ตอนที่ 61 สเปรย์ไล่หมาป่า
ตอนที่ 61 สเปรย์ไล่หมาป่า
หลินเอ้อร์ฝูไม่ต้องการรับหญิงชราไปเลี้ยงดูเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาข้อแก้ตัว “ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ได้นะครับ บ้านของผมจะพังมิพังแหล่อยู่แล้ว เอาหล่อนไปอยู่ด้วยสภาพชีวิตจะยิ่งย่ำแย่”
ผู้ใหญ่บ้านไม่ยอม “พี่ใหญ่ของคุณยกบ้านหลักไว้ให้ แล้วสร้างบ้านหลังใหม่ด้วยเงินของเขาเอง หมายความว่าในลานนี้มีบ้านตั้งหลายหลัง ก่อนหน้านี้แม่คุณยังอยู่ได้เลย คุณเองก็ควรรับช่วงดูแลท่านต่อ”
แม่เฒ่าหลินนั่งลงและเริ่มคร่ำครวญ “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะปกป้องบ้านหลังนี้ของครอบครัวให้ถึงที่สุด ต้าฝูเอ๊ย เมียกับลูกของแกจะไล่ฉันออกไปจากที่นี่ ตั้งแต่แกจากไป ก็ไม่มีใครอยากดูแลฉัน…”
หลินเซี่ยโต้กลับ “แต่คุณสมรู้ร่วมคิดกับหวังต้าจ้วงจนเขาได้ใจและพยายามข่มขืนฉันกับเสี่ยวเยี่ยนโดยที่พวกเราไม่สมยอม ถ้าฉันไปแจ้งความตอนนี้ ไม่ใช่แค่หวังต้าจ้วงเท่านั้น คุณเองก็ต้องรับโทษทางกฎหมายด้วย จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ตำรวจมาลากคอไปดีล่ะ?”
แม่เฒ่าหลินโต้เถียงด้วยแรงอารมณ์ “แกพูดเรื่องไร้สาระอะไร ฉันไม่เคยทำแบบนั้น”
“ไม่เคยเหรอ? แล้วใครเป็นคนหลอกให้เสี่ยวเยี่ยนออกไปเจอกับหวังต้าจ้วง?” หลินเซี่ยถาม
หวังจวี๋เซียงแก้ตัว “หล่อนบอกว่ายินดีไปทำความรู้จักกับหวังต้าจ้วงเองต่างหาก หลินเยี่ยน เธอเป็นคนพูดแบบนั้นจริงไหม?”
หลินเยี่ยนก้มหน้าลงพูดอ้อมแอ้ม “คุณย่ายืนกรานจะบังคับให้ฉันออกไปให้ได้ ฉันกลัวว่าพวกคุณจะทุบตีฉัน ก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากยอมออกไปเจอหวังต้าจ้วง”
แม่เฒ่าหลินเริ่มปัดความรับผิดชอบ “จวี๋เซียง เธอนั่นแหละที่โกหก ทำไมเรื่องถึงออกมาเป็นแบบนี้ไปได้? เธอไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอแค่อยากนัดเสี่ยวเยี่ยนออกไปคุยเท่านั้น?”
หวังจวี๋เซียงบ่นพึมพำ “ใครจะไปรู้ว่าเขาจะใจร้อนแบบนั้นล่ะ”
“จะเอายังไงก็ว่ามาเร็ว เรื่องนี้ต้องได้รับการสะสางภายในวันนี้ ความอดทนของเรามีจำกัด ถ้ายังไม่มีการเคลื่อนไหว พวกเราจะไปแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”
หลินเอ้อร์ฝูและหวังจวี๋เซียงยินดีที่จะย้ายออกไป แต่พวกเขาไม่ต้องการเลี้ยงดูหญิงชรา
หญิงชราเองก็ไม่อยากย้ายออกไปเช่นกัน
แต่หล่อนก็กลัวว่าหลินเซี่ยอาจจะวิ่งแจ้นไปแจ้งตำรวจจริง ๆ
แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องยังสู้เฉินเจียเหอไม่ได้
หวังจวี๋เซียงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
หล่อนไม่ต้องการรับใช้หญิงชราที่วัน ๆ แทบไม่ยอมขยับตัวไปทำอะไรเลย หล่อนไม่อยากทำงานบ้านยิบย่อยพวกนั้น
ตั้งแต่มีหลิวกุ้ยอิงอยู่ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่โดยที่ไม่เคยเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเลย ถ้าต้องแยกครอบครัวจริง ๆ ภาระจะมาตกอยู่กับหล่อนทันที ยิ่งถ้าต้องคอยปรนนิบัติคนอื่นยิ่งเป็นไปไม่ได้
เฉินเจียเหอมองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“หัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้กระทบต่อชื่อเสียงของคุณ เราจึงพยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุด และขอให้คุณตัดสินใจเรื่องนี้แทนเรา ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปแจ้งความจริง ๆ”
หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินแบบนั้น ทัศนคติของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น “พี่สะใภ้ ถ้าคุณไม่อยากโดนฟ้องร้อง งั้นก็คืนเงินค่าสินสอดของลูกสาวหลิวกุ้ยอิงให้พวกเขาโดยเร็ว หลังจากนั้นให้ย้ายไปที่บ้านของเอ้อร์ฝูทันที ถ้าไม่ยอมทำตามโดยดี คราวนี้ผมคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ”
“เซี่ยเซี่ย เธอเป็นหลานสาวฉัน ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นใครกันที่ควรได้รับเงินค่าสินสอดจากการแต่งงานครั้งนี้? เธอลืมธรรมเนียมการเคารพผู้อาวุโสไปแล้วเหรอ?” แม่เฒ่าหลินคิดว่าตัวเองยอมย้ายออกไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวก็ได้ แต่ไม่อยากคืนเงินค่าสินสอดให้หลินเซี่ยจริง ๆ เพราะนางอยากเก็บเอาไว้เองมากกว่า
“ตั้งแต่ฉันกลับมา คุณไม่เคยเอาใจใส่ฉันเลยสักวัน ถ้าอิงตามหลักกฎหมาย พ่อแม่ลูกเท่านั้นที่ถือเป็นญาติสายตรง แม่อุ้มท้องฉันมาตั้งเกือบสิบเดือน ย่ามีสิทธิ์อะไรมายึดเงินค่าสินสอดของฉันเหรอ? เอาเงินคืนมาให้เราซะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการจริง ๆ ถึงขั้นนั้นคุณต้องคืนเงินชดเชยส่วนหนึ่งของพ่อฉันมาด้วย”
หลินเซี่ยมีท่าทางแข็งกร้าว “ฉันให้เวลาคุณคิดสองนาที ไม่งั้นฉันไม่รับประกันว่าความอดทนจะหมดลงเมื่อไหร่”
“แล้วงานของอารองเธอล่ะ? จะยังเป็นไปตามสัญญาเดิมหรือเปล่า?” แม่เฒ่าหลินถามอย่างไม่เต็มใจ
อย่างน้อยขอแค่ลูกชายมีงานทำก็ยังดี
“พวกคุณเกือบทำลายชีวิตน้องสาวของฉัน ยังหวังจะให้สามีฉันฝากอารองเข้าทำงานอีกเหรอ? ช่างน่าไม่อายซะจริง ๆ”
แม่เฒ่าหลินมีอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง พูดข่มขู่ว่า “ถ้าเธอกลับคำ ฉันจะจับเธอหย่ากับเฉินเจียเหอ แล้วฉันจะไปบอกโจวต้าหยาให้ไล่เธอออกมาจากบ้านหลังนั้นซะ”
เฉินเจียเหอพูดอย่างเย็นชา “คุณไม่จำเป็นต้องไปหาแม่ผมหรอก หลินเซี่ยถูกหวังต้าจ้วงคิดรวบรัดเอาเปรียบ ผมจะเป็นคนเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินเซี่ยเอง คืนเงินสินสอดของผมมาซะ”
“เธอ…” แม่เฒ่าหลินหวาดกลัวมากจนเหงื่อออกไม่หยุด เฉินเจียเหอมาจากในเมือง แน่นอนว่าเขาไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง
แม่เฒ่าหลินแค่หวังประโยชน์จากพวกเขา จึงไม่คิดจะจับหลินเซี่ยหย่ากับเฉินเจียเหอ
พอคิดทบทวนแล้วก็นึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่ตัวเองทำให้เรื่องบานปลายได้ขนาดนี้
หลินเซี่ยมองไปที่หญิงชราซึ่งกำลังบ้าคลั่ง เตือนนางอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า? คุณจะเอายังไงกับฉัน! ฉันเป็นคนเดินเท้าเปล่าแต่ไม่หวาดกลัวคนสวมรองเท้า(1)อยู่แล้ว ย่าคะ หยุดเป็นคนเห็นแก่ตัวไร้จิตสำนึกสักทีเถอะ คุณแก่มากแล้ว จะเป็นคนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ถ้าคุณไม่ทำตัวไร้มนุษยธรรม ในอนาคตฉันอาจจะยังนับถือคุณเป็นย่า แต่ถ้ายังยืนกรานจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก คราวนี้ระวังบั้นปลายชีวิตจะไม่เหลือใคร”
คำพูดของหลินเซี่ยแหลมคมราวกับมีด ทุกประโยคแทงทะลุหัวใจหญิงชรา
ตั้งแต่เฉินเจียเหอบอกว่าเขาจะเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินเซี่ย แม่เฒ่าหลินถึงรู้ว่าเรื่องนี้จริงจังกว่าที่คิด จนนางไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
ทุกอย่างหายวับไปกับตา
เมื่อหลินเอ้อร์ฝูได้ยินว่าตัวเองหมดโอกาสในการทำงานแล้ว เขาก็หันไปสาปแช่งหวังจวี๋เซียง “นังประสาทเอ๊ย ใครใช้ให้เธอแนะนำเสี่ยวเยี่ยนกับลูกพี่ลูกน้องของเธอวะ?”
“ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อตอบแทนครอบครัวลูกพี่ลูกน้องฉันไม่ใช่หรือไง? ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาเขาแบ่งเนื้อให้เราไม่น้อยเลยนะ”
“งั้นก็ยกลูกสาวตัวเองให้ไปแต่งงานกับเขาสิ จะได้กินเนื้อทุกเช้าเย็นจนเอียนกันไปข้าง”
ในที่สุดแม่เฒ่าหลินก็ยอมหยิบเงินค่าสินสอดออกมาคืน
เฉินเจียเหอมอบสินสอดให้มูลค่ารวมหนึ่งพันสองร้อยหยวน ใช้ไปแล้วสามร้อยหยวน เหลืออีกเก้าร้อยหยวน
เฉินเจียเหอบอกให้เธอคืนเงินมาให้ครบหนึ่งพันสองร้อย แต่แม่เฒ่าหลินอ้างว่าเขาได้ตัวหลินเซี่ยไปแล้วนับว่าหายกัน
ยอมคืนให้แค่เก้าร้อยเท่านั้น
หลินเซี่ยตกลงรับเงินตามนั้น
หลังจากนับครบแล้วก็เก็บพวกมันยัดใส่กระเป๋า
หลินเยี่ยนจะเข้าบ้านไปย้ายเตียงเตาของหญิงชรา รวมถึงเก็บข้าวของของนางออกมาให้หมด
แม่เฒ่าหลินปฏิเสธบอกว่าเตียงและข้าวของเป็นของนาง นางจะย้ายออกไปเอง
หลินเอ้อร์ฝูถือโอกาสบอกว่าเขาจะหาคนมาขนย้ายในวันถัดไป ให้หญิงชราอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน ส่วนพวกเขาจะกลับไปทำความสะอาดบ้าน แต่หลินเซี่ยกลัวว่าคนเหล่านี้จะยืดค่ำคืนนี้ให้ยาวนานออกไป ทำให้ฝันร้ายไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือจากเฉินเจียเหอและหัวหน้าหมู่บ้านโดยตรง
“แม่ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านเอง พวกเธอสามคนรวมฉันอีกคน คราวนี้คงย้ายเตียงออกมาได้ไม่ยาก”
หลินเอ้อร์ฝูหรือจะเต็มใจช่วยขนของ หลิวกุ้ยอิงจึงอาสาเข้าไปช่วยโดยไม่พูดอะไรอีก ทั้งสี่คนจึงยกเตียงเตาออกมานอกบ้านได้สำเร็จ
เมื่อเห็นว่าการแยกครอบครัวได้รับการตัดสินแน่ชัดแล้ว หลินเอ้อร์ฝู หวังจวี๋เซียง และคนอื่น ๆ ก็เริ่มเก็บข้าวของ
“ข้าวของและวัตถุดิบในช่วงปีใหม่พวกเราเป็นคนซื้อ ขนออกไปให้หมด”
“แป้งทำบะหมี่ในตู้ก็เป็นของเราเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขนออกไปเอง”
“ไหนจะเครื่องมือทำการเกษตรพวกนี้ ก็เป็นของครอบครัวเราทั้งนั้น”
หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขาเป็นเหมือนโจรสองผัวเมีย พวกเขาขนทุกสิ่งทุกอย่างที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนซื้อมาออกไปทั้งหมด
แป้งทำบะหมี่พวกนั้นหลิวกุ้ยอิงเป็นคนบดจากธัญพืชด้วยตัวเอง แถมยังนวดข้าวไปขายจนได้เงินมา
หลินเอ้อร์ฝูมีจิตสำนึกอยู่บ้าง จึงโกยออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
จากนั้นเขาก็เริ่มกวาดข้าวของไปรอบ ๆ ลานบ้านเหมือนโจรยกเค้า
หลิวกุ้ยอิงต้องการจะห้ามเขา แต่หลินเซี่ยรั้งไว้พลางพูดว่า “ให้พวกเขาเอาไปเถอะค่ะ”
ของทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า อยากได้นักก็เอาออกไปให้หมด ขอแค่อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก
ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หลินเอ้อร์ฝูอาจจะหาข้อแก้ตัวต่าง ๆ เพื่อขอกุญแจและยึดครองบ้าน
หลังจากยุ่งกับการขนของตลอดทั้งบ่าย ทั้งผู้คน เครื่องเรือน รวมถึงสิ่งของต่าง ๆ ก็แทบไม่เหลือ บรรยากาศกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
เมื่อหญิงชราออกไปแล้วเห็นผู้คนที่มาเฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่ข้างนอก นางก็เริ่มร้องห่มร้องไห้ พร่ำบ่นให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับความอกตัญญูของหลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ย
แต่ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรู้ความจริงดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหลิวกุ้ยอิงรับใช้แม่สามีอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะลูกสะใภ้ในหมู่บ้านที่ถูกแม่สามีใจร้ายกดขี่ ต่างก็เห็นใจกับสิ่งที่หลิวกุ้ยอิงต้องประสบพบเจอกันทั้งนั้น
พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกโล่งใจมากที่เห็นว่าหญิงชราถูกระเห็จออกไป
ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านเห็นกันหมดว่านางสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง พวกเขายังมีหน้าไปวิพากษ์วิจารณ์ลูกสะใภ้กับหลานสาวของตัวเองอีก
ทันทีที่หญิงชราและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็ฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องในทางลบของพวกเธอให้กับชาวบ้านคนอื่น ๆ จากนั้นก็เพิกเฉยต่อพวกเขา และปิดประตูเสียงดังปัง
หลินเซี่ยหยิบเงินสินสอดออกมา แล้วมอบให้หลิวกุ้ยอิง “แม่ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนเอาเงินนี้ไปซื้อของมาทำกับข้าวฉลองปีใหม่เถอะ พรุ่งนี้วันที่สามสิบ ตลาดน่าจะยังเปิดอยู่”
หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธ “ไม่จำเป็นต้องซื้อหรอก แค่ลูกกลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้านก็พอแล้ว”
“เชื่อฉันเถอะค่ะ พรุ่งนี้ไปซื้อข้าวสาร บะหมี่ และผักมาติดตู้ไว้ ลองดูว่าในหมู่บ้านมีใครขายเนื้อบ้าง ขอซื้อเขามาสักสองชั่งก็ได้”
เธอไม่ลืมเตือนอย่างจริงจัง “อย่าลืมปิดประตูไว้ให้แน่นหนาตลอดเวลา อย่าให้หลินเอ้อร์ฝูหรือคนอื่น ๆ เข้ามาเด็ดขาด รอจนกว่าจะสิ้นสุดวันหยุดปีใหม่ เราค่อยย้ายออกไปจากที่นี่”
“เซี่ยเซี่ย ลูกเอาเงินนี้ไปเถอะ แม่ไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดีกับลูกเลยสักวัน ไม่กล้ารับเงินค่าสินสอดก้อนนี้เอาไว้จริง ๆ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก็บไว้ให้ก่อน แล้วเราจะใช้เงินจำนวนนี้เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจหลังจากที่เราย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง”
หลินเซี่ยมอบเงินเดือนของหลินเยี่ยนคืนให้หล่อน และให้เงินหลิวกุ้ยอิงติดตัวไว้อีกหนึ่งร้อยหยวน จากนั้นก็เก็บเงินส่วนที่เหลือไว้
หลิวกุ้ยอิงเปิดตู้ดูแป้งทำบะหมี่ หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขากวาดเอาผักทั้งหมดสำหรับทำอาหารในช่วงปีใหม่ออกไป เหลือไว้แค่มันฝรั่ง
หล่อนจึงทำได้แต่บะหมี่ซุปใสง่าย ๆ เท่านั้น หลังจากที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกินเสร็จ พวกเขาก็ขอตัวกลับบ้าน ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว หลินเยี่ยนจึงหาไฟฉายให้พวกเขา ถึงรู้ว่าแม้แต่ไฟฉายหวังจวี๋เซียงก็เอาไปด้วยเหมือนกัน
พวกเขาทั้งสองทำอะไรไม่ได้นอกจากฝ่าความมืดเดินกลับบ้าน
หลินเซี่ยกลัวอันตรายบนท้องถนน จึงคว้าแขนเสื้อของเฉินเจียเหอไว้
เฉินเจียเหอสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ เขาขยับฝ่ามือใหญ่หลายครั้ง จากนั้นก็ตัดสินใจจับมือเธอไว้โดยตรง
เมื่อมือของหลินเซี่ยสัมผัสกับฝ่ามืออันอบอุ่นและแข็งแกร่งของเขา เธอรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ
จึงปล่อยให้เขาจับมือตัวเองต่อไป
แล้วก็พบว่าตัวเองไม่มีอาการคลื่นไส้เหมือนเมื่อก่อน
“ทำไมตาของหวังต้าจ้วงถึงเป็นแบบนั้นไปได้?” ในที่สุดเฉินเจียเหอก็ถามคำถามที่ตัวเองสงสัย
หลินเซี่ยน่าจะทำอะไรบางอย่างจนคนคนนั้นสูญเสียการมองเห็น เธอถึงมีโอกาสเอาชนะเขา
“เขาคิดจะเอาเปรียบฉัน ทันทีที่เขาขยับเข้ามาใกล้ ฉันก็สาดสเปรย์ไล่หมาป่าใส่ตาเขาไปตรงๆ น่ะค่ะ”
“สเปรย์ไล่หมาป่าคืออะไร?” เขาถาม
หลินเซี่ยตอบ “ผงพริกน่ะสิคะ วันนี้ฉันกำลังตากพริกป่นอยู่พอดี ก่อนออกไปเจอเขา ฉันคว้าผงพริกติดไปด้วยหนึ่งกำมือ”
ริมฝีปากของเฉินเจียเหอกระตุกเล็กน้อย เอ่ยชมเชยเธอ “คุณนี่รู้จักวิธีป้องกันตัวดีแท้”
“หลังจากที่ฉันโดนขโมยวิกตอนอยู่ในเมืองเมื่อสองปีที่แล้ว ฉันก็เรียนรู้ที่จะป้องกันตัว ถ้าออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ฉันต้องพกสเปรย์พริกไทยติดตัวตลอดเวลา ไม่งั้นเกิดไปเจอผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่และมีเรี่ยวแรงมากกว่า แล้วเขาวางแผนชั่วร้ายกับฉันขึ้นมา ฉันได้กลายเป็นลูกแกะรอเชือดกันพอดี”
เฉินเจียเหอ “…”
ทำไมถึงรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกลกันนะ
………………………………………………………………………………………………………………..
(1) เดินเท้าเปล่าไม่หวาดกลัวคนสวมรองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ไม่หวาดกลัวคนที่มีอำนาจ
สารจากผู้แปล
เฮ้อ ตัววุ่นวายออกไปแล้ว ได้มีชีวิตกันอย่างสงบสุขสักที
เซี่ยเซี่ยเอาชนะความกลัวในใจได้แล้ว ยินดีด้วยค่ะ
ไหหม่า(海馬)