ฉินจิ่วเกอยกมือกุมแก้มที่บวมเป่งและเป็นตะคริวอยู่พักๆ กัดฟันกล่าว “เจ้าต่างหากที่ผู้คนยอมรับนับถือ เข้ามาเถอะ”
แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับตัวเอก ฉินจิ่วเกอแทนที่จะดีใจกลับกระวนกระวายใจมากกว่า
ถึงตอนนั้นเกิดมีสายอสนีเทวะฟาดผ่าลงกลางกบาลตน คงไม่รู้จะไปร้องไห้กับใครแล้ว
“เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่” ลั่วเฉินหน้าดำทะมึน คิดลงมือ แต่ก็เกรงฉินจิ่วเกอป่าวร้องว่าตนเองลอบกัดทีเผลอ
“พร้อมแล้ว” ฉินจิ่วเกอแม้แต่อาวุธวิเศษก็ยังไม่เอาออกมา ยืนหยัดท้าฟ้าดินอย่างผ่าเผย
“ล่วงเกินแล้ว!”
กระบี่มรกตยาวสามฉื่อกวาดออก วาดเป็นประกายรุ้งเส้นแล้วเส้นเล่า ลั่วเฉินไม่สนใจฉินจิ่วเกอมีลูกไม้ใด ชิงชักกระบี่ออกโจมตีก่อน
เสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศครืนครัน บรรดาศิษย์ในสำนักต่างพากันหยีตา เนื่องเพราะประกายกระบี่อันเจิดจ้าทิ่มแทง
พลังฝีมือต่ำชั้นเพียงปราณสุริยันขั้นกลางอย่างฉินจิ่วเกอจะทำอะไรได้ คนกระโดดฉากหลบออกอย่างไว
ดูท่าแล้วน้องรองคงเคียดแค้นข้าอยู่ไม่น้อย ตนเองเพียงรูดแหวนมิติของมันมา แล้วก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าแค่คำเดียว ใช่ถือสาเป็นจริงเป็นจังเกินไปหรือไม่
“ไร้คม!”
ฉินจิ่วเกอมองเห็นสายตาของอาวุโสใหญ่ที่ทอดมองจากที่ไกลด้วยความพึงพอใจ คนต้องเกิดความลังเล สุดท้ายตัดสินใจเรียกกระบี่ไร้คมออกมา กะว่าประมือกับศิษย์น้องรองสักสองสามกระบวนท่าค่อยพ่ายแพ้ก็ยังทัน
กระบี่หนักเล่มยักษ์สำแดงกายออกมาด้วยประการฉะนี้
เมื่อฉินจิ่วเกอยกชูกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ พลังแฝงย่อมมีไม่น้อยกว่าหมื่นจิน กระบี่ถูกห่อหุ้มด้วยไอวิญญาณชั้นปราณสุริยันอันหนาทึบ กระบี่หนักไร้คม เพียงเปี่ยมด้วยแรงกดดันแหวกฝ่าอากาศแขนงหนึ่ง
“ไม่เลว”
เทียบกับฉินจิ่วเกอเมื่อก่อนที่ไร้ราคา มันในยามนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก
ลั่วเฉินใช้กระบี่เบี่ยงเบนพลังมหาศาลที่โถมเข้าหา เกิดเสียงเคร้งคร้างดังขึ้น การโจมตีทั้งหมดถูกกระบี่หนักรับไว้อย่างทื่อด้าน ที่แท้อีกฝ่ายไม่หมู ได้แต่ต้องใช้ทักษะวิชายุทธ์เข้าห้ำหั่นแล้ว
“กระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน!”
ประกายกระบี่สีทองเฉิดฉายสาดวาบขึ้น กรีดเป็นเส้นไหมที่ถักทอหนาแน่น ปรากฏขึ้นทั่วสี่ทิศแปดทาง ควบรวมกลางอากาศ พร้อมจู่โจมในเงื้อมมือของลั่วเฉิน
ประกายวิญญาณสาดกระจายจ้า ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสายวารีไร้ขอบเขต มีเพียงพลังกระบี่วาดขวางที่อยู่กึ่งกลาง ยืดยาวไม่สิ้นสุด
ตึงตึง!
