่าฟังแล้วอึดอัดใจ เขาทุ่มเทให้ต้าเป่า นางเห็นอยู่กับตา แม้ว่าไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แม้ว่าหน้าตาบึ้งตึงดุดันสั่งสอนต้าเป่า แต่นางรู้ดีว่าหลินซือเย่าใส่ใจลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวคนนี้มาก

“นางอยากให้ข้าอย่าพาเขาขึ้นเขา” หลินซือเย่าเพิ่งฟังได้แค่ครึ่งเดียว ก็ต่อประโยคต่อมาเองทันที

“เจ้า…เจ้าไม่โกรธใช่ไหม?” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ากวาดตามองสีหน้าเขา

“ข้าจะโกรธทำไม?” หลินซือเย่ารู้สึกแทบอยากจะร้องไห้

“เอ่อ…อย่างไรเจ้าก็ปรารถนาดี” ซูสุ่ยเลี่ยนอธิบายงุดๆ

“ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาต้องการแค่วางฐานให้มั่น ไม่ขึ้นเขาก็ไม่เป็นไร” หลินซือเย่าดื่มชาซานเหมยป่าแก้วใหญ่ที่ซูสุ่ยเลี่ยนส่งให้ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยกล่าวขึ้น

“ตอนเที่ยงกินอะไร?” หลินซือเย่าลุกขึ้นไปที่ตู้กับข้าว ควานหาวัตถุดิบมาทำอาหารเที่ยง

“อ้อ ข้าต้มข้าวต้มรวมมิตรไว้” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มละไม วิ่งเหยาะๆ ไปที่หน้าเตา เปิดฝาครอบออก หม้อข้าวต้มรวมมิตรกลิ่นหอมฉุยก็ปรากฏตรงหน้าหลินซือเย่า

“บอกไว้แล้วว่ารอข้ากลับมาทำไม่ใช่หรือ” หลินซือเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงมือน้อยผิวพรรณละเอียดของนางมาตรวจดูรอบหนึ่ง เห็นว่าไม่มีริ้วรอยอะไรก็ปล่อยมือ

“เจ้าลำบากเช่นนี้ ข้าอยู่บ้านทำอาหารจะเป็นอะไรไปหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนพูดไปก็หยิบทัพพีตักให้หลินซือเย่าชามใหญ่เต็มชามไป จากนั้นตักให้ตนเองชามเล็กอีกชาม

“เจ้าควรกินมากอีกหน่อย” หลินซือเย่าคว้าทัพพีมาตักเพิ่มให้นางอีกทัพพี ทำให้ชามเล็กเต็มชามจึงพอใจปล่อยทัพพี

นางดูร่างบอบบาง น่าจะกอดในอ้อมกอดแล้วรู้สึกไม่เต็มมือ แต่กลับกัน ที่ที่ควรมีเนื้อหนังนางไม่ผอมแห้ง เพียงแต่แม้กล่าวเช่นนี้ เขาก็ยังคงเป็นห่วงสุขภาพนาง หน้าหนาวจะมาถึงแล้ว ลมหนาวตะวันตกเฉียงเหนือพัดมาทีเย็นเยียบถึงกระดูกจะทำให้นางป่วย

หากซูสุ่ยเลี่ยนรู้ความในใจหลินซือเย่าตอนนี้ ย่อมต้องเถียงแน่ ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนอยู่เขาต้าซื่อมาถึงตอนนี้ สุขภาพนางไม่เคยไม่สบายเลย แน่นอนนอกจากช่วงน้ำหยินมาในทุกเดือน