ตอนที่ 57 ลิสตัน หัวข้อสั่นสะท้านโลลิ

คุณหนูโลลิคลั่งเนีย・ลิสตัน

57 หัวข้อสะท้านใจ

 

“โฮระ ดื่มนี่ซะสิ”

 

“ขอบคุณ เป็นคนดีเหมือนกันเน๊”

 

“จริง ๆ แล้ว ข้าอยากให้เด็กเวรอย่างเจ้ารีบกลับบ้านไปนอนได้แล้ว”

 

ฉันเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีสำหรับเด็กอายุหกขวบอย่างแน่นอน

 

ม๊า จะเป็นการดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่ที่จะรีบพูดเรื่องที่จำเป็น และรีบออกไป

เป็นเรื่องแย่หากใช้เวลามากเกินแล้วต้องมากังวลกับริโนกิสซึ่งเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ ความไม่ไว้วางใจและความกังวลเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

 

“……เป็นคนดีจริง ๆ น๊า”

 

ฉันหยิบแก้วที่อันเซลส่งให้ และสังเกต

 

ไม่ใช่เหล้า

 

ตามที่คาดไว้ ฉันไม่มีทางขอเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ได้ในวัยเท่านี้ แต่ก็จะเป็นเรื่องช่วยไม่ได้หากเขาเสิร์ฟเอง――ฉันแอบคาดหวังไว้ แต่ดูเหมือนอันเซลจะหยิบน้ำผลไม้ออกมาผสมเป็นค็อกเทล ……ชิ แม้ว่าเขาจะอยู่ในโลกใต้พิภพ แต่ก็ยังมีสามัญสำนึก……เอาเหล้าม๊า ที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่สนามเด็กเล่นซะหน่อย

 

ม๊า……ฉันอดไม่ได้ที่จะโกรธ ดังนั้นตอนนี้เรามาจัดการเรื่องให้จบกันเถอะ

 

“แล้ว? มีใครอยากสู้กับฉันไหม?”

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันพูดทุกครั้งที่มาที่นี่

สองครั้งแรก อันเซลเตรียมไว้รวมทั้งตัวเขาเองด้วย แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเลย

ดูเหมือนว่าชื่อเสียงและความสำเร็จของฉันจะแพร่กระจายไปทั่วที่นี่มากเกินไป

 

ม๊า ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

 

ดูเหมือนว่าเพราะฉันบดขยี้กลุ่มอันธพาลที่เรียกว่าสุนัขไป

บางทีนั่นอาจเป็นอันธพาลเกือบร้อยคนที่มาเล่นที่นี่หลังจากฉันต่อสู้กับอันเซลเมื่อปีที่แล้ว

 

ในเหตุการณ์เช่นนั้น จะมีอะไรมายืนยันได้ว่าใครคือคู่ต่อสู้และสถานการณ์เป็นยังไง

นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันบดขยี้ไปโดยไม่รู้

 

ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหลังจากนั้น แต่……ม๊า ประเมินคราว ๆ แล้ว ฉันไม่คิดว่าจะมีใครตาย แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ต้องพักฟื้นจนเข็ดหลาบ

 

ฉันจำได้แค่ว่าคืนนั้นวิวาทกันสนุกมาก

กำปั้นที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทำให้รู้สึกดีสุด ๆ

 

“ไม่มีใครอีกแล้ว”

 

“ฉันไม่ว่าอะไรนะถ้าเป็นนาย”

 

“โทษที ข้าไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว นอกจากจะไม่มีความหวังที่จะชนะ ข้ายังมีงานนี่แล้วด้วย”

 

โอ๊ย เดี่ยวสิ

 

เขากลายเป็นบาร์เทนเดอร์ เจ้าของบาร์โดยสมบูรณ์แล้วงั้นเรอะ

แม้ว่าฉันจะคาดหวังความสามารถของอันเซลที่ไม่มีความเมตตาต่อเด็ก แต่เขามีความรู้สึกที่อยากมีชีวิตอยู่จริง ๆ

 

“อย่าพูดอะไรที่เหงาแบบนั้นสิ”

 

“อะ?”