ฉินจิ่วเกอใช้เคล็ดมารจำแลงกาย คนล่าถอยไปเจ็ดแปดเก้า ยังไม่ทันยืนหยัดมั่น ร่างก็ไปปรากฏอีกทีในตำแหน่งอื่น นอกจากเหล่าอาวุโสที่มีพลังฝีมือลึกล้ำแล้ว ผู้คนในสถานประลองต่างมองไม่ออกว่าที่แท้ฉินจิ่วเกออยู่ตรงไหน
“เจ้าว่า ศิษย์พี่ใหญ่จะชนะมั้ย?” ศิษย์น้องเล็กใบหน้าซีดขาว ยกนิ้วขึ้นถามที่ข้างกายเจ้าอ้วนน่าตาย
เดิมที ต่างคาดการณ์ว่าศิษย์พี่ใหญ่ต่อให้เก่งกาจปานใด ย่อมไม่ใช่คู่มือศิษย์พี่รองเด็ดขาด แต่ยามนี้บนลานประลอง คู่ประลองห้ำหั่นอย่างสูสี ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะล้วนไม่อาจกล่าวอย่างชัดเจนได้
“ฉึบ!”
เคล็ดมารมายา เป็นเคล็ดวิชาท่าร่างที่ไม่เลวร้าย ลั่วเฉินผนึกทะเลไอวิญญาณขึ้นทางด้านข้าง ยืดขยายออกอย่างรวดเร็ว ม่านปราการป้องกันกางกั้น
เมื่อฉินจิ่วเกอเข้ามาในรัศมีสองเมตรจากลั่วเฉิน ลั่วเฉินก็สามารถสัมผัสถึงร่องรอยอีกฝ่ายได้ทันที
มันรวดเร็ว ทว่าฉินจิ่วเกอรวดเร็วยิ่งกว่า กระบี่หนักในมือกวาดขวางออก ราวกับลมวายุม้วนกรรโชกใบไม้ร่วง
ตูม!
ทะเลไอวิญญาณแตกทำลาย พลังวิญญาณอันไพศาลถูกกระบี่หนักของฉินจิ่วเกอฟาดแหลกสลาย ไม่อาจเรียกคืนมาได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ลั่วเฉินตกตะลึง คนคาดไม่ถึงว่าฉินจิ่วเกอยังมีกระบวนโจมตีอันแกร่งกล้าปานนี้ ทั้งเป็นการโจมตีจากฝีมือล้วนๆ ยังสามารถทลายปราการป้องกันของมันจนแตกกระจาย
“พิฆาตสวรรค์!”
หากคิดใช้ออกด้วยกระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน ระยะระหว่างทั้งคู่ประชิดใกล้จนเกินไป ไม่อาจใช้ออกได้ทันเวลา
ฉินจิ่วเกอดวงตาสาดประกายแตกตื่นประหลาดใจ กระบี่ยาวในมือของลั่วเฉินแปรสภาพเป็นรูปกากบาท กวาดเข้าใส่ตนเองจากทั้งเหนือใต้ออกตก
มวลอากาศถูกแหวกฝ่าดังซี่ซี่ ม้วนพัดไอแผดเผาเร่าร้อนเข้าใส่ แสงสีทองเจิดจรัสจากเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นสูงส่งที่ได้รับการประทานมาพุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่หน้ามัน
เคล้ง!
