ตอนที่ 48 บ้าไม่เหมือนกัน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“ใช่ น่ายินดีจริงๆ” อาวุโสสามเห็นพ้อง ก่อนจะต้องถอนใจออกมา มันไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องอย่างการกระโดดหน้าผาหรือถูกฟ้าผ่ามีความหมายอะไรซ่อนอยู่

เพียงแต่ ยามราชันจักรพรรดิเทพบรรพชนเสด็จลงมา ย่อมต้องมีร้อยบุปผาผลิบาน ประกายแสงสีตระการตา

ศิษย์น้องรองถูกฟ้าผ่าอย่างเป็นปริศนา ความสำเร็จในภายภาคหน้าย่อมไม่ต่ำทราม กฎสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่แค่ฝัน

“สวรรค์ทรงโปดพรรคหลิงเซียว!” กล่าวจบ ฉินจิ่วเกอก็เดินร่ำไห้น้ำตานองจากไป ปวดร้าวใจอะไรขนาดนี้ ทำใจรับไม่ได้อะไรขนาดนี้

กฎสรรพสิ่งแล้วยังไง นั่นเป็นถึงพระเอกของเรื่องเชียวนะ!

เดิมทีพรุ่งนี้มันจะได้สั่งสอนศิษย์น้องรองให้เข็ดหลาบ อาศัยศาสตราวุธและเคล็ดกิเลนครองฟ้า ชัยชนะจะไปไหนเสีย

แต่ตอนนี้รูปการณ์ชัดเจนเป็นที่สุด ศิษย์น้องรองก็คือพระเอกของเรื่อง ฟ้าสวรรค์คอยประคบประหงม

“ฟ้าพิฆาตข้าแท้ๆ!” พระเอกตามความชอบธรรมของเรื่องทั้งยังไร้เทียมทานอย่างนี้มีหรือจะแพ้?

ที่จู่ๆ ก็ฟ้ารั่วอสนีบาตฟาดโครมลงจากฟ้า จนเกิดการชำละร้างกายาอันน่ามหัศจรรย์พันลึกขึ้น ทั้งหมดก็เพื่อพระเอกของเรื่องที่พรุ่งนี้จะได้แก้เกมกลับมาเฉิดฉายอยู่บนเวทีประลอง ปล่อยหมัดวาดเท้าใส่มันผู้ต้องสงสัยว่าเป็นตัวร้ายของเรื่องให้หัวปูดหัวโปนเป็นหัวสุกร

“เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ” ฉินจิ่วเกอเข่าทรุดลงกับพื้นด้วยใจอันห่อเหี่ยว มันเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนถึงได้ข้ามภพมาเข้าสิงร่างตัวซวยอย่างหมอนี่

พล็อตเรื่องอันสำเร็จสมบูรณ์ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในสมอง

พรรคหลิงเซียวที่เต็มไปด้วยความลับทว่าโดดเด่นเหนือใครก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว

ถ้าดำเนินตามแบบฉบับดั้งเดิม ฉินจิ่วเกอจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพอย่างเฉียบพลัน บังเกิดความคิดต่อต้านสังคมขึ้นมา ก่อนจะเริ่มลงมือล้างแค้นด้วยจิตใจอันบิดเบี้ยว

จากนั้นก็วางแผนใส่ร้ายศิษย์พี่ศิษย์น้องภายในพรรค ทำเรื่องชั่วร้ายอย่างการทรยศอาจารย์ฆ่าล้างบรรพชน

จุดจบของเรื่องย่อมไม่พ้นศิษย์น้องรองเทพยุทธ์ผู้ปราดเปรื่องกำราบศิษย์พี่ใหญ่ตัวชั่วร้ายที่ทำเรื่องต่ำทรามสารพัด ท้ายที่สุดธรรมะก็ย่อมชนะอธรรม

หลังกำราบศิษย์พี่ใหญ่ลงได้ ศิษย์น้องรองก็รับช่วงต่อสืบทอดพรรค ศิษย์พี่หญิงข้างซ้ายศิษย์น้องหญิงข้างขวากอดรัดกันกลม

