ตอนที่ 14 โดนขโมย ?

หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจใส่เขาแล้วหันไปกล่าวกับนางเฝิง “น้าเฝิง ข้าขอตัวกลับก่อน ท่านก็รีบพักผ่อนเถิด หากรู้สึกเจ็บคอก็ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ” ถึงอย่างไรน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณก็มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอยู่แล้ว !

หมู่บ้านฉือหลี่โกวมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ในมิช้าข่าวที่ตระกูลหลินแบ่งเนื้อกวางให้เพื่อนบ้านที่ไปช่วยตามหาเจ้าเด็กโง่บนภูเขาก็แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน มารดาของเจ้าอ้วนซานโมโหจนตีอกชกตัว ปากก็ด่าทอมิหยุด “หากไม่ใช่เพราะเจ้าอ้วนซานบอกว่าเจ้าเด็กโง่บ้านหลินเดินขึ้นเขาไปแล้ว ทุกคนจะไปตามหาได้จากที่ใด ? แบ่งเนื้อให้คนที่ช่วยทั้งทีเหตุใดไม่แบ่งให้ครอบครัวพวกเรา ข้าจะไปหาพวกนาง ! ”

บิดาของเจ้าอ้วนซานจับแขนของภรรยาเอาไว้ จากนั้นก็จับนางโยนไปบนแคร่ไม้แล้วชี้หน้าด่า “เจ้ายังอยากอับอายต่อหน้าผู้อื่นอีกหรือ ! รู้หรือไม่ว่าเหตุใดตระกูลหลินไม่ยอมแบ่งเนื้อให้พวกเรา ? นั่นมิใช่เพราะว่าเจ้าไปก่อความวุ่นวายถึงบ้านพวกเขาหรอกหรือ ? และเพราะเจ้าดึงดันที่จะใส่ร้ายบ้านนั้นว่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารและเนื้อสัตว์ของพวกเขามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เจ้าละโมบโลภมากอยากได้ของเขามา สุดท้ายเป็นเช่นไร ? ยังไม่ทันโกงเอาเนื้อมาได้กลับถูกบ้านนั้นลงโทษโดยไม่แบ่งเนื้อให้ ! ฉะนั้นเจ้าหยุดเสียที ! ”

“ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อผู้ใด ? ลูกชายของเราไม่ได้ทานเนื้อมานานหลายเดือนแล้ว หากเจ้าทนไหวแล้วเหตุใดต้องให้ข้าบากหน้าไปเอาเปรียบผู้อื่นด้วย ? แต่จะว่าไปตอนที่ข้าไปบ้านตระกูลหลิน เจ้าก็ไม่ห้ามข้าสักคำ…เจ้าก็ดีแต่ตอกย้ำ ! ”

มารดาของเจ้าอ้วนซานเคยถูกสามีทำร้ายร่างกายมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ตอนนี้นางก็ยังมิยอมเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังสามี เมื่อเห็นฝ่ายสามีง้างมือขึ้นมานางก็ร้องไห้โฮทันที “ตีข้าเลย ตีข้าให้ตายไปเลย ! ลูกแม่ แม่ของเจ้ามีชะตาชีวิตที่โชคร้ายเหลือเกินถึงได้คว้าชายชั่วที่ดีแต่ทุบตีทำร้ายร่างกายภรรยามาเป็นคู่ชีวิต…ในเมื่อมีชีวิตที่ดีไม่ได้ก็ตีข้าให้ตายไปเสียดีกว่า ! ”

บุตรชายของนางมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลิน แต่มีรูปร่างใหญ่โต เนื่องจากในครอบครัวมีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวจึงถูกบิดามารดาเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กและเลี้ยงจนทำให้เขามีร่างกายที่อวบอ้วน มองปราดเดียวก็ดูคล้ายขนาดตัวของหลิวเยว่เยว่

