บทที่ 63 ไม่ชอบเถ้าแก่แซ่หลิว

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 63 ไม่ชอบเถ้าแก่แซ่หลิว

บทที่ 63 ไม่ชอบเถ้าแก่แซ่หลิว

“ฉันอยากซื้อไม้ชิงชันของคุณอู๋นะคะ เพียงแต่ไม่ทราบว่าคุณอู๋อยากขายที่ราคาเท่าไหร่” เจ้าหย้าหนานเอ่ยถาม

ปัจจุบันได้ยืนยันแล้วว่าไม้ชิงชันที่อู๋ฝานครอบครองคือของจริง และด้วยความต้องการไม้ชิงชันอย่างมาก ทำให้เจ้าหย้าหนานยิ่งต้องการซื้อไม้ชิงชันจากอู๋ฝาน

“ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เจ้าต้องการซื้อหาที่ราคาเท่าไหร่ครับ?” อู๋ฝานไม่คิดเป็นฝ่ายเสนอราคา โดยผลักหน้าที่นี้ให้แก่เจ้าหย้าหนาน

เจ้าหย้าหนานครุ่นคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไม้ชิงชันของคุณอู๋ถือว่าเป็นชั้นเลิศ ทางเราย่อมไม่จ่ายให้ราคาต่ำ เอาเป็นตันละหนึ่งล้านสี่แสนหยวนเป็นยังไงคะ?”

ได้ยินราคาเสนอของเจ้าหย้าหนาน ใจอู๋ฝานจึงถึงกับเต้นผิดจังหวะ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเตรียมใจมาบ้างแล้วก็ตาม

ตันละหนึ่งล้านสี่แสนหยวน! หน่วยคือเจ็ดหลัก เป็นหลักล้าน!

หากพูดตามตรง อู๋ฝานไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็นเงินมากมายขนาดนั้นตอนอายุยังน้อย และนี่ยังเป็นราคาต่อหนึ่งตัน!

แม้ว่าอู๋ฝานไม่ได้ชั่งน้ำหนักไม้ชิงชันที่นำมาส่งรอบนี้ แต่ประเมินโดยคร่าวแล้วก็น่าจะเป็นน้ำหนักหลายตัน หมายความถึงเงินหลายล้าน หรืออาจจะหลักสิบล้านหยวน!

นี่เขาถึงกับเปลี่ยนจากคนจนเป็นเศรษฐีเงินล้านกะทันหันได้เพียงนี้? เพียงเพราะแค่ขายไม้ไม่กี่ท่อน?

อู๋ฝานรู้สึกราวกับฝันไป ทุกสิ่งอย่างราวกับไม่ใช่ความจริง

พบเห็นอู๋ฝานไม่พูดตอบอะไรอยู่นาน เจ้าหย้าหนานจึงคิดว่าอู๋ฝานไม่พอใจราคา ดังนั้นจึงเอ่ยคำขึ้นมา “คุณอู๋ไม่พอใจกับราคาหรือไม่คะ? นี่เป็นข้อเสนอในส่วนของฉัน หากว่าคุณอู๋ไม่พอใจ อย่างนั้นเสนอราคาส่วนของคุณอู๋ได้ค่ะ อย่างไรพวกเราก็เจรจากันได้”

เจ้าหย้าหนานกล่าวคำเหล่านี้ออกมา เป็นการแสดงให้เห็นว่าเธอต้องการไม้เหล่านี้ กระทั่งพร้อมที่จะเพิ่มราคาและยอมแลก

“ไม่ครับ ผม…” อู๋ฝานไม่นึกคิด ว่าเจ้าหย้าหนานจะเกิดเข้าใจผิดเพราะตัวเขามึนงงไปชั่วครู่

“ฉันให้หนึ่งล้านห้าแสน!” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาให้คนทั้งสองได้ยิน สิ่งที่ตามเสียงมา คือชายวัยกลางคนก้าวเดินเข้ามาจากภายนอกร้าน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่พูดประโยคเมื่อครู่นี้

“ฉันให้ตันละหนึ่งล้านห้าแสน เพื่อซื้อหาไม้ชิงชันจากสุภาพบุรุษท่านนี้!” ชายวัยกลางคนพูดกล่าวพร้อมเดินเข้ามา