 

“เรามาบ้าคลั่งไปด้วยกันเถอะ

เอาชนะผู้ที่ต่อต้านคุณ เตะผู้ที่ขวางทางคุณให้กระเด็น และมุ่งสู่อำนาจสูงสุดที่นองเลือดในขณะที่สร้างฝนเลือดให้สาดกระเซ็น วิถีชีวิตเช่นนี้ถึงจะเหมาะกับอันเซล”

 

“ข้าแน่ใจว่าแบบนั้นเหมาะกับเธอแน่นอน เป็นผู้เดียวที่จะไปสู่อำนาจสูงสุดสุดอันตรายนั่นได้”

 

นั่นคือเหตุผลที่ฉันบอกว่าเหงา

 

ฉันจะไม่พูดว่าฉันต้องการสหายเพื่อไปสู่อำนาจสูงสุดแน่นอน แต่เมื่อฉันได้ยินว่าผู้ที่แสวงหาความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะในหนทางศิลปะการต่อสู้หรืออะไรก็ตาม ได้ละทิ้งเส้นทางของพวกเขา ก็ทำให้เหงามาก

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรู แต่พวกเขาก็เป็นสหายที่แสวงหาความแข็งแกร่งเช่นกัน

 

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นจำนวนสหายลดลง

อำนาจสูงสุดนั้นโดดเดี่ยว เพราะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้

 

 

 

“――เด็กนี้เรอะคือลิลลี่!?”

 

หืม?

 

ในตอนที่ฉันกำลังคิดว่าจะลากอันเซลที่ทำตัวเหมือนได้เกิดใหม่ให้กลับเข้าไปในตรอกยังไงดี

เมื่อมองย้อนกลับไปที่คนพูดชื่อเล่นของฉัน ชายร่างใหญ่ที่ไว้ผมสกินเฮดอวดดีและกล้ามโตกำลังยืนโชว์ออฟอยู่

 

“โอ้ย ทำไมพวกแกถึงกลัวเด็กเวรตัวเล็กแค่นี้กันว่ะ!? เป็นข้าจับหักคอได้ในครั้งเดียวด้วยซ้ำ!”

 

และในขณะที่มองลงมาที่ฉันเขาก็หัวเราะเยาะแบบนั้น

 

คนรอบข้างต่างหัวเราะคิกคัก

คงเพราะเป็นภาพชินตาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแถวนี้ ฉันเองก็ชินแล้วเหมือนกัน อ้า คราวนี้เป็นเขาสินะที่กำลังจะโดนอัดเละ

 

……อื~ม ก็เป็นชีวิตที่ฟังดูดีล่ะน๊า

 

แม้ว่าเขาจะเป็นชายร่างใหญ่ แม้ว่าจะมีกล้ามเนื้อมาก เขาก็แพ้ผู้ช่วยอาจารย์ของสำนักทลายสวรรค์ที่สถาบันอยู่ดี

แน่นอนว่าในด้านพละกำลังผู้ช่วยอาจารย์นั้นเหนือกว่า

ในกรณีของผู้ชายคนนี้ เขาเป็นแค่อันธพาลที่มีหุ่นและผมที่ดก

 

สิ่งเดียวที่ชนะคือความนุ่มฟูของศีรษะต่อความตายระดับรากผม

 

“ขอโทษด้วย เรากำลังคุยเรื่องสำคัญกันยู่ ช่วยดื่มเงียบ ๆ ตรงนั้นทีได้ไหม?”

 

“อะ!?”

 

“หมอนี่ฉันเลี้ยงเอง ไปดื่มแบบผู้ใหญ่ตรงนั้นกันเถอะ”

 

เมื่อฉันพูดว่า 「ไปตรงนั้น」 อันเซลดูเหมือนจะเดาได้ในทันที เขารินเหล้าใส่แก้วแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์

 

ชายผมสกินเฮดกระดกเหล้าในอึกเดียวก่อนกระแทกแก้วลงบนเคาน์เตอร์ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

 

“ข้าจะทำให้แกร้องไห้เอง ออกไปด้วยกันซะ ยัยเด็กเวร!แต่ต่อไปจะเป็นแก ไอ้บาร์เทนเดอร์ เข้าใจไหมว่ะ!”

 

“อะ? ข้าด้วย?”

 

“แกเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่รึไงห๊า! แล้วข้าจะอยู่ที่นี่ด้วยครึ่งราคาเท่านั้น!”

 

การโต้เถียงที่อุกอาจประทุขึ้น แต่อันเซลก็ไม่ได้เปลี่ยนใบหน้าที่ไม่แยแสของเขา

 

“อ้า ใช้ ถ้าแกแข็งแกร่งกว่าลิลลี่ ข้าก็ฝากตัวด้วย”

 

เป็นปฏิกิริยาที่ไม่วิตกกังวลอะไรเป็นพิเศษ

หรือจะพูดว่า เป็นผู้อาวุโสที่เคยชินกับเรื่องสถานการณ์ประมาณนี้ไปแล้ว

 

อีกอย่างเจ้าสกินเฮดนี่เป็นพวกที่เรียกว่าทาการิ*รึเปล่า

(*พวกข่มขู่เรียงร้องเงิน สิ่งของ หรืออาหารด้วยการร้องไห้)

 

――จ๊า แปลว่าไม่ทำร้ายมโนธรรม ฉันสามารถซัดเขาได้อย่างสบายใจ

 

“อันเซล อยากจัดการเองไหม?”

 

“เป็นลิลลี่ที่ขายการต่อสู้ ขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอเลย”

 

อ้า เหรอ ถึงจะยุ่งยากแต่ก็ช่วยไม่ได้ ฉันคงสนุกได้บ้างถ้าเขาแข็งแกร่งมากอีกหน่อย

 

“จ๊า ถ้าอย่างงั้นไปข้างนอกกันเถอะ อะ ทิ้งน้ำผลไม้ไว้ เดี๋ยวฉันจะกลับมา”

 

ถ้ายังเป็นซากปรักหักพัง พวกเราคงสู้กันที่นี่ได้ แต่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นบาร์เรียบร้อยไปแล้ว

ฉันไม่อยากทำให้สกปรก ไม่อยากทำให้พัง และไม่อยากรบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ ฉันไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ

 

“ดื่มซะสิว่ะ อีกเดี๋ยวแกจะไม่ได้กลับมาเป็นครั้งที่สอง”

 

“ค๊าค๊า ดีดี ฉันจะทำให้คุณได้นอนอย่างนุ่มนวลเอง งั้นไปกันเถอะ”

 

“อย่ามาทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะโว๊ย! เด็กเวรมันแกต่างหาก!”

 

 

 

――แล้ว 

 

“ไม่มีคนที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ? จะเอาเป็นสัตว์อสูรก็ได้น่ะ?”

 

ฉันพาสกินเฮดจอมเอะอะเข้านอนอย่างรวดเร็ว กลับเข้าไปในบาร์ และพูดคุยต่อจากเมื่อกี้

 

ม๊า ฉันไม่ได้คาดหวังมากนัก

เริ่มแรกก็มีผู้ท้าชิงหรอก แต่ตอนนี้จบแล้ว……สกินเฮดก่อนหน้านี้ก็คงไม่กล้าท้าทายฉันอีกต่อไป ถึงจะมาก็คงทำได้แค่รบกวน นั่นอ่อนแอมากเกินไป

 

แต่ทว่า แต่

 

“ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะตอบสนองความปรารถนาของเธอได้ไหม แต่ก็มีเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งจะบอก”

 

“หืม?”

 

“เร็ว ๆ นี้ กำลังจะมีการต่อสู้แบบทัวร์นาเมนต์ที่สังเวียนใต้ดิน”

 

ใต้ดิน สังเวียนใต้ดิน?

 

――ช่างเป็นคำที่คุกรุ่นอยู่ในส่วนลึกของความีเหตุผล และกระตุ้นไฟแห่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้