เวลานี้เจ้าอ้วนซานสะบัดแขนของมารดาออกอย่างโมโหแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “ท่านแม่จะร้องเพื่ออันใด ? ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปจัดการน้องชายของนางโง่คนนั้นเอง ข้าจะทุบตีน้องของนางเพื่อระบายความแค้นให้ท่าน เช่นนี้ท่านพอใจหรือไม่และตอนนี้ก็เลิกร้องโหยหวนได้แล้ว ข้าจะนอน ! ”

มารดาของเจ้าอ้วนซานได้สติขึ้นมาทันที นางรีบคว้าแขนของบุตรชายเอาไว้แล้วกล่าวว่า “นางเด็กโง่มีพละกำลังมากมายมหาศาล ขนาดหมูป่ายังถูกนางทุบจนตาย หากเจ้าไปทำร้ายร่างกายน้องชายของนางแล้วทำให้นางโมโหขึ้นมา นางอาจทุบเจ้าจนเลือดท่วมหัวได้ ! เจ้าเป็นลูกเพียงคนเดียวของแม่ แม่คิดว่าอย่าไปยั่วโทสะนางดีกว่า ! ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว ! หากท่านไม่ยอมปล่อยข้าเข้านอนเสียที ลูกชายคนเดียวของท่านก็คงถูกทำให้ง่วงจนตายก่อนถูกนางเด็กโง่ตระกูลหลินตีจนตาย ! ” เจ้าอ้วนซานสะบัดแขนมารดาออกแล้วปิดประตูห้องนอนดังปัง ยิ่งนึกถึงเส้นหมี่คุณภาพดีเหล่านั้น ไหนจะเนื้อก้อนโตอีก ทันใดนั้นเจ้าอ้วนซานก็ฉีกทึ้งหมอนด้วยความโมโห

‘เหตุใดนางเด็กโง่ได้กิน เหตุใดน้องชายคนเล็กของนางได้กิน แต่ข้าไม่มีโอกาสได้กิน ? ’ เจ้าอ้วนซานไม่ยอมและด้วยความดันทุรังจึงทำให้เขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะมัวแต่คิดว่าจะทำเช่นไรเพื่อแย่งของอร่อยมาจากนางเด็กโง่

สายหมอกยามเช้าแผ่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านฉือหลี่โกวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กแห่งนี้ เสียงนกร้องยามเช้าไพเราะคล้ายกำลังบรรเลงบทเพลงอยู่ หลินเว่ยเว่ยตื่นนอนท่ามกลางสายลมพัดเอื่อยและเสียงนกร้อง นางยังอยู่ในห้วงภวังค์ มิรู้ว่าตนอยู่ที่ใดและมิรู้ว่านี่คือยุคสมัยใด

“ท่านแม่ น้องสาม ! แย่แล้ว บ้านของเราโดนขโมยของ ! ” เสียงดังแสบแก้วหูของพี่สาวคนโตดังไปทั่วบ้าน

หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นแล้วสวมรองเท้าพร้อมผลักประตูออกไปอย่างหัวเสีย “เหตุใดถึงได้เสียงดังโวยวายแต่เช้า ? ท่านแม่กำลังป่วยอยู่ อย่าตะโกนเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าได้หรือไม่ ? เจ้าคิดว่าตนเป็นเด็กน้อยร้องไห้ขอกินนมแม่หรือไร ? ”

พี่สาวถลึงตาใส่นาง จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วตะโกนอีกครั้ง “อย่าเพิ่งปะทะฝีปากกับข้า ! ตอนนี้เนื้อในบ้านของเราหายไปแล้ว ! ”

หลินจื่อเหยียนสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาถาม “เนื้อ ? เมื่อวานเราคล้องโซ่ปิดห้องครัวไว้อย่างแน่นหนาแล้วมิใช่หรือ ? หรือว่ามีคนทุบโซ่เข้าไป ? ”

“โซ่ยังอยู่ดี ! แต่เนื้อไม่มีแล้ว ! ” พี่สาวคนโตเดินวนไปเวียนมาอย่างร้อนใจราวกับแมลงวันบินหึ่ง ทำเอาคนมองถึงขั้นเวียนศีรษะเลยทีเดียว