 

ไม่แน่ว่าอาจมีพวกวอนหาเรื่อง มาพูดวาจาบัดซบใส่หน้ามันตอนคุกเข่าว่า “คนหลังยุคซ่งเว้นนามกุ้ย ข้าเบื้องหน้าหลุมเศร้าแซ่ฉิน” พรรค์นั้น

ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ต่ำทรามมากเล่ห์จอมสถุล ศิษย์น้องรองหน้ามนผู้กล้าหาญเปี่ยมคุณธรรม ศิษย์น้องเล็กผู้น่ารักใสซื่อบริสุทธิ์

จากนั้นคนทั้งสองก็กระโดดเข้าหากัน ปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่ยืนเปลี่ยวเหงาตามลำพัง และแล้วเรื่องราวบุญคุณความแค้นก็เป็นอันยุติลงด้วยประการฉะนี้

ฉินจิ่วเกอผู้มีจิตใจเปราะบางเจ็บแปลบตรงหัวใจขึ้นอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่ามันมีใจใฝ่สูง มันเป็นคนดี

มันไม่อยากรับบทเป็นผู้ร้ายใจโฉด ยิ่งไม่อยากเป็นทหารทัพหน้า

โลกที่มันข้ามมานี้ แม้แต่กระดาษชำระยังมีบทบาทของมันเองอย่างที่ใครก็ไม่อาจมาทดแทนได้ แต่ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาเพื่อเป็นอุปสรรคที่จะช่วยให้พระเอกของเรื่องพัฒนาต่อไปได้จัดว่าอยู่ในจำพวกปลาดุกหลงฝูง

เป็นปลาซาดีนช่างดีเลิศเสียนี่กระไร แต่ปลาดุกที่ข่มเหงรังแกปลาซาดีนนั้น นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยได้ตายดีเลยสักรายเดียว

แล้วฉินจิ่วเกอก็คิดได้ ในเมื่อศิษย์น้องรองเป็นพระเอกของเรื่อง ตนก็ไม่อาจไปตอแยล่วงเกินอย่างที่เคยทำ เมื่อคิดได้ก็ควรลงมือทำทันที หาไม่แล้วตนคงไม่ได้ตายดีแน่ๆ

ต่อจากนี้ ตนจะต้องแฝงตัวเข้าก๊วนศิษย์น้องรองให้ได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ใครก็ตามที่ติดตามพระเอกย่อมมีชะตาอันสดใสรออยู่ ยามต่อยตีก็ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ยามมีเรื่องก็อาศัยบารมีพระเอกข่มเหงกลับ

รอจนลั่วเฉินได้กลายเป็นหนึ่งในใต้หล้าเมื่อไหร่ ฉินจิ่วเกอจะได้ใช้ป้ายชื่อคุ้มกะลาหัวยามออกไปโลดแล่นพเนจรข้างนอก โดยเขียนกำกับไว้ว่า: ฉินจิ่วเกอคนเจ๋งแห่งปฐพี

ถึงตอนนั้น จะต้องมีพวกไร้นัยน์ตาเข้ามาถามว่า “เจ้าคนที่ชื่อฉินจิ่วเกอนี่เป็นแค่เด็กน้อยปราณสุริยันผู้หนึ่ง เหตุใดถึงกล้ากล่าวอ้างว่าเป็นยอดคนแห่งปฐพี?”