พิฆาตสวรรค์ หนึ่งในเคล็ดวิชายุทธอันลึกล้ำในครอบครองของลั่วเฉิน ภายในพรรคหลิงเซียวไม่มีเคล็ดวิชายุทธเช่นนี้ นี่เป็นมันศึกษามาจากที่อื่น
เทียบกันทางฝีมือ มันยังเหนือล้ำกว่าซ่งเล่อด้วยซ้ำ
ต้านรับอยู่สองกระบวน กระบี่หนักในมือฉินจิ่วเกอก็กระเด็นออกจากมือ พลังของอาวุธเต๋ายังไม่ทันสำแดง ก็ถูกพิฆาตสวรรค์กระแทกกระทั้นจนสิ้นพลัง มือขวาชาระริก ความเจ็บแปลบส่งผ่านผิวหนังลงลึกไปถึงกระดูก บันดาลให้ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดร้าวราน
แฮ่กๆ
พริบตาที่พิฆาตสวรรค์กำลังจะพุ่งใส่ฉินจิ่วเกอ เคล็ดมารจำแลงกายก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง ร่างของฉินจิ่วเกอไปโผล่อยู่ไกลจากตำแหน่งเดิมสิบเมตร
อากาศระเบิดออก ก่อเกิดลมสลาตันอันบ้าคลั่งกวาดม้วนอยู่บนเวที อาภรณ์บนร่างสะบัดดังพึ่บพั่บ
ทรงพลังโดยแท้ หากไม่ใช่ว่าท่านอาจารย์ให้ทั้งโอสถทั้งศาสตราวุธมาก่อนละก็ เกรงว่าแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็คงต้านไว้ไม่อยู่!
ฉินจิ่วเกอตาพร่ามัว พระเอกอย่างไรก็คือพระเอก ต่อให้ไม่อยากให้ตัวเองล้มเกม คิดเอาชนะก็ยังเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย
ฉึก!
กระบี่หนักปลิวออกจากตัวเวทีไปเสียบคาอยู่บนพื้นศิลาเขียวกว่าครึ่งเมตร
กระบี่หนักเฉียดปลายจมูกเจ้าอ้วนไปนิด อีกคืบเดียวก็จะทิ่มจมูกสุกรของมันแล้ว สร้างความตกใจกลัวจนขวัญบินให้แก่มันอย่างใหญ่หลวง
ศิษย์น้องเล็กยืนอยู่ข้างเจ้าอ้วน สีหน้ายังคงเดิม มือลูบกระบี่ที่ยังมีไออุ่นเหลืออยู่ด้วยความสงบนิ่ง
“สู้ต่อ?” ลั่วเฉินพลิกกระบี่พาดเฉียงกับแผ่นหลังตัวเองขณะถามอย่างปลอดโปร่ง
ฉินจิ่วเกอลอบประเมินในใจ สมควรแก่เวลาแล้วกระมัง คิดแล้วก็ผงกศีรษะ “เข้ามา!”
เมื่อครู่แลกเปลี่ยนสามกระบวนท่ากับฉินจิ่วเกอ ลั่วเฉินใช้พลังไปครึ่งหนึ่ง มันพ่นลมหายใจออกยาว รีดเค้นพลังออกจากจุดตันเถียน
ขับเอาไอพลังขุ่นมัวออกจากร่าง ส่งไอวิญญาณเข้าสู่เส้นชีพจร ลั่วเฉินก็ฟื้นคืนกลับสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง
ฟู่วววว
พบเห็นลั่วเฉินขับไอพลังพร้อมสู้ต่อ ฉินจิ่วเกอพลันนึกอะไรขึ้นได้ คนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ส่งเสียงโหยหวนคล้ายได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
หากขืนสู้ต่อแล้วเกิดบาดเจ็บสาหัสขึ้นมาคงไม่คุ้ม ไม่สู้คุกเข่ายอมแพ้ไปเลยจะดีกว่า
ดังนั้น ภายใต้สายตาอันโง่งมของผู้คน ฉินจิ่วเกอก็ยกธงขาวขึ้นสูง โบกหยอยๆ ไปทางคนดูด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ไฉนจู่ๆ ก็ยอมแพ้?” ศิษย์ต่างไม่มีใครเข้าใจ หรือว่าศิษย์พี่รองสำเร็จเคล็ดกำลังภายในเทวะไร้ผู้ต้าน บรรลุถึงตีัวข้ามภูเขา ถลึงตาทีเดียวคนร่วงตายกันแน่?