อู๋ฝานไม่รู้จักชายวัยกลางคนคนนี้ แต่พอคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายได้ ทว่าสีหน้าของเจ้าหย้าหนานแปรเปลี่ยนไปยามพบเห็นชายวัยกลางคน รอยยิ้มที่เคยมีต้อนรับอู๋ฝาน กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่เฉยชา

“เถ้าแก่หลิว ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ ขอเชิญออกไปด้วยค่ะ!” เจ้าหย้าหนานออกปากไล่แขก

“เถ้าแก่เจ้า พวกเราก็ถือเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ดังนั้นอย่าทำเฉยชาเหมือนคนอื่นคนไกลขนาดนั้นสิ” ชายวัยกลางคนยิ้มตอบรับ “นอกจากนี้แล้ว พ่อของเธอกับฉันก็รู้จักกันดีมานานหลายปี พวกเราเป็นมิตรสหายต่อกันยาวนาน เธอที่เป็นลูกไม่คิดว่าหยาบคายเกินไปหรือยังไง?”

“มิตรสหาย? กล้าพูด!” คำของชายวัยกลางคน เป็นเหตุให้เจ้าหย้าหนานเผยสีหน้าดำมืด คิ้วเรียวงามของเธอถึงกับขมวดแน่นเป็นปม “เรื่องราวหน้ามืดตาบอดที่สุดในชีวิตของพ่อฉัน คือการยอมรับคนอย่างคุณเป็นเพื่อน!”

“เด็กน้อย พูดเกินไปแล้วมั้ง” รอยยิ้มที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนเลือนหาย “พ่อของเธอทำธุรกิจเองไม่ได้ ตัดสินใจผิดพลาด ทั้งหมดก็เป็นปัญหาของเขาเอง เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?”

“คิดว่าพวกเราไม่รู้กลโกงต่ำช้าที่คุณใช้หรือยังไง” เจ้าหย้าหนานตอบรับ “เถ้าแก่หลิว ไม่ช้าก็เร็วกรรมจะตามมาทำโทษคุณ”

“แม่หนูน้อย เธอเองก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว พูดจาอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ใช่เรื่องดี” ชายวัยกลางคนตอบกลับ “นอกจากนี้ ให้ฉันเดานะ ร้านของเธอก็คงอยู่ได้ไม่นานหรอก ทำไมไม่ขายมันทิ้งไปเสียล่ะ? ขายให้ฉันคนนี้ รับรองว่าจะให้ราคาอย่างดี เพราะยังไงฉันกับพ่อของเธอก็รู้จักกันมานาน”

“อย่าแม้แต่จะคิด!” เจ้าหย้าหนานตอบกลับด้วยความโกรธ

ชายวัยกลางคนไม่คิดสนใจเจ้าหย้าหนานอีก แต่มองยังอู๋ฝานและกล่าวคำ “คุณผู้ชายท่านนี้ พึงพอใจกับข้อเสนอราคาที่ผมหยิบยื่นให้หรือไม่? ถ้าหากตกลง เช่นนั้นพวกเราก็ทำการค้ากันได้เลย ผมจ่ายเงิน คุณก็ส่งของ!”

เถ้าแก่หลิวคนนี้ ค่อนข้างมีความมั่นใจในยามพูดกล่าว เขาเชื่อว่าอู๋ฝานจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของตนเอง อย่างไรแล้วราคานั้นก็สูงกว่าที่เจ้าหย้าหนานเสนอ ใครกันจะปฏิเสธเงินที่เพิ่มมากขึ้น?

“ผมได้เจรจากับเถ้าแก่เจ้าเอาไว้ก่อนแล้ว ไม้ส่วนนี้จึงขายให้แก่เธอครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

“ก็แค่การเจรจาด้วยคำพูด ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายอะไร” เถ้าแก่หลิวตอบกลับ “การเจรจาแบบนั้นสามารถเป็นโมฆะได้ทุกเมื่อ ข้อเสนอราคาของผมสูงกว่าเธอ ถ้าหากคุณขายให้ รับรองว่าไม่ขาดทุน”

“คุณอู๋ เมื่อวานพวกเราตกลงกันแล้ว!” เจ้าหย้าหนานพูดขึ้นด้วยความร้อนรน “และพวกเราก็ยังอยู่ระหว่างการหารือเรื่องราคา”

“ตกลงกันเมื่อวาน?” เถ้าแก่หลิวยิ้มตอบ “แม่หนูน้อย คิดว่าอยู่ในโรงเรียนหรือยังไง? ที่นี่มันสถานที่ทำการค้า! การตกลงปากเปล่าไม่ใช่การทำสัญญา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำตาม ตราบเท่าที่สัญญาว่าจะขายให้ฉัน รับรองว่าราคาที่ได้จะสูงกว่าที่เธอเสนออย่างแน่นอน!”