แล้วก็จะมีคนที่รู้ลึกรู้จริงตอบกลับมาว่า “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย มันคือศิษย์ร่วมสำนักของพระเอกในยุคนี้ ทั้งยังสละบัลลังก์ให้อย่างใจกว้าง จนได้แต่งตั้งให้ครองตำแหน่งร่วมกัน”

“อา ช่างโชคดีจริงๆ น่าอิจฉา” ตัวประกอบสามที่คลังคำศัพท์น้อยเอ่ยสมทบ

ตัวประกอบสี่ที่ยืนอยู่ข้างทางร้องตะโกนมาว่า “วีรชนน้อยแซ่ฉินท่านช่างหลอเหลาเหลือเกิน ให้ข้าคารวะแก่ท่านสักครา”

หากเนื้อเรื่องเช่นนั้นเป็นเรื่องจริงก็คงดีเลิศประเสริฐศรีไม่น้อย เทียบกับถูกรางวัลแล้วยังประเสริฐกว่า ฉินจิ่วเกอหัวเราะร่า

ขณะกำลังนั่งหัวเราะจนน้ำลายยืด ฉับพลันสีหน้าต้องเปลี่ยนเป็นโง่งมเมื่อเห็นอาวุโสห้ามายืนอยู่ตรงหน้า

อาวุโสห้าประหลาดใจเป็นล้นพ้น พรรคหลิงเซียวอันยิ่งใหญ่ มีแค่ตนที่สติไม่สมประกอบ อยู่ๆ มีอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่ คนโคลงศีรษะใบหน้าที่คนบ้าความจำเสื่อมใส่ อาวุโสห้ากลัวว่าจะสร้างความตกใจกลัวให้กับอีกฝ่าย

เอ่ยถามเสียงเบา “นี่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ”

“โอ้ ข้าเองก็กำลังเล่นเป็นมนุษย์เห็ดอยู่เหมือนกัน เจ้าเป็นพันธุ์อะไรล่ะ” อาวุโสห้าแสดงท่าทีเหมือนอยากรู้อยากเห็นใจจะขาด ดูท่ามันจะสติไม่ดีจริงๆ

“ข้าเป็นเห็ดยักษ์ แล้วท่านเล่า” ขณะกล่าวก็ส่ายก้นดุกดิกไปมา

“ข้าเป็นเห็ดหอม เสียมารยาทแล้วๆ” อาวุโสห้ากล่าว

“เพ้ย เป็นเห็ดแล้วพูดได้ยังไง!” ฉินจิ่วเกออาศัยเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นคนบ้าโจมตีกลับ

อาวุโสเจอไม้นี้พลันต้องเบื้อใบ้ไปครึ่งค่อนวัน ก่อนจะได้สติกระทืบเท้าถามกลับ “แล้วทำไมเจ้าถึงพูดได้!”

“ข้าก็บอกอยู่นี่ไงว่าข้ากำลังเล่นเป็นเห็ด ข้าคิดไม่ตกว่าข้าเป็นใคร มาจากไหน และกำลังจะไปที่ใด” ฉินจิ่วเกอแสดงท่าทีหดหู่เป็นกำลัง ปรับมุมเงยหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา หล่อจนดวงดารายังต้องลุ่มหลง

อาวุโสห้าจนด้วยคำพูด คนเหยียดฝ่ามือออกอย่างเด็ดเดี่ยว ตบฉาดเข้ากับใบหน้าของฉินจิ่วเกอจนเรียกสติกลับมา

อาวุโสห้าหลังก่อคดีก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป ทิ้งให้เหยื่อนั่งสติหลุดลอยอยู่ข้างหนองน้ำอย่างไม่ไยดี

วันต่อมา ศึกตัดสินเก้าอี้ศิษย์พี่ใหญ่ประจำพรรคหลิงเซียวก็เริ่มขึ้น

ศิษย์น้องรองลั่วเฉินกำลังยืนอยู่นอกลานด้วยความฮึกเหิม เทียบกับเมื่อหลายวันก่อนแล้ว คนให้ความรู้สึกจับต้องไม่ได้ปานประหนึ่งเทพเซียน ช่างน่ามองถึงเพียงไหน

ส่วนฉินจิ่วเกอ บนแก้มขวามีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ประดับอยู่ ใครไม่ทราบอาจนึกไปว่าศิษย์พี่รองประชันฝีมือกับศิษย์พี่ใหญ่เป็นการส่วนตัวมาแล้วหนึ่งรอบ ฝากรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ไว้เป็นของดูต่างหน้า