เหล่าอาวุโสที่เฝ้าชมการประลองอยู่ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุโสใหญ่
มันรู้ดีว่าศิษย์รักของตนยังมีไม้ตายก้นหีบที่ยังไม่เอาออกมาใช้อยู่ ลองได้ใช้แล้วละก็ จะคนสัตว์กุ้งปูยันเห็บหอยยังต้องแหลกสลายกลายเป็นผง
“จู่ๆ เป็นอะไรของเจ้า?” ลั่วเฉินรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา
“วีรชนน้อยแซ่ลั่วเก่งกาจไร้ผู้ต้าน เพียงแค่เป่าลมออกมาเบาๆ ร่างของข้าก็สะท้านเฮือกด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงสุดระงับ ข้าแพ้ให้ท่านทั้งกายและใจ จากนี้ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวเป็นของท่านแล้ว”
ฉินจิ่วเกอกล่าวเสียงเปลี้ยคล้ายจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ เรียกความเห็นใจจากคนดูได้ชงัด
“ข้ายังไม่ทันตีเจ้าด้วยซ้ำ” ลั่วเฉินหัวสมองพองโต อย่าบอกนะว่าตนสำเร็จเทพวิชาเหนือพิภพเข้าจริงๆ?
“ตีแล้ว ตีแล้ว คนหนุ่มสาวต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเข้าไว้” ขณะกล่าวก็รีบปีนลงจากเวที เดินได้สองสามก้าวก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง “เจ้าชนะแล้ว ข้าขอยอมแพ้ ท่าพ่นลมของเจ้าเมื่อครู่ไร้เทียมทานเกินต้านทานจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นท่าก่อกำเนิดจักรวาลเลยทีเดียว”
“เจ้าตัวแสบ ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้!” อาวุโสใหญ่ที่เฝ้าดูอยู่แต่แรกบันดาลโทสะแผดเสียงร้องลั่น
หลงนึกไปว่าเจ้าเด็กนี่จะโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้ว ที่ไหนได้แสบสันยังไงโตมาก็ยังแสบสันอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฉินจิ่วเกอแสร้งทำเป็นหูทวนลม ไม่สนว่าผู้ชมการประลองจะถลึงตาใส่มันหรือไม่ คนรีบลดศีรษะจ้ำอ้าวหนีไปอย่างไว
แต่ใครเล่าจะคาดคิดอาวุโสใหญ่ใช้ระดับพลังอันสูงส่ง กางฝ่ามือแหวกผ่ามิติ จับร่างฉินจิ่วเกอในฝูงชนกลับออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องชนะให้ได้นะ รีบกลับขึ้นไปเถอะ!” ศิษย์น้องเล็กป้องปากตะโกนพลางกระโดดเหยงๆ ส่งเสียงให้กำลังใจฉินจิ่วเกอ
“จริงด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเก่งกาจปานนี้ รีบกลับขึ้นไปสู้เร็วเข้าเถิด!” เจ้าอ้วนน่าตายตะโกนเสียงแหลม ศิษย์ที่นั่งชมอยู่ด้านบนต่างคนต่างก็ยังดูไม่หนำใจ ทยอยร้องเรียกให้ฉินจิ่วเกอกลับขึ้นเวทีใหม่อีกครั้ง อย่างน้อยแสดงแก่นแท้ของศาสตร์แห่งการฉ้อฉลอย่างการไปตีเขาแต่ร้องเรียกค่าเสียหายออกมาให้เห็นก็ยังดี
“ข้าไม่ทำ!”
ฉินจิ่วเกอหน้าบึ้งตึง มันลองหลบหนีสารพัดวิธี แต่ก็ไม่เป็นผลสักอย่าง
“ดูสิ นั่นจานบินนี่นา!” ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า อีกาตัวหนึ่งบินผ่านมา ปล่อยของเสียไว้ให้ดูเป็นของต่างหน้าแล้วบินจากไป
ตั้งใจจะฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีไป แต่อนิจจาฉินจิ่วเกอสบประมาทวิทยายุทธของเหล่าผู้ชมยุคโบราณเหล่านี้มากเกินไป บนพื้นระเกะระกะไปด้วยเปลือกกล้วยและเม็ดแตง ฉินจิ่วเกอไม่ทันระวังเผลอเหยียบเข้าเต็มรัก
“ลากตัวมันกลับมา!”