เถ้าแก่หลิวมีความมั่นใจล้นพ้น ว่าสามารถแย่งชิงการค้าจากเจ้าหย้าหนาน แม้ราคาที่ต้องจ่ายสูงกว่า แต่เขามั่นใจว่าภายหลังจะหาเงินกลับคืนมาได้มากยิ่งกว่าที่จ่ายไป

อีกทั้ง เถ้าแก่หลิวยังไม่สนว่าหากต้องขาดทุนไปบ้าง ตราบเท่าที่สามารถช่วงชิงกิจการจากเจ้าหย้าหนาน ต่อให้ขาดทุนนิดหน่อย เขาก็ถือว่าคุ้มค่า

เพียงแต่คำพูดถัดมาของอู๋ฝาน กลับทำรอยยิ้มมาดมั่นของเถ้าแก่หลิวแข็งค้างในชั่วพริบตา

“ต้องขออภัยด้วยครับ ไม่ว่าคุณเสนอราคาเท่าไหร่ ผมก็ไม่ขายไม้ให้ครับ” อู๋ฝานตอบกลับเสียงเบา

“เพราะอะไรกัน?” เถ้าแก่หลิวงุนงง เขาไม่นึกคิดมาก่อน ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้

มีใครในโลกนี้ไม่ชอบเงินบ้าง? ใครกันจะมีปัญหาหากว่ามีเงินเพิ่มมากขึ้น?

“เพราะผมไม่ค่อยชอบเถ้าแก่แซ่หลิวค่อนข้างมาก มันทำผมนึกถึงการค้าหน้าเลือดครั้งหนึ่ง” อู๋ฝานตอบกลับ

กระนั้นแล้ว ทั้งเถ้าแก่หลิวและเจ้าหย้าหนานกลับรู้สึก ว่าคำพูดของอู๋ฝานฟังดูไร้สาระ ใครกันบ้างที่ทำธุรกิจกันโดยดูชื่อแซ่ของอีกฝ่าย? มันไม่ใช่มีพื้นฐานที่ราคาหรอกหรือ?

“คุณอาจยังไม่รู้ ว่าเถ้าแก่เจ้าไม่มีเงินสดในมือ!” เถ้าแก่หลิวยังคงยืนกราน “ถ้าหากขายไม้ให้เธอ คุณจะไม่ได้รับเงินสด รอเท่าไหร่กว่าจะได้เงิน ก็เป็นเรื่องยากจะตอบได้ บางทีอาจไม่ได้เลยก็เป็นไปได้!”

อู๋ฝานมองยังเจ้าหย้าหนานด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ทราบสถานการณ์ของที่นี่

พบเห็นสายตาของอู๋ฝาน เจ้าหย้าหนานจึงเกิดอับอาย “ฉันไม่มีเงินสดจ่ายจริงค่ะ แต่คุณอู๋ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะจ่ายครบทั้งหมดภายในสองเดือนอย่างแน่นอนค่ะ พวกเราทำสัญญาตกลงซื้อขายกันได้”

สองเดือน? ไม่ใช่ว่าความฝันจะได้กลายเป็นเศรษฐีของเขาจะกลายเป็นสิ่งเลื่อนลอยไปหรืออย่างไร?

ระหว่างนั้นก็ต้องกลับไปทำบาร์บีคิวขายงั้นหรือ?

“สองเดือน? ฮ่าฮ่า” เถ้าแก่หลิวเผยยิ้มอย่างผู้มีชัย “ผ่านพ้นสองเดือน ร้านของเธอจะยังอยู่หรือเปล่าก็ยังเป็นคำถามน่าสนใจ!”

“ตราบเท่าที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ร้านแห่งนี้จะไม่เลิกกิจการไปก่อนอย่างแน่นอน!” เจ้าหย้าหนานตอบกลับด้วยความหนักแน่น

“เธอ? เธอก็แค่เด็กน้อยที่เพิ่งเข้าวงการคนหนึ่ง เอาความมั่นใจจากไหนมาพูด?” เถ้าแก่หลิวตอบกลับ