พูดให้เป็นทางการกว่านี้ เมื่อวานศิษย์พี่ใหญ่เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงเดินชนขอบประตูเข้า

ภายในพรรคหลิงเซียวมีแต่พวกอารมณ์รุนแรง ยามระบายอารมณ์ ขอบประตูวัตถุที่ท้าอำนาจฟ้าดินเช่นนี้ หากสละได้ก็ควรสละ

เพียงแค่ดูรัศมีพลังของคนทั้งสอง ผู้ชนะย่อมเป็นลั่วเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉินจิ่วเกอเองก็คิดเช่นนี้ ใครใช้ให้หมอนี่เกิดมามีบุญวาสนาได้เป็นพระเอกกันล่ะ

อีกเดี๋ยวถ้าชนะไม่ได้ พระเจ้าก็คงทนไม่ไหวต้องส่งอสนีเทวะลงมาสายหนึ่ง จากที่ไม่ชนะก็ชนะ ช่วยให้มันได้รับชัยชนะไป

นวดไม้นวดมือ ฉินจิ่วเกอตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มตั้งแต่การแข่งขันในวันนี้เลย

เห็นเจ้าอ้วนน่าตายโดดเด่นมาแต่ไกล พอมาถึงก็ทำลับๆ ล่อๆ ตาหยีเป็นคางคกอวบอ้วน “ศิษย์พี่ พวกเราแอบวางเดิมพันกันว่าระหว่างพวกท่านใครจะชนะ ข้าวางเดินพันด้วยศิลาวิญญาณสามก้อนว่าบัลลังก์ศิษย์พี่ใหญ่จะยังเป็นของท่าน”

ฉินจิ่วเกอรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก ส่วนเจ้าอ้วนน่าตายลอบปาดเหงื่อด้วยความละอายใจ ที่จริงมันวางเดิมพันเป็นเงินยี่สิบก้อนว่าพี่รองจะชนะ

“แล้วอัตราการเดิมพันล่ะ ใครเป็นเจ้ามือ” ฉินจิ่วเกอบังเกิดความสนใจขึ้นมา ยังไงมันก็หาตัวพระเอกเจอแล้ว ขอแค่เข้าไปอยู่ในสังกัดเดียวกับมัน ฐานะศิษย์พี่ใหญ่กระไรนั่นก็ไม่น่าดึงดูดใจอีกต่อไป

“ท่านหนึ่งต่อยี่สิบ ศิษย์พี่รองยี่สิบต่อหนึ่ง อาวุโสสี่เป็นเจ้ามือ มีคนเดิมพันข้างท่านอยู่แค่ไม่กี่คน นับรวมข้าแล้วด้วย” เจ้าอ้วนน่าตายกล่าวเสียงกระซิบ กลัวว่าอาวุโสสี่จะมาได้ยินเข้า

ตอนที่ลั่วเฉินพาเจ้าอ้วนและศิษย์น้องเล็กกลับมา มันก็รวบรวมหญ้าจิตวิญญาณแสงได้ครบหมดแล้ว

หญ้าจิตวิญญาณแสงร้อยกว่าจินที่ฉินจิ่วเกอหามา คงเป็นดั่งการวาดบุปผาบนภาพสมบูรณ์เกินจำเป็น อาวุโสสี่กลับไม่ซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย

การแข่งประจำพรรคในครั้งนี้ อาวุโสสี่ผู้ยังไม่หายแค้นทำตามเจตนาโดยรวมของพรรคหลิงเซียว เปิดวางเดิมพันเติมเต็มความต้องการของทุกคน

ต่างกันยี่สิบเท่าทีเดียว ฉินจิ่วเกอนึกในใจเงียบๆ หากก็ไม่ได้หัวเสียแต่อย่างใด กลับดึงตัวเจ้าอ้วนเข้ามาแล้วสั่งว่า “ช่วยข้าเอาศิลาวิญญาณพวกนี้ไปวางเดิมพันที”

“ศิษย์พี่ใหญ่จะวางเดิมพันให้ตัวเองหรือ แล้วท่านจะวางเท่าไหร่?” เจ้าอ้วนน่าตายมองด้วยดวงตาที่หยีเล็กของมัน นึกหวังให้อีกฝ่ายวางตังค์เยอะๆ หน่อย

ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องเล็กวางยี่สิบก้อน เดิมพันว่าฉินจิ่วเกอจะยังรักษาตำแหน่งเดิมเอาไว้ได้ แล้วก็มีอาอู่ที่ควักกระเป๋าออกมาสองก้อนอีกด้วย

เจ้าอ้วนน่าตายที่แอบหวังให้ลั่วเฉินครองตำแหน่งย่อมต้องการให้ฉินจิ่วเกอเพิ่มเดิมพันเยอะๆ อยู่แล้ว

“นี่ไม่ใช่ตัวข้าเลย” ฉินจิ่วเกอจ้องมองเจ้าอ้วนด้วยความประหม่ากังวลสุดขีด “ใครว่าข้าจะเดิมพันว่าตัวเองจะชนะ ศิลาวิญญาณสองก้อนนี้ข้าให้เจ้าเอาไปเดิมพันว่าลั่วเฉินจะชนะต่างหาก ไม่สิ ต้องเรียกวีรชนน้อยแซ่ลั่ว”

ไม่กล้าวางเยอะไปกว่านี้ กลัวว่าอาวุโสสี่ผู้โมโหโทสันจะเด็ดศีรษะตัวเองก่อน

ฉินจิ่วเกอที่ตั้งใจมาแต่แรกว่าจะล้มเกมย่อมต้องยินดีอยู่แล้วที่สามารถหาส่วนแบ่งกำไรเล็กๆ น้อยๆ ได้

“วะ วีรชนน้อยแซ่ลั่ว?” เจ้าอ้วนน่าตายอ้าปากค้าง กับศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าผู้นี้ศิษย์พี่ใหญ่กลับมีมารยาทนอบน้อมถึงเพียงนี้ได้

“ให้ข้าเอาเงินสองก้อนนี้ไปเดิมพันว่าพี่รองจะชนะ?” คิดถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนน่าตายก็เป็นอันเข้าใจ ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่คร้านจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เพียงล้มเลิกความคิดที่จะครองเก้าอี้ ก่อนตายยังตั้งใจจะหลอกเอาเงินอาวุโสสี่อีกตลบหนึ่ง

“จำไว้ว่าเงินสองก้อนนี้เป็นเจ้าวางเดิมพัน ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าทั้งนั้น หลังเสร็จเรื่อง ข้าค่อยแบ่งให้เจ้าสิบก้อน” ฉินจิ่วเกอวางแผนมาเป็นอย่างดี พอขึ้นเวทีเมื่อไหร่ ออกหมัดวาดกระบวนท่าส่งๆ ไปทีสองทีก็เดินลงมา เงินก้อนนี้ช่างได้มาง่ายดายโดยแท้

เจ้าอ้วนน่าตายเริ่มเคารพนับถือฉินจิ่วเกอขึ้นมาแล้ว วิธีการของศิษย์พี่ใหญ่ช่างร้ายกาจจริงๆ หากตนมีศิลาวิญญาณสองก้อน ย่อมสามารถเอาไปเป็นของหมั้นหมายได้อย่างเชิดหน้าชูตา เอาไปวางลงตรงหน้าศิษย์พี่สามหรงเคอเคอแล้วถามว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง

ศิลาวิญญาณตั้งสองก้อนเลยเชียว หากหรงเคอเคอไม่ได้ป่วยจิตไปก่อนสมควรจับเจ้าอ้วนมาตอนแน่แล้ว

นอกจากอาวุโสห้า อาวุโสทั้งสี่ท่านต่างก็นั่งเรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลมคอยดูแลสถานการณ์จากที่สูง สีหน้าของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป

อาวุโสใหญ่พกความมั่นใจมาเปี่ยมล้น หัวเราะพลางกล่าวว่า “น้องสี่ ได้ยินมาว่าเจ้าเปิดวางเดิมพันส่วนตัว เดิมพันเรื่องอะไรล่ะ”

อาวุโสสี่สนับสนุนให้ลั่วเฉินได้ตำแหน่งไปครอง กล่าวเป็นนัยว่า “แค่เดิมพันว่าเจ้าเด็กนั่นจะรักษาตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ได้หรือไม่ เป็นการเดิมพันว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค”

“อ้อ งั้นข้าขอวางเดิมพันด้วยศิลาวิญญาณขั้นต่ำสามหมื่นก้อน จริงสิ ศิษย์ข้าเปลี่ยนชื่อแล้วนะ ต่อจากนี้ไม่อาจเรียกจางเต๋อไค เรียกมันว่าฉินจิ่วเกอ”

อาการรักศิษย์ของอาวุโสใหญ่ยิ่งกำเริบเสิบสาน อีกอย่างสำหรับยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุ ศิลาวิญญาณจำนวนสามหมื่นก้อนไม่อาจนับเป็นอะไร

อาวุโสอีกสองท่านที่เหลือตระหนักในบัดดล อาวุโสสองรักหน้า ด้วยศักดิ์ศรีของอาวุโสจะให้วางเดิมพันก็คงไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือเพราะอยู่ใกล้อาวุโสใหญ่มากเกินไป เกิดชนะเดิมพันขึ้นมา ชีวิตของตนคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว

อาวุโสสามและฉินจิ่วเกอมีสัมพันธ์เชิงธุรกิจร่วมกันอยู่ ตอนนี้วางเดิมพันว่าฉินจิ่วเกอไม่อาจรักษาตำแหน่งได้ ตอนนี้ระแวงว่าค่อนข้างดูเป็นพวกคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ กล้ามเนื้อบนใบหน้าสี่เหลี่ยมเจ็บปวดสุดแสน อาวุโสสามจำใจควักเอาศิลาวิญญาณขั้นต่ำออกมาสิบก้อน

“เฮ้อ ทำดีไปก็เท่านั้น เงินนับเป็นอะไร ข้าขอวางเดิมพันสิบก้อนว่าเต๋อไค ไม่สิ เจ้าเด็กจิ่วเกอนั่นจะชนะ”

“พี่สามอย่าได้เจ็บปวดใจไป” อาวุโสสี่มั่นใจในชัยชนะ สองเท้ากระดิกไม่หยุด “เด็กน้อยฉินจิ่วเกอ หนึ่งต่อยี่สิบ หากชนะขึ้นมา ท่านมิใช่ว่าจะร่ำรวยกลายเป็นมหาเศรษฐีหรอกหรือ?”

ยอดฝีมือชั้นสูงไม่ขาดแคลนเงินทอง นักปรุงยาระดับสูงยิ่งไม่ขาดแคลนเงินทองยิ่งกว่า

อาวุโสใหญ่สั่นศีรษะไม่กล่าวอันใดมากความ ในใจของมันย่อมมั่นใจเต็มเปี่ยมในตัวศิษย์รักของตนเอง

มันเมื่อได้เคล็ดวิชาลับไป คิดโค่นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นอย่างเหนือความคาดหมาย มิใช่ไม่อาจเป็นไปได้

“การประลองเริ่มแล้ว สองฝ่ายขึ้นสู่เวที!”

เสียงประกาศเป็นสัญญาณ ภายในพรรคหลิงเซียวบังเกิดเสียงฮือฮาอึกทึก ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงโห่ฮา เปรียบกับสองผู้ประลองบนเวทียังตื่นเต้นยิ่งกว่า

ลั่วเฉินยืนหยัดกับที่ อาภรณ์ขาวคนหล่อเหลา เส้นผมปลิวไสวในสายลม “ศิษย์พี่ใหญ่ เชิญ”