ลั่วเฉินยกมือขึ้นตะโกน มันต้องการประลองแล้วโค่นอีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างขาวสะอาด จากนั้นขึ้นดำรงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่อันสูงส่งอย่างสง่างาม แต่ฉินจิ่วเกอเล่า ปากร่ำร้องว่ายอมแพ้ แท้ที่จริงกำลังดูหมิ่นในชัยชนะของมัน!
ลั่วเฉินที่ความละอายแข็งแกร่งสูงส่งยิ่งทานทนไม่ไหวแล้ว มันกำลังดูแคลนข้า เอามันกลับมาต่อยตีกับข้าอย่างจริงจังอีกครั้งให้ได้!
ฉินจิ่วเกอที่หกคะมำคว่ำคะเมนเพราะเปลือกกล้วยแหงนหน้ามองฟ้า ตะโกนร้องก้องสนั่น “บัดซบ”
ฉินจิ่วเกอหน้าเหยเกราวคนกลืนสารหนู สภาพน่าอนาถานอนเค้เก้อยู่ที่พื้น น้ำตาหลั่งไหลออกมาสองข้างแก้ม
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง พลังฝีมือของลั่วเฉินยามนี้ บรรลุถึงขั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดไปแล้ว ขอเพียงเปิดหลิงไถได้เมื่อไหร่ ย่อมสามารถทะลวงสู่พิสุทธิ์ไพศาลได้ทันที
หากมองจากระดับพลังฝีมือ ฉินจิ่วเกอยังไงก็ไม่มีทางชนะ ไร้ความได้เปรียบใดๆ
“จับตัวมันไว้!” อาวุโสใหญ่รู้ทันไพ่ตายของฉินจิ่วเกอ เจ้าเด็กน้อยนี้ไม่คิดลงแรง ตนเองได้แต่ต้องบังคับมันออกหน้าแล้ว
อาวุโสใหญ่พลังเสียงทรงอานุภาพ เพียงเพิ่งกล่าวจบคำ ศิษย์หลายสิบคนก็เหินบินเข้ามา ล้อมกักฉินจิ่วเกอไว้
จากนั้นศิษย์อีกจำนวนหนึ่งโผขึ้นตามมา หากคนนอกมาเห็น อาจเข้าใจได้ว่าพรรคหลิงเซียวกำลังรวมคนมาจัดงานล่าหนูเสียอีก
ก้อนภูเขาเนื้อหลายก้อนถาโถมกดดันเข้าใส่ ฉินจิ่วเกอทะยานร่างขึ้นไม่กี่ครา ก็เปลี่ยนเป็นใช้ท่าร่างมารมายาหลบหนี
คนหลบลี้มาถึงสระบัวภายในพรรค บัวเหล่านี้เป็นอาวุโสสี่ผู้มีสไตล์ถนอมเพาะเลี้ยงด้วยตนเอง ใบบัวสดใหม่เขียวขจียิ่ง
“อย่าเข้ามา ถ้าไม่หยุดข้าจะโดด!” ฉินจิ่วเกอขาข้างหนึ่งก้าวข้ามไปครึ่งเท้า กึ่งโดดกึ่งรั้งไว้
“ข้าแพ้แล้ว พวกเจ้ายังไล่ตามข้ามาทำไม?” เมื่อถามจบคำ ฉินจิ่วเกอบังเกิดความคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่ยังไม่อาจตัดใจได้
“ล่วงเกินแล้วศิษย์พี่ใหญ่ แต่คำสั่งอาวุโสใหญ่ให้จับท่านกลับไปเป็นๆ”
หนึ่งในศิษย์เหล่านั้นกลับมีคนซื่อตรงเที่ยงธรรมอยู่ “การประลองเมื่อครู่ของท่านกับศิษย์พี่รองยังไม่จบ”
“ประลองเสร็จแล้วชัดๆ” ฉินจิ่วเกอถลึงตาโปนโต คิดหาตัวศิษย์รนหาที่ตายคนนั้นออกมา
“ยังไม่จบซะหน่อย ท่านล้มได้ปลอมมาก คนไหนเลยจะอ่อนปวกเปียกปานนั้นได้” ศิษย์ทั้งหลายที่ทนเล่นเกมส์ต่อไปไม่ไหวเริ่มร้อนใจ คนนับสิบบีบวงล้อมเข้าใส่ ฉินจิ่วเกอไร้ทางเลือก ได้แต่กระโดดลงสระบัวหาทางออก
เสียงน่ารังเกียจดังลั่นขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่ใหญ่โดดลงสระบัวคิดหาทางหนี พวกเราโดดตามไป!”