หลินเว่ยเว่ยใช้อกดันประตูเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ถือตะกร้าไม้ไผ่มาวางไว้ที่เท้าของพี่สาวพลางกล่าวว่า “ในห้องครัวร้อนเกินไป ข้าจึงกลัวว่าหากวางเนื้อไว้จะทำให้มันเสีย เมื่อคืนข้าจึงเอามันออกมาจากในครัว ! ”

พี่สาวคนโตจึงยกมือเท้าสะเอวและในขณะกำลังจะกล่าวบางอย่างก็ถูกหลินจื่อเหยียนชิงตัดบทเสียก่อน “เนื้อมิได้หายไปไหนก็ดีแล้ว ! หลังทานข้าวเช้าเสร็จพี่รองก็เอาไปขายแลกเงินเถิด มันจะได้ไม่เน่าเสียโดยเปล่าประโยชน์ ! ”

พี่สาวคนโตมองน้องสามตาเขม็ง ‘เมื่อก่อนเจ้าเข้าข้างข้ามิใช่หรือ ? เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงเข้าข้างพี่รอง น้องสาม เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ! ’

เมื่อเห็นสายตาคาดโทษของพี่สาวคนโตแล้ว หลินจื่อเหยียนถึงขั้นหมดถ้อยคำที่จะกล่าวออกมา…

‘ข้ามิได้เข้าข้างผู้ใดทั้งสิ้น ข้าแค่ไม่อยากฟังพวกเจ้าทะเลาะกันต่างหาก คิดว่ามันน่าสนุกนักหรือ ? ’

“ต้าฮว๋า1 ! อีกประเดี๋ยวเจ้าทานข้าวเสร็จก็กลับไปในเมืองเถิด อย่าปล่อยให้เวลาเรียนต้องมาเสียเปล่าอยู่ที่นี่เลย ! เจ้าไม่ต้องกังวลเพราะที่บ้านยังมีข้าอยู่ ! ” มุมปากของหลินเว่ยเว่ยยกขึ้นอย่างอดมิได้

ต้าฮว๋า…ฮ่าฮ่าฮ่า ! เด็กหนุ่มหน้าตาดีมีการศึกษาผู้นี้กลับมีชื่อเรียกที่แสนเรียบง่ายและติดดิน ทำเอานางอดร้องเพลงในใจมิได้ ‘ลูกน้ำเต้า ลูกน้ำเต้า เจ็ดผลบนเถาไม่กลัวลมฝน ลาลาลา ลาลาลา…’

ต้าฮว๋าเอ๋ยต้าฮว๋า อันที่จริงเจ้าควรมีความสามารถในเรื่องพละกำลังไร้ขีดจำกัด ทว่าความสามารถนั้นดันถูกถ่ายทอดมาให้พี่สาวเยี่ยงข้าเสียได้ !

หลินจื่อเหยียนเห็นร่องรอยแห่งความเจ้าเล่ห์และความหยอกเย้าในดวงตาเปี่ยมชีวิตชีวาของพี่รอง อีกทั้งคำเรียก ‘ต้าฮว๋า’ ที่นางใช้ก็เน้นเสียงเป็นพิเศษ ทว่าเขาไม่เข้าใจว่านางหัวเราะอันใด

หลินจื่อเหยียนทำสีหน้าขุ่นเคืองทันที พี่รองคนนี้ ! ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดนางถึงกลายเป็นคนฉลาดภายในชั่วข้ามคืน สรุปแล้วมันคือเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับเขากันแน่ ! เพราะนางกล้ามาล้อเลียนข้าเช่นนี้ !

“พอ ! เลิกทำหน้าเหมือนหาวจูหยี2 แต่เช้าเถิด ข้าจะทำชงโหยวปิง3 ให้เจ้านำติดตัวไปทานที่สำนักศึกษา จงแบ่งให้สหายทานด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยทอดชงโหยวปิงจนหอมตลบอบอวลไปทั่วบ้าน ยิ่งทอดกลิ่นของมันก็ยิ่งหอม ! แม้แต่น้องสี่ยังทานหมดทั้งแผ่น !

หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะกลมเล็กของน้องสี่ ‘หนุ่มน้อยช่างผอมแห้งเหลือเกิน’ นางอยากให้น้องชายทานเยอะ ๆ แม้เด็กน้อยจะยังมิได้เรียนหนังสือเช่นพี่ชาย แต่เขาก็ควรได้เติบโตอย่างแข็งแรงและเฉลียวฉลาด

“น้องสี่ รอให้เจ้าอายุครบ 6 ขวบแล้วข้าจะส่งไปเรียนหนังสือ ดีหรือไม่ ? ” เมื่อหลินเว่ยเว่ยมองเจ้าตัวน้อยที่ตัวผอมแห้ง แข้งขาก็เล็กเหมือนตะเกียบเดินได้ นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างบอกมิถูก

เด็กน้อยชูมือขึ้นด้วยความดีใจ ในแววตาของเขาสุกสกาวด้วยความตื่นเต้น “พี่รองกล่าวจริงหรือ ? ปีนี้ข้าจะอายุ 6 ขวบแล้ว ! ”

หลินเว่ยเว่ยมองน้องชายอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เขายังสูงไม่เท่าเด็ก 4 ขวบเลยด้วยซ้ำ หากเขายังผอมแห้งเช่นนี้ต่อไป คงมีคนเชื่อว่าเขาอายุเพียงสามสี่ขวบเป็นแน่…เด็กน้อยผู้น่าสงสารเอ๋ย เจ้าขาดสารอาหารมากเกินไปแล้ว!

“ที่เจ้าเอ่ยถึงคือการนับอายุแบบซวีซุ่ย4 ใช่หรือไม่ ? แต่ที่ข้าเอ่ยถึงคือการนับอายุแบบโจวซุ่ย5 ต่างหาก ! ” หลินเว่ยเว่ยอุ้มน้องชายขึ้นมาแล้วมองดวงตาของเขาอย่างแน่วแน่ “ปีหน้าก็ยังทัน รอให้เจ้าสูงเท่าเอวของข้าเสียก่อน แล้วข้าจะส่งไปเรียน ดังนั้นเจ้าจงรีบทานข้าวเสียเถิด จะได้โตไว ๆ ”

เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจขณะที่กำลังกัดชงโหยวปิงไปคำใหญ่ หลินเว่ยเว่ยที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางลูบพุงน้อย ๆ ของน้องชายแล้วแย่งชงโหยวปิงในมือเด็กน้อยกลับมา “ยังไม่ต้องรีบหรอก ! หากเจ้าทานมากเกินไปก็มีหวังว่าท้องจะแตกดัง ‘ผลัวะ’ แน่นอน ! ”

น้องสี่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตากลมโตของเขาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับสุนัขตัวน้อยที่ทั้งน่ารักและเชื่อฟังเจ้าของก็มิปาน

1 ต้าฮว๋า แปลว่า เด็กยักษ์ หรือใช้เรียกบุตรชายคนโตของบ้าน

2 หาวจูหยี คือ ปลาปักเป้า

3 ชงโหยวปิง คือโรตีต้นหอม แผ่นโรตีไม่บางและไม่หนามาก ทำจากแป้งสาลีใส่ไข่ใส่ต้นหอมซอย ปรุงรสด้วยเกลือ มีเทคนิคการนวดเล็กน้อยและนำมาทอดกรอบ

4 การนับอายุแบบซวีซุ่ย คือการนับอายุหลังคลอดได้ 1 วันก็นับอายุเป็น 1 ขวบ เนื่องจากรวมอายุในครรภ์ไปด้วย

5 การนับอายุแบบโจวซุ่ย คือการนับอายุแบบปัจจุบันโดยนับจากวันเดือนปีเกิดของวันที่คลอดออกมาเป็นการเริ่มนับวันที่ 1 จวบจนเมื่อครบรอบ 1 ปี คือวันเกิดของตนจึงนับเป็น 1 ขวบ

ตอนต่อไป