ตอนที่ 56 สองใจผูกพันลึกซึ้ง

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

จะว่าไป สุขภาพแข็งแรงของซูสุ่ยเลี่ยนในตอนนี้ควรมอบความดีความชอบให้กับกลั่นหยกเซียน ยาวิเศษที่พบในถ้ำหมาป่าบนเขาต้าซื่อนั่นต่างหาก เพียงแค่แตะไปสองหยดเล็กๆ ก็เพียงพอจะเสริมร่างกายบอบบางแบบคุณหนูของนางได้

ดังนั้นนางจึงได้เอากลั่นหยกเซียนที่บรรจุอยู่ในน้ำเต้าอีกครึ่งเก็บไว้ที่ก้นหีบเสื้อผ้าใหญ่อย่างระมัดระวังมาก ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องการใช้มันขึ้นมา

พอนำอาหารขึ้นโต๊ะ ก็เอาแตงกวาดองเปรี้ยวกับไชเท้าดองเค็มไหเล็กออกมาจากตู้กับข้าวด้วย แบ่งใส่จานเล็กลายครามใบน้อยน่ารัก ผักดองพวกนี้ซูสุ่ยเลี่ยนเรียนรู้มาจากป้าเหลา

เข้าฤดูใบไม้ร่วง มะเขือ แตงกวา แตงกรอบ[1]ในสวนผักทางใต้ของลานบ้านก็เก็บเกี่ยวได้ ผักสดๆ ต้องกินให้หมดในทันที เก็บไว้นานไม่ได้ ทำอย่างไรดี ตอนป้าเหลาพาสี่ชุ่ยมาตอนนั้นก็เอ่ยถึงว่าเอาไปดองได้อย่างไม่ทันได้คิดอะไร

พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยิน สองตาก็เปล่งประกาย ตอนนั้นก็ตบมือเสียงดัง ให้ป้าเหลาสอนนางทำผักดองซีอิ๊ว

ป้าเหลาไม่เสียทีที่เป็นแม่บ้านอันดับต้นๆ ในเมืองฝานฮัว เพียงแค่วิธีการทำผักดองซีอิ๊ว ก็นำเสนอออกมาได้ตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าแบบดองเหล้าข้าว ดองซีอิ๊ว ดองเกลือต่างๆ…สรุปว่าเพียงพอให้ซูสุ่ยเลี่ยนดองผักออกมาได้กองโต ทั้งมะเขือ แตงกวา แตงกรอบ ทำออกมาได้หลากรส

ยามปลายฤดูใบไม้ร่วง สวนผักในลานบ้านทางใต้ก็เก็บเกี่ยวหัวไชเท้าอวบๆ มาได้กองโต ถูกซูสุ่ยเลี่ยนเลือกมาได้ส่วน หนึ่งทำเป็นไชเท้าดองซีอี๊วกับดอกกุ้ยหอมที่ทั้งหอมทั้งกรอบ

แน่นอน งานพวกนี้ซูสุ่ยเลี่ยนแค่ขยับปากสั่ง ลงมือแตะบ้างในบางที ส่งอุปกรณ์และภาชนะให้ไปแล้ว งานใช้แรงงานส่วนใหญ่กับงานที่บาดเจ็บมือง่ายพวกนั้นอย่างพวกล้าง หั่น สับ แกะสลัก แช่ ดองเกลือ ดองซีอิ๊ว ลงไห…ล้วนเป็นหลินซือเย่าทำคนเดียวจบ

เขาไม่ยอมให้มือนางแตะต้องน้ำเย็น ไม่ให้นางถือมีด ไม่ให้นางใช้แรงหนัก…สรุปไม่อนุญาตทั้งหมด

แน่นอนว่าตอนทำไชเท้าดองซีอี๊วกับดอกกุ้ย ดอกกุ้ยที่หอมแตะจมูกชามใหญ่นางเป็นคนลงมือเก็บและตากแห้งเอง

“นี่เจ้าคิดเองหรือ” หลินซือเย่าพุ้ยข้าวใส่ปากไปคำใหญ่สองสามคำแล้วก็เอ่ยขจัดความเงียบตอนกินข้าวของเขาและนางขึ้น

“อืม ไม่อร่อยหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนหยุดเคี้ยวเงยหน้าขึ้นท่าทางเขินอายอธิบายว่า “ข้า…เคยกิน รู้ว่ามาจากวัตถุดิบพวกนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำในสัดส่วนเท่าไร และไม่รู้ว่าต้มนานพอไหม…”

“เด็กโง่ อร่อยมาก” หลินซือเย่าฉีกยิ้มกล่าว “ข้าแค่ไม่เคยกินข้าวแบบนี้ รู้สึกแปลกก็เท่านั้น” เขาไม่รู้ว่าข้าวก็กินแบบนี้ได้ด้วย ถั่วลันเตา ข้าวโพด แครอท แตงกวา เนื้อเค็ม ถั่วแขก ทุกอย่างหั่นเต๋าใส่ลงในข้าว สีสันงดงาม ดูสวยและอร่อย

นี่คืออาหารหลักขึ้นชื่อที่สืบทอดกันมาของเมืองหยางโจว เป็นที่แพร่หลายกันในเมืองซูโจว อาหารเช้าตระกูลซูบางครั้งก็มีอาหารหลักและขนมรสชาติพิเศษและสารอาหารอุดมพวกนี้อยู่เหมือนกัน ซูสุ่ยเลี่ยนชอบมาก แต่ว่าพ่อครัวใหญ่ตระกูลซูทำได้ประณีตและครบเครื่องกว่า ใส่ข้าวเหนียวทำให้รสสัมผัสยามเคี้ยวดีไม่น้อย

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินหลินซือเย่าชมอาหารจากใจเช่นนี้กับการลองทำครั้งแรกของนาง ก็เบิกบานใจไม่น้อย

เช่นนี้ก็หมายความว่านางมีอิสระในการเข้าครัวมากขึ้นใช่ไหมนะ

“อย่าแม้แต่จะคิด” หลินซือเย่าเดาออกถึงแผนการในใจนาง พุ้ยข้าวชามใหญ่หมดอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองนางที่เหมือนกำลังเคี้ยวข้าวนับเม็ดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แอบถอนหายใจ น้ำเสียงอ่อนลงว่า “หากเจ้าชอบก็ทำข้าวแบบวันนี้ได้ ส่วนเรื่องผัดน้ำมันร้อนๆ ไม่ให้แตะต้องเด็ดขาด”

“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบรับคำทันที กล่าวตามตรง เรื่องผัดผักร้อนๆ ไฟแดงอะไรพวกนั้น จริงๆ นางก็ทำไม่ค่อยเป็นเท่าไร

แต่นางทำพวกตุ๋นน้ำแกงได้ เมื่อก่อนตอนอยู่บนเขาต้าซื่ออย่างไรก็อยู่มาตั้งหลายเดือน ระหว่างนั้นนับว่าเรียนรู้พื้นฐานการตุ๋นน้ำแกงมาบ้าง

พักก่อนหน้ายังได้ถามป้าเหลาถึงน้ำแกงที่เหมาะไว้กินบำรุงหน้าหนาวหลายแบบ เช่นกระดูกหมูตุ๋นไชเท้า มันฝรั่งตุ๋นสันนอกวัว ปลาดำตุ๋นเต้าหู้ อะไรพวกนี้ นับได้ว่าเป็นน้ำแกงชั้นยอดในเมืองฝานฮัวและเมืองละแวกใกล้ๆ อย่างเมืองลั่วสุ่ย เพราะเป็นอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อ มีพวกกระดูกหมูและสันนอกวัวที่เป็นอาหารเนื้อที่มีราคาสูง แต่ว่าปลาดำยังอาจจับได้จากลำธารได้บ้าง สำหรับชาวบ้านนาธรรมดาแล้ว จะมาเสียเวลาค่อนวันเพื่อตุ๋นน้ำแกงเปลืองฟืนนั้นย่อมไม่คุ้มค่า

……

“หลายวันนี้เหนื่อยไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนส่งชุดคลุมนอนตัวหนาอุ่นที่นางเย็บเองให้กับหลินซือเย่า เห็นเขารับไปสวมคลุมแล้วก็ผูกเชือกรัดเอว

ไม่ว่าฤดูไหน หลินซือเย่าก็จะอาบน้ำเย็นก่อนนอนเสมอ ฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วงก็พอรับไหว แต่ว่าตอนนี้เริ่มต้นฤดูหนาวแล้ว ค่ำคืนหนาวพอจะทำให้พื้นแข็งเป็นน้ำค้างแข็งได้

ซูสุ่ยเลี่ยนใช่ว่าไม่ห่วง แต่ว่าเห็นเขายังคงนิ่งเหมือนปกติ ไม่ได้รู้สึกหนาวจนตัวสั่นอะไรแม้แต่น้อย ในใจก็วางใจลง เพียงแต่ทุกครั้งที่เขาอาบน้ำกลับมาใหม่ๆ ก็จะคอยส่งชุดนอนให้เขาและยังเร่งให้เขาสวมทันที

“ยังดี” หลินซือเย่ารั้งนางอุ้มขึ้นวางลงด้านในของเตียงอย่างเบามือ เขาเองพลิกกายขึ้นกอดนางไว้ แอบขโมยจุมพิตนางที่ริมฝีปาก

หัวเราะเบาๆ มองหน้าที่แดงลามไปถึงใบหูและลำคอของนาง นี่เป็นภาพที่เขามองอย่างไม่รู้เบื่อในทุกวัน

“หลายวันนี้เจ้าต้องลำบากอยู่บ้านคนเดียวแล้ว” หลินซือเย่าลูบผมยาวดำสลวยของนาง สัมผัสกับความอบอุ่นก่อนนอนในทุกๆ วัน เพียงแค่ได้โอบกอดนางไว้ เขาก็จะลืมความเหนื่อยทั้งหมดเป็นปลิดทิ้ง

“ข้าจะลำบากสักเท่าไรกัน เจ้าไม่ยอมให้ข้าไปช่วยเจ้า” ซูสุ่ยเลี่ยนยื่นนิ้วมือออกไปจิ้มหน้าอกแข็งแกร่งของเขาเต็มแรง ยู่ปากเหมือนบ่นต่อว่า

“เหอะๆ…” หลินซือเย่าฉีกยิ้มหัวเราะดัง

ตั้งแต่ถูกซูสุ่ยเลี่ยนพบลักยิ้มที่น่าหลงใหลสองข้างแก้มของเขาแล้ว เขาก็ยิ่งไม่ถือสาที่จะฉีกยิ้มกว้างต่อหน้านาง นับประสาอันใดกับการที่เขาได้ข้อสรุปจากการสังเกตหลายครั้งว่า รอยยิ้มเขาทำให้นางมีความสุข ถึงกับทำให้นางตกในภวังค์ ดังนั้นจึงถูกเขา ‘จู่โจม’ ได้สำเร็จทุกครั้งไป

ดังเช่นตอนนี้…

หลินซือเย่าเอี้ยวตัวลงจุมพิตริมฝีปากบางของนาง สองมือโอบกอดเบื้องหน้าอวบอิ่มของนางเอาไว้ พอนางได้สติก็ส่งเสียงร้องเบาๆ เขาก็กลืนกินนางที่แสนนุ่มนิ่มไร้กระดูกไปหมดทั้งตัวแล้ว

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนสองตามีหยาดน้ำตาคลอ เงยสบตาเขาอย่างเขินอาย

“หืม?” ตอนเขาผละจากริมฝีปากนางก็เลิกคิ้วสงสัย กระซิบถามแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าทรงเสน่ห์น่าหลงใหล สองมือยังคงลูบไล้ความอวบอิ่มของนาง ก้มลงจุมพิตไม่ขาด ตั้งใจยั่วเย้านางอย่างเอาแต่ใจ

ซูสุ่ยเลี่ยนกัดริมฝีปากแน่น กลัวว่านางจะส่งเสียงหฤหรรษ์ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้ายามรื่นรมย์ออกมา

“อย่า…” หลินซือเย่าเงยหน้าขึ้นยกมือไปหยุดริมฝีปากนางก็กำลังกัดปากเอาไว้จนแทบห้อเลือด พร้อมกับจุมพิตเบาๆ

“อย่าทำร้ายตัวเอง” เขาขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ

“แต่ว่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนหลุบตาลงอย่างเขินอาย ไม่กล้ามองร่างกำยำของเขาที่ไร้อาภรณ์แล้ว

“เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว ระหว่างสามีภรรยาดำรงสัมพันธ์เป็นเรื่องสมเหตุสมผล” เขาจุมพิตผิวละมุนนุ่มลื่นของนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้

ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมเข้าใจหลักการนี้ แต่นางไม่คิดว่าคุณพ่อ คุณแม่นางที่เมืองซูโจวในยุคสาธารณรัฐจีนที่ไกลออกไปนั้นจะเข้าใจเช่นกัน ไม่อย่างนั้นทำไมทุกวันตอนอาหารเช้าไม่เคยได้เห็นคุณแม่นางจะมีท่าทางอ่อนโยนเขินอายเช่นนางเล่า เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจเท่าไร ตอนนี้หวนคิดถึง จึงได้เข้าใจว่าคุณแม่นางมีชีวิตที่ทุกข์ระทมเพียงใด ด้วยสถานะนายหญิงตระกูลซูนี้จะผูกมัดนางให้มีชีวิตที่เย็นเยียบไปชั่วชีวิต

“ผู้หญิงห้ามเหม่อลอย” เขาขบนางทีหนึ่ง แสดงท่าทีฮึดฮัดมาพร้อมกัน ทำให้นางได้สติทันที

“ตั้งใจหน่อย ห้ามคิดเรื่องอื่น” ไม่ว่าผู้ใด เรื่องใดที่จะทำให้นางเหม่อลอยคิดถึงในยามนี้ เขาไม่อนุญาตทั้งสิ้น

“ได้” นางอมยิ้มรับคำ นางเพียงแค่อยู่ๆ ก็นึกถึงคุณแม่ขึ้นมา ตั้งแต่แต่งงานมา นางจำเรื่องในอดีตไม่ค่อยได้ คนและเรื่องราวที่เมืองซูโจวในยุคสาธารณรัฐนั้น สำหรับนางแล้ว ก็เหมือนกับจันทร์กลางน้ำ ดอกไม้ในกระจก ดูเท็จไม่อาจจับต้องได้

ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะปล่อยวาง นอกจากขอพรให้คุณแม่กับพี่ใหญ่ แน่นอนยังขอพรให้ผู้อาวุโสในตระกูลทุกคนให้ราบรื่นสมหวังและมีสุขภาพแข็งแรง ที่เหลือก็ล้วนลืมไปหมดสิ้น ซูสุ่ยเลี่ยนตอนนี้ก็คือหญิงชาวนาธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาในเมืองฝานฮัว ที่อาจจะรับงานปักผ้าบ้างก็เท่านั้น

“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าก้มลงเรียกชื่อนาง สองมือใหญ่ลูบไล้แตะต้องไปทั่วร่างกายนาง ทุกที่ที่วาดผ่านก็ราวกับเปลวเพลิงแผดเผาลามเลีย

นางเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย พยายามบังคับตนเองที่ถูกเขานำพาจิตวิญญาณทะยานโลดแล่นอย่างบ้าคลั่ง

เพียงแต่ท่ามกลางการหยอกเย้าจู่โจมของหลินซือเย่า ซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเอง เริ่มหลงใหลไปตามเขา ดังนั้นในยามนี้นางจึงรู้สึกสับสนไร้ทิศทาง แต่ไรมานางที่มีนิสัยไม่เปิดเผย จะทนรับนางในห้องนอนที่ต่างไปนางยามปกติได้อย่างไร

“ข้าอยากฟังเสียงเจ้า” สองมือเขายังคงจู่โจม ปากก็ไม่ว่าง บีบให้นางต้องส่งเสียงออกมาจนหายใจไม่ทัน เห็นนางแผดเผาใต้ร่างเขา ในใจเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็ม

“อืม…อา…” นางไม่ทันระวังเขาจู่โจม ส่งเสียงร้องดังออกมา ได้แต่กุมปากไว้อย่างรู้สึกอายทันที ไม่ว่าเขาหยอกเย้าอย่างไร นางก็ไม่ยอมอ้าปากส่งเสียงดังอีกเด็ดขาด

เอาละ มีหลายวิธีที่จะทำให้เจ้าส่งเสียงร้องดังต่อ หลินซือเย่ายิ้มร้าย เคลื่อนไหวเร็วขึ้น…

ค่ำคืนกำลังดึกสงัด อารมณ์กำลังลึกล้ำ

สุดท้ายเข้าก็ทุ่มกำลังลงทำเอานางไม่อาจระงับใจต้องส่งเสียงครางขึ้นเบาๆ อีกครั้ง ราวกับบทเพลงรัญจวน? หรือว่านางพยายามระงับตนเอง ทำให้เขายิ่งหลงใหลนางจนไม่อาจถอนตัว สุดท้ายยังคงทำให้นางผิดวาจานางได้อีกครั้ง

สรุปซูสุ่ยเลี่ยนและหลินซือเย่าในคืนนี้ร้อนแรงและเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยั่วยวนกันและกัน ทำให้ต่างฝ่ายจะรับรู้และซาบซึ้งใจ สุดท้ายสองร่างพันพัวสู่สรวงสวรรค์…

——————————

[1] แตงยาวเหมือนแตงกวาญี่ปุ่น