คนนับสิบทยอยกระโดดลงสระบัว ใบบัวกว่าครึ่งฉีกขาดทำลายสิ้น
อาวุโสสี่ที่รีบร้อนติดตามมาเจ็บปวดใจจนแทบสิ้นสติ เพียงแค้นที่ไม่อาจหิ้วฉินจิ่วเกอขึ้นมาตบหน้ามันสักสิบหมื่นแปดพันครั้ง ให้มันได้รู้ว่าอันใดคือบงกชแดงภายใต้แสงอาทิตย์
ฉินจิ่วเกอใต้ก้นสระปกคลุมตนเองด้วยใบวัชพืช ปลอมแปลงกายในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย ร่ำร้องว่าศิษย์พี่ใหญ่หายไปไหนแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามาแล้ว!” เจ้าอ้วนน่าตายวิ่งได้ช้า ด้วยใจอันจดจ่อ มันมองไม่เห็นอาวุโสสี่ที่ไฟอาฆาตพวยพุ่งถึงขีดสุด คนกระโดดโครมลงในบึงประดุจอาทิตย์ร่วง
ตูมมม!
น้ำครึ่งสระกระเด็นซัดสาดขึ้นมาสิ้นจากการโดดของเจ้าอ้วนน่าตาย มวลน้ำก่อเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่
สระบัวเล็กๆ สระหนึ่ง กลายเป็นมหาสมุทรน้อยจากคลื่นที่หนุนเนื่อง คนหลายสิบในนั้นถูกน้ำซัดสาดจนตาพร่า มีบ้างบางคนเพิ่งมองเห็นความงดงามของชีวิต
ฉินจิ่วเกอพยายามปกวัชพืชน้ำบนตัว ค่อยๆ ว่ายไปข้างกายเจ้าอ้วนน่าตาย ตะโกนอย่างแตกตื่น “ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้!”
อาวุโสสี่โมโหจนเสียทรง สมควรตาย ตนเองติดหนี้มันมาแต่ชาติไหน สระบัวของข้า
“ตีไอ้เต่านั่นให้ตาย!” อาวุโสสี่ลืมเลือนอานุภาพของอาวุโสใหญ่ไปเสียสิ้น ยืนอยู่ริมสระออกคำสั่ง
เจ้าอ้วนน่าตายโชคดิ่งลงเหวนรก คนกลืนน้ำเขียวในสระไปหลายอึก สมองยังไม่สั่งการ
เพียงพริบตา รอบตัวก็ปรากฏหมัดเท้าเข่าศอกรายล้อมเข้าใส่ ศิษย์ทั้งหลายจำนวนนับไม่ถ้วนโถมเข้าหา เริ่มมหกรรมสหบาทาสุดอนาถา
“ข้า ข้าไม่ใช่” เจ้าอ้วนน่าตายยังกล่าวไม่ทันจบว่าตนเองไม่ใช่ ก็จมลงไปในกลุ่มคนแล้ว
พรรคหลิงเซียวที่เงียบสงบ เพียงพริบตาก็กลายเป็นอึกทึกวุ่นวาย
ยามนี้ ผู้คนตื่นตระหนก ต่างต่อยตีกันอลหม่าน ไม่มีใครทราบที่แท้มีงานมหกรรมอันใด
ลั่วเฉินยืนโดดเดี่ยวอ้างว้างกลางลานประลอง กระบี่ยาวชี้จรดพื้น นิ่งเงียบงันไร้เสียง