ตอนที่ 62 อุปสรรคทางจิตใจหมดไป จูบได้แล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 62 อุปสรรคทางจิตใจหมดไป จูบได้แล้ว

ตอนที่ 62 อุปสรรคทางจิตใจหมดไป จูบได้แล้ว

เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน ทุกคนก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

แม่เฒ่าโจวถามด้วยความเป็นห่วง “เธอสองคนกินข้าวกันหรือยัง?”

“ผมกินมื้อเย็นที่บ้านแม่ยายมาแล้วครับ”

ผู้เฒ่าโจวถาม “เอ้อร์เลิ่งบอกว่าหวังต้าจ้วงโดนทุบตี ใครเป็นคนทำเหรอ?”

“คุณตา ฉันเป็นคนลงมือเองค่ะ เขาคิดจะทำรุ่มร่ามกับฉันก่อน ฉันเลยทุบเขาไม่ยั้ง ถือเป็นการป้องกันตัว”

หลินเซี่ยไม่ได้อธิบายอะไรมากว่าตัวเองทุบตีหวังต้าจ้วงได้อย่างไร เธอมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นสำคัญก่อนจะพูดว่า “แม่ฉันแยกครอบครัวออกมาจากบ้านของอารองแล้วค่ะ พวกเราก็เลยกลับมาช้า”

“แยกครอบครัว?” ทุกคนแปลกใจ

หลินเซี่ยพยักหน้า

“ค่ะ แยกครอบครัวแล้ว ก่อนหน้านี้แม่ฉันกับเสี่ยวเยี่ยนต้องอยู่ภายใต้อำนาจของย่ากับอารอง ฉันเห็นแล้วก็ทนให้เขากดขี่พวกหล่อนไม่ได้อีกต่อไป แต่ละครอบครัวควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตอนนี้ย่าของฉันถูกย้ายไปอยู่กับครอบครัวของอารองแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันอีก พวกเขาจะไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องของพวกเราแม่ลูกอีกต่อไป”

“คุณตา คุณยายคะ หลังจากเรากลับเมืองไปแล้ว ถ้าตระกูลหลินมาหาพวกคุณ พยายามจะใช้ประโยชน์หรือขอให้พวกคุณช่วยทำอะไรต่าง ๆ อย่าตอบตกลงเด็ดขาดเชียวนะคะ ฉันไม่นับถือพวกเขาเป็นญาติอีก ชีวิตนี้ฉันเหลือแค่แม่กับน้องสาว จากนี้ไปคนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”

“เซี่ยเซี่ยกล้าหาญมาก ในที่สุดก็ตัดขาดจากญาติจอมปอกลอกพวกนั้นได้ซะที” หวังอวี้เสียยิ้มให้โจวลี่หรง และพูดว่า “ลี่หรง คราวนี้เธอก็ไม่ต้องกลัวแล้วสินะ? เซี่ยเซี่ยแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ”

โจวลี่หรงไม่สนใจหวังอวี้เสีย

ผู้เฒ่าโจวและแม่เฒ่าโจวดีใจมากที่ได้ยินข่าวดังกล่าว

พวกเขาพูดยิ้ม ๆ “เซี่ยเซี่ย พวกเราจะทำตามที่เธอบอก จะไม่สนใจพวกเขาอีก”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”

หู่จือยังคงเกาะติดอยู่กับโจวเจี้ยนกั๋วและหวังอวี้เสีย ปฏิเสธที่จะตามพวกเขากลับไป

เฉินเจียเหอเข้าไปในห้อง เอามือแตะพื้นเตียงเตา พบว่ามันยังอุ่นร้อนอยู่

คุณตาคงจุดไฟอุ่นเตียงรอพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว

เขามองไปที่ผู้หญิงที่กำลังซักผ้าโดยหันหลังให้ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ออกไปแบกตะกร้ามูลวัวเปียกจากสวนหลังบ้านมา แล้วใช้พลั่วตักใส่เข้าไปใต้ช่องเตียงเตา

เสร็จแล้วก็เข้าห้องไปนอน

ด้วยเหตุนี้ ตกตอนกลางคืน คนที่นอนอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงจึงพลิกตัวกลิ้งไปมาพร้อมกับตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น มือเล็ก ๆ ของเธอเอื้อมมากอดก่ายร่างของเขาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะขยับเข้ามาเบียดเขา

ท่ามกลางคืนที่มืดมิด ปากของชายคนนั้นโค้งงอเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะรวบร่างหญิงสาวด้านข้างให้เข้าหาตัวเบา ๆ แล้วผล็อยหลับไป

พอหลินเซี่ยตื่นนอน เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่แตกต่างจากปกติ เมื่อลองขยับมือดู ถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังสัมผัสกับบางอย่างที่มีผิวเรียบลื่น ทั้งยังนุ่มหยุ่นมากราวกับสัมผัสถูกผิวหนัง

เธอสัมผัสมันอีกครั้ง รอบนี้ความรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เธอจับอยู่ตอนนี้ต้องเป็นเนื้อคนแน่

เธอลืมตาขึ้น เห็นแสงสว่างส่องลอดเข้ามาผ่านทางหน้าต่างกระจก กระทั่งเห็นท่านอนของตัวเองอย่างชัดเจน ก็ตกใจมากจนรีบชักมือกลับ

เมื่อคืนเธอนอนให้เฉินเจียเหอกอดตั้งแต่เมื่อไหร่?

ไม่สิ แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงไม่ใส่เสื้อผ้ากันล่ะ?

เธอเป็นคนถอดเสื้อเขา หรือว่าเขาถอดเสื้อตัวเอง?

เธอกอดเขามานานแค่ไหนแล้วนะ?

เครื่องหมายคำถามสีดำปรากฏอยู่บนหน้าผาก

อย่างนั้นก็เถอะ ทำไมอาการทางจิตที่ควรเกิดขึ้นถึงไม่หลงเหลืออยู่แล้วล่ะ?

เมื่อคืนเธอนอนกอดเขาทั้งคืน แต่พอตื่นขึ้นมากลับปราศจากอาการไม่สบายทางร่างกายหรือจิตใจ

หรือที่เป็นแบบนั้นเพราะมันเกิดขึ้นในตอนที่เธอไม่มีสติ

สงสัยต้องลองทดสอบดูใหม่

หลินเซี่ยเห็นว่าเฉินเจียเหอไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ดังนั้นจึงค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาเบา ๆ

ไม่รู้สึกอึดอัดเลยแฮะ

ไหนลองจับอีกที

ไม่มีอาการคลื่นไส้ ไม่รู้สึกอยากอาเจียน

หัวใจของเธอเริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ในที่สุดก็มีความกล้าหาญเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

เธอค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ และจูบเขาเบา ๆ ที่ริมฝีปาก

จากนั้นก็หลับตาสัมผัสความรู้สึกภายในด้วยหัวใจ

ดูเหมือนจะไม่มีอาการอื่นใดนอกจากอาการใจสั่นและความกล้า ๆ กลัว ๆ

เมื่อได้รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะปลาบปลื้ม

อาการทางจิตที่เธอต้องทนทรมานอยู่กับมันมาสองชั่วชีวิต ดูเหมือนจะหายไปแล้วจริงเหรอเนี่ย?

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ”

เธอจูบแก้มชายคนนั้นด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง

ก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะขยับเคลื่อนออกห่าง จู่ ๆ ชายคนนั้นก็คว้าท้ายทอยน้อย ๆ ของเธอไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ แล้วเป็นฝ่ายจูบเธอแทน

เขาลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากบางของเขาจรดทาบทับริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธออย่างแม่นยำ จากนั้นเขาก็เริ่มระดมจูบเธออย่างไม่เลือกเวลา

ก่อนจะพลิกตัวทับร่างของหญิงสาวให้นอนราบไปอยู่ข้างใต้

การเคลื่อนไหวทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในชั่วหนึ่งลมหายใจ โดยที่ริมฝีปากของเขายังคงแนบสนิทอยู่กับเธอ

และแล้วฝ่ามือก็ค่อย ๆ เคลื่อนลงมา…

จูบของชายหนุ่มซึ่งบดขยี้อยู่บนริมฝีปากของเธอเป็นประหนึ่งหยาดฝนชโลมหัวใจ ตอนแรกหลินเซี่ยไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย รู้แค่ว่าอุปสรรคทางจิตใจ รวมถึงความกลัวและความคลื่นไส้ไม่ปรากฏขึ้นเลย ไม่ว่าจะจูบ หรือสัมผัสที่ลึกล้ำกว่านี้ หรือสิ่งอื่นใดของเขากลับไม่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

ตอนนี้เธอกำลังเผชิญกับใบหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นเพราะความใกล้ชิดของเฉินเจียเหอ รับรู้ถึงน้ำหนักของเขาที่กดทับบนร่างกายตัวเอง ร่างกายพลันสั่นสะท้านและร้อนรุ่ม

เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้น แล้วแตะแผ่นหลังของเขา

ปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยของเธอ ทำให้เขามีกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นมาก…

ทันทีที่เชื้อไฟเริ่มโหมกระหน่ำ อุณหภูมิภายใต้ผ้าห่มก็ไต่ขึ้นไปถึงระดับแผดเผา ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนลงไปดึงกางเกงลองจอนของเธอให้เลื่อนลง แต่ไก่ของใครบางคนกลับขันเสียงดังซะก่อน

จากนั้นไก่ก็ขันรับกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

เสียงไก่ขันดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน จากนั้นเสียงไอของผู้เฒ่าโจวก็ดังมาจากบ้านหลัก

สติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืน

หลินเซี่ยเขินอายเล็กน้อย ผลักเขาออกไปเบา ๆ “เช้าแล้วค่ะ”

เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอยังไม่อยากลุกขึ้น แม้ว่ามือของเขาจะไม่พยายามถอดเสื้อผ้าของเธออีกต่อไป แต่เขาก็กอดเธอไว้ไม่ยอมขยับ ลมหายใจยังคงหนักหน่วง

หลินเซี่ยเตือนเบา ๆ อีกครั้ง “ถึงเวลาต้องตื่นแล้ว”

“เซี่ยเซี่ย” ชายคนนั้นเรียกเธอด้วยเสียงแหบห้าว

“คะ”

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย โน้มตัวลงไปมองสบตาเธออย่างลึกซึ้งด้วยสายตาหวานล้ำ ถามด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหล “ทำไมคุณถึงจูบผมลับหลัง?”

หลินเซี่ยมองดวงตาของเขาที่ลึกล้ำราวกับสามารถดูดผู้คนเข้าไปได้ หัวใจของเธอพลันเต้นรัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ อธิบายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันอยากทดลอง เพราะอยากรู้ว่าอุปสรรคทางจิตใจที่เกิดจากฝันร้ายยังคงอยู่หรือเปล่า?”

“อืม? แล้วผลการทดสอบเป็นยังไงบ้าง?” เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาสดใส ใบหน้าหล่อเหลาของเขาฉายแววประหม่าอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงดูร้อนรนเล็กน้อย

เมื่อเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเขา หลินเซี่ยก็พูดอย่างเขินอาย “หลังจากฉันเอาชนะหวังต้าจ้วงได้ ดูเหมือนจะไม่เหลือเงาในใจอีกต่อไปแล้วค่ะ”

เฉินเจียเหอรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนี้ เขาโน้มศีรษะไปจูบไหล่เธออย่างกล้าหาญ กระซิบข้างหูเธอว่า “ถ้าผมรู้ว่ามันแก้ไขได้ง่ายแบบนี้ ผมน่าจะปล่อยให้คุณไล่ทุบเขาไปนานแล้ว”

“ครั้งหน้าผมขอจูบคุณอีกได้ไหม?” เขากดเธอนอนราบลงไปอีกครั้ง ถามความคิดเห็นเธอด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ

น้ำหนักเขากดทับหนักเกินไปจนหลินเซี่ยหายใจไม่ออก เธอผลักเขาออกห่าง และพึมพำโกรธเคือง “เมื่อกี้นี้คุณไม่ได้จูบไปแล้วหรอกเหรอ?”

“แล้วถ้ามากกว่านั้นล่ะ?” ขณะที่เขาพูดร่างกายของเขาก็กดทับลงมายิ่งกว่าเดิม จนหลินเซี่ยสัมผัสถึงความทรงพลังที่บางจุดของเขาได้อย่างชัดเจน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ว้ายยยย เขินจังเลย พอรู้ว่าเซี่ยเซี่ยไม่กลัวแล้วก็เอาใหญ่เลยนะ

ไหหม่า(海馬)