ตอนที่ 13 ใจเต้นแรง
หลินเว่ยเว่ยแล่เนื้อกวางออกเป็นชิ้นซึ่งแต่ละชิ้นมีน้ำหนักอย่างน้อยห้าถึงหกชั่ง ! หลังจากที่นางแบ่งชิ้นเนื้อออกเป็นสิบกว่าชิ้นแล้วเพียงชั่วพริบตากวางทั้งตัวก็ถูกแล่เนื้อไปกว่าครึ่ง ! เมื่อพี่สาวเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนแทบกระอักเลือด เหตุใดนางเด็กโง่ไม่แล่เนื้อเป็นชิ้นเล็กกว่านี้ ? นางจะใจกว้างจนครอบครัวต้องอดอยากหรือไร !
หลังห่อเกี๊ยวเสร็จแล้ว ทั้งครอบครัวก็เริ่มทานเกี๊ยวกันอย่างมีความสุข พี่สาวคนโตที่มักชอบหาเรื่องก็ยังยอมสงบปากสงบคำเพราะเห็นแก่กิน
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย หลินจื่อเหยียนและพี่สาวคนโตจึงนำเนื้อไปแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านที่คอยช่วยเหลือกันซึ่งถือว่าเป็นการแบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน
หลินเว่ยเว่ยต้มยาเสร็จแล้วจึงยกมาให้นางหวงดื่ม ส่วนเจ้าหนูน้อยก็นั่งบิดเค้กข้าวเหนียวอุ่น ๆ เพื่อป้อนให้มารดา
นางหวงมองไปยังห่อยาที่หลินเว่ยเว่ยซื้อกลับมาพลางถอนหายใจเพราะนึกสงสารบุตรี “เมื่อวานเจ้าซื้อยามาเยอะเพียงนี้เชียวหรือ ? แล้วต้องจ่ายเงินไปเท่าไร ? อีกสักครู่เจ้าจงนำเงินไปคืนหมอเหลียงเป็นค่ารักษาและค่ายาที่ติดเขาไว้เสียเถิด”
ระหว่างที่กล่าวนั้นก็นับเงินประมาณหนึ่งร้อยกว่าอีแปะแล้วส่งให้บุตรสาว เมื่อมองเงินที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าแล้วขอบตาของนางหวงก็รื้นด้วยคราบน้ำตา ตอนนี้บุตรสาวคนรองเก่งขึ้นแล้ว สามารถล่าหมูป่าไปขายแลกเงินมาได้ ! ‘ท่านพี่ ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ ? ลูกรองเก่งขึ้นแล้ว’ น่าเสียดายเหลือเกินที่ร่างกายของนางไม่แข็งแรงมากนัก สุดท้ายก็ต้องมาเป็นภาระให้พวกลูก ๆ…
“ท่านแม่ ท่านมิต้องกังวลเรื่องเงินหรอกเจ้าค่ะ ท่านดูแลร่างกายให้ดีก็พอ ! มีข้าอยู่ทั้งคน ท่านมิต้องห่วง ! ” หลินเว่ยเว่ยประคองให้มารดานอนลง
เวลานี้พี่สาวเพิ่งกลับมาจากการเอาเนื้อไปแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน หลินเว่ยเว่ยยื่นพวงเงินอีแปะให้ก่อนจะหันไปแล่เนื้ออีกสองสามชั่งแล้วยื่นให้อีกครั้ง “ท่านแม่ให้เจ้าเอาของพวกนี้ไปมอบแก่ท่านหมอเหลียง”
“เหตุใดเจ้าไม่ไปเอง ? ” พี่สาวมิวายจิกกัด !
“ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่เมื่อกลับมาเป็นปกติแล้วจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง ! ข้าก็อยากไปเองอยู่หรอก แต่ข้าไม่รู้จักบ้านของหมอเหลียง” หลินเว่ยเว่ยมองค้อน
ยามนี้เอง หลินจื่อเหยียนได้ผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าพี่สาวทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่ เขาจึงมองพวกนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าไปจ่ายให้เอง ! ”
สุดท้ายพี่สาวคนโตไม่อยากให้เขาต้องออกไปเอง ดังนั้นนางจึงทำสีหน้าบึ้งตึงแล้วยอมไปเอง ส่วนหลินเว่ยเว่ยตำหนินางว่า “ทำหน้าราวกับมีผู้ใดตาย หมอเหลียงคงคิดว่าเจ้าไม่เต็มใจเป็นแน่”
“พี่รอง ! ” ทั้งที่รู้ว่าพี่ใหญ่สู้ไม่ได้ ทว่าก็ยังจงใจยั่วยุ จะให้ที่บ้านมีเสียงโวยวายไปถึงเมื่อไรกัน ?
หลินเว่ยเว่ยหันไปหัวเราะเฮอะ ๆ ให้น้องสาม จากนั้นนางก็นำเนื้อกวางในส่วนที่แบ่งไว้ขึ้นมาแล้วเดินออกไปอย่างลอยหน้าลอยตา “ข้าจะเอาเนื้อไปให้น้าเฝิง ! ” จากนั้นนางก็ไปเคาะประตูบ้านข้าง ๆ อย่างเบามือและไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก
หลินเว่ยเว่ยอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงจนเนื้อในมือเกือบหล่นลงพื้น สวรรค์ ! นางมาเห็นสิ่งใดเข้าหรือ ? จิตวิญญาณใต้แสงจันทร์เช่นนั้นหรือ ?
ดวงตาที่ลุ่มลึกทว่าเต็มไปด้วยประกายสง่างาม ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ ผิวหน้าขาวผ่องราวหิมะ ริมฝีปากเรียวหยักอมชมพูราวกับผลอิงเถา1 เส้นผมดำขลับถูกปล่อยพลิ้วไสวไปตามแรงลมจนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นอยากยื่นมือไปช่วยปัดปอยผมให้ คนผู้นี้ช่างเป็นบุรุษที่มีใบหน้างดงามคล้ายสตรี ดูผุดผ่องราวเทพบุตรที่อยู่ใต้แสงจันทร์ แม้ว่าอาภรณ์ที่เขาสวมใส่จะซีดขาวแต่ก็มิอาจบดบังความสง่างามไว้ได้เลย
‘ว้าว ! นี่คือความงามอย่างแท้จริง งามจนไม่อาจละสายตาไปได้ งามเสียจนใจเต้นแรงโดยไม่สามารถควบคุมได้ ! ’
สายตาที่เร่าร้อนของนางทำเอาบุรุษหน้าหวานถึงขั้นขมวดคิ้วมุ่น เสียงที่เย็นชาของเขาถามนางว่า “มีธุระอันใด ? ”
หลินเว่ยเว่ยรีบดึงสายตาออกมาอย่างอ้อยอิ่ง นางกลืนน้ำลายดังอึกแล้วเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนแก้มตุ้ยนุ้ย “ข้าเอาเนื้อมามอบให้น้าเฝิง มันคือเนื้อกวางและยังสดใหม่อยู่เลย ! ”
“มิต้อง ! เจ้าเอากลับไปเถิด ! ” แววตาของเจียงโม่หานไม่อาจปกปิดความขุ่นเคืองและความดูแคลนที่มีต่ออีกฝ่ายได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนเย็นชาแล้วตั้งท่าเตรียมปิดประตู
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบใช้มือจับประตูเอาไว้ จากนั้นนางก็ออกแรงผลักเข้าไปด้านในเบา ๆ ทำให้บุรุษหนุ่มเซถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมจับจ้องนางด้วยความขุ่นเคืองกว่าเดิม !
“เมื่อวานนี้ทุกคนที่ช่วยตามหาข้าบนภูเขาล้วนได้รับส่วนแบ่งทั้งสิ้น ข้าจะลืมน้าเฝิงได้เช่นไร ? ” หลินเว่ยเว่ยเบียดตัวเข้าไปในบ้าน ร่างอวบอ้วนของนางสามารถเบียดเข้าไปได้อย่างว่องไวและพลิ้วไหวเสมือนปลาว่ายน้ำ จากนั้นนางก็ตะโกนอย่างร่าเริง “น้าเฝิง ข้ามาหา ! ”
นางเฝิงวางงานปักผ้าในมือลงแล้วเดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นหลินเว่ยเว่ยมิใช่พี่สาวก็เกิดความสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เจียงโม่หานได้รับยีนเด่นมาจากทั้งบิดาและมารดา เขามีใบหน้าที่หวานไม่เหมือนบุรุษทั่วไป ตราบใดที่เขายังอยู่ในหมู่บ้านก็รับรองได้เลยว่าสาวน้อยสาวใหญ่จะต้องแวะเวียนมาส่งสายตาให้เขาเหลียวมอง ไม่เว้นแม้แต่พี่สาวของหลินเยว่เยว่
“น้าเฝิง ข้าได้กวางมาจากบนเขาจึงแล่เนื้อมาแบ่งให้ท่าน ข้าขอขอบคุณท่านมากที่เมื่อวานคอยช่วยเหลือท่านแม่ของข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยเอาเนื้อกวางไปวางไว้ในครัวให้นางเฝิง แต่นางยังทำเอื่อยเฉื่อยมิยอมกลับบ้านเสียที
“มิต้อง เจ้ารีบเอากลับไปเดี๋ยวนี้ ! ” เจียงโม่หานที่ยืนอยู่ข้างมารดาเอ่ยขึ้นมา สีหน้าของเขาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง เขาทำราวกับว่าสิ่งที่นางเอามาไม่ใช่เนื้อแต่มันคือความอัปยศที่มีต่อตนอย่างไรอย่างนั้น
หลินเว่ยเว่ยจับจ้องไปที่ใบหน้าของเขาอยู่นานและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะโวยวายในอีกไม่กี่อึดใจต่อมานางจึงรีบตัดบท “น้าเฝิง เขาคือบุตรชายของท่านหรือ ? ”
นางเฝิงเห็นแววตาที่อีกฝ่ายมองไปยังเจียงโม่หาน แม้ดูเปิดเผยไปหน่อยแต่นางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเบิกตากว้างพร้อมจับจ้องไปที่ชายหนุ่มอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ไม่เหมือน ! ไม่เหมือนเลยสักนิด ! ”
เจียงโม่หานกัดฟันด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเชิดขึ้นอย่างขุ่นเคืองแล้วกล่าวว่า “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว ขอเชิญเจ้าออกไป ! ”
หลินเว่ยเว่ยเดินวนรอบเขาหนึ่งรอบ จากนั้นก็มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มือก็ลูบคางของตนไม่หยุด ขณะเดียวกันนางก็เอ่ยว่า “น้าเฝิง ข้าไม่คิดเลยว่าผู้ที่อ่อนโยนเช่นท่านจะมีลูกชายปากร้ายเพียงนี้ ควรเรียกว่าไผ่ดีกลับให้หน่อไม้ไม่ดีใช่หรือไม่ ? ”
นางเฝิงคาดมิถึงว่าที่อีกฝ่ายพูด ‘ไม่เหมือน’ แท้จริงแล้วกำลังตำหนิที่บุตรชายไม่รู้จักทำตัวอ่อนโยนและเป็นมิตรกับผู้อื่นเหมือนมารดา ทั้งยังคาดมิถึงว่าจะมีวันที่โม่หานถูกสตรีปฏิเสธเช่นนี้จึงทำให้นางอดใจมิไหวจนต้องหัวเราะออกมา ก่อนจะกระแอมไอเสียงเบา “เกรงว่าลูกชายของข้าเรียนหนังสือมากไปจึงหลงลืมการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นเสียแล้ว เจ้าอย่าถือสาเลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายแหบพร่าเล็กน้อยจึงถามด้วยความเป็นห่วง “น้าเฝิง ท่านป่วยหรือ? ให้ข้าเชิญหมอมาหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานเก็บความโกรธเอาไว้แล้วหันไปมองมารดาด้วยความเป็นห่วง นางเฝิงเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มเพื่อปลอบประโลมบุตรชาย ก่อนหันไปบอกหลินเว่ยเว่ยว่า “ข้าแก่มากแล้วจึงเป็นธรรมดาที่จะป่วยไข้ ข้าไม่เป็นไรหรอก ผ่านไปสักสองวันก็หาย ! ”
“เช่นนั้นท่านต้องดื่มน้ำให้มาก หากท่านไม่สบายจริง ๆ ก็ให้หมอมาดูอาการ แต่อย่าไปฝืนเลย” หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าน้ำในถังใหญ่ของบ้านนางเฝิงใกล้หมดเต็มที นางจึงยกถังน้ำขึ้นมา “ข้าจะไปตักน้ำให้ ! ”
นางเฝิงจึงรีบห้ามเอาไว้ “จะให้เจ้าไปตักให้ได้เช่นไร ? เจ้าวางลงเถิด ค่อยให้หานเอ๋อร์ไปทำแทน…”
หลินเว่ยเว่ยมองไปยังร่างผอมบางของเจียงโม่หานที่ยังสูงไม่เท่าตนด้วยซ้ำ แขนขาก็เล็กนิดเดียว นางเพียงออกแรงบีบแขนขาของเขาก็เกรงว่ากระดูกต้องหักเป็นแน่
โทสะของเจียงโม่หานเริ่มปะทุขึ้นหัวร้อน ใบหน้าของเขาแดงเถือกเพราะความอัดอั้น สายตาเช่นนั้นของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ? เจ้าดูถูกข้าหรือ ? คิดว่าผู้อื่นต้องอ้วนพุงพลุ้ยและโง่เขลาเหมือนเจ้าทุกคนหรือไร ?
ทว่าสิ่งที่เขาได้รับการอบรมสั่งสอนมาได้ย้ำเตือนว่ามิควรพูดคำเหล่านี้ออกไป เขาจึงทำได้เพียงใช้แววตาขุ่นเคืองจ้องเขม็งไปยังหลินเว่ยเว่ย ทว่านางก็ยกถังน้ำขึ้นมาแล้วเดินออกจากบ้านไปพลางร้องเพลงที่เขาไม่คุ้นทำนองไปด้วย
ยามที่คนในหมู่บ้านต้องการน้ำสำหรับดื่มก็ล้วนต้องไปตักน้ำในบ่อที่เชิงเขาทั้งนั้น หลินเว่ยเว่ยใช้เวลาไม่นานในการตักน้ำให้เต็มถังใหญ่เพราะการยกน้ำทีละสองถังสำหรับนางไม่ต่างจากการถือน้ำถ้วยเล็กสองถ้วย ขาของนางก้าวฉับไปอย่างรวดเร็ว ปกติเจียงโม่หานต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันจึงตักน้ำได้เต็มถังใหญ่ ทว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลินเว่ยเว่ยก็สามารถตักมาเติมจนเต็มได้แล้ว !
เจียงโม่หานเห็นเช่นนั้นก็ถึงขั้นพูดไม่ออกเลยทีเดียว…
1 ผลอิงเถา คือ ผลเชอร์รี่
ตอนต